Categories
TOP STORIES

จีนเตรียมส่งแพนด้ายักษ์คู่ใหม่ฉลองสัมพันธ์ไทย-จีน 50 ปี

ไทยเตรียมรับมอบ “แพนด้ายักษ์คู่ใหม่” จากจีน ปี 2568 ฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ไทย-จีน

เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567 มีรายงานว่า ประเทศจีนเตรียมส่งมอบ “แพนด้ายักษ์คู่ใหม่” ให้ประเทศไทยในปี 2568 เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ ในโอกาสครบรอบ 50 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ระหว่างไทยและจีน โดยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย สวนสัตว์เชียงใหม่ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมอบแพนด้าคู่นี้

การเตรียมความพร้อมในการรับมอบแพนด้ายักษ์คู่ใหม่

ในการประชุมเตรียมการรับมอบแพนด้าคู่ใหม่ นายจตุพรได้กล่าวว่า ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีความพร้อมในการดูแลแพนด้าคู่ใหม่นี้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพไทย-จีน และเป็นการสานต่อโครงการแพนด้าที่ประสบความสำเร็จในไทยมากว่า 20 ปี จากที่สวนสัตว์เชียงใหม่เคยเป็นบ้านของแพนด้าช่วงช่วงและหลินฮุ่ย ก่อนที่ทั้งคู่จะเสียชีวิตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และได้จัดส่งร่างกลับสู่ประเทศจีนเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา พร้อมส่งรายงานสรุปโครงการที่ดำเนินการมายาวนานเพื่อให้ทางจีนประเมินผลอย่างละเอียด

ออกแบบกรงใหม่ตามมาตรฐานจีน

นายอรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สวนสัตว์เชียงใหม่จะเป็นสถานที่หลักในการดูแลแพนด้าคู่นี้ การเตรียมพื้นที่กรงและสถานที่จัดแสดงกำลังอยู่ในขั้นตอนการออกแบบ โดยอาจปรับปรุงจากกรงที่เคยใช้เลี้ยงช่วงช่วงและหลินฮุ่ย หรืออาจสร้างใหม่ให้สอดคล้องกับมาตรฐานของจีน เพื่อให้แน่ใจว่าแพนด้าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ทั้งนี้ การดูแลด้านสวัสดิภาพ ความสะดวกสบาย และความเป็นอยู่ของแพนด้าจะได้รับความสำคัญเป็นอันดับแรก และบุคลากรสัตวแพทย์ซึ่งมีประสบการณ์จากการเลี้ยงดูแพนด้าตัวก่อน ๆ จะมีส่วนช่วยเหลือในกระบวนการนี้ด้วย

ผลประโยชน์และความคาดหวังในการนำแพนด้ามาเป็นทูตสันถวไมตรี

การรับมอบแพนด้ายักษ์ครั้งนี้นับเป็นโอกาสที่ดีที่จะแสดงถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยและจีน และยังสร้างความตื่นเต้นให้กับประชาชนชาวไทยอีกด้วย โดยแพนด้าคู่นี้จะเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับสวนสัตว์และส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

นายอรรถพรยังกล่าวเพิ่มเติมว่า นี่ไม่ใช่แค่เรื่องการแสดงสัตว์ในสวนสัตว์ แต่เป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต และช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ระหว่างสองประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : asean now 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ไทยติดท็อป 5 ประเทศขับรถที่นักท่องเที่ยวกังวลมากที่สุด

ไทยติดอันดับท็อป 5 ประเทศที่นักท่องเที่ยวกังวลในการขับรถมากที่สุด

เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567 ฐานเศรษฐกิจรายงานว่า ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 5 ในการสำรวจประเทศที่นักท่องเที่ยวและผู้ขับขี่ต่างชาติรู้สึกกังวลเมื่อต้องขับรถ รองจากอินเดีย เวเนซุเอลา ซิมบับเว และโมร็อกโก การสำรวจครั้งนี้จัดทำโดย Scrap Car Comparison บริษัทผลิตรถยนต์จากสหราชอาณาจักร ที่สำรวจผู้ขับขี่รถยนต์กว่า 2,000 คนจาก 10 ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย เยอรมนี และแอฟริกาใต้ ผู้ขับขี่จะให้คะแนนความรู้สึกกังวลในการขับรถในประเทศที่พวกเขาไม่คุ้นเคย โดยให้คะแนนตั้งแต่ 1 ถึง 10 (1 ไม่ประหม่าเลย และ 10 ประหม่ามากที่สุด)

อินเดียติดอันดับ 1 ในความกังวลในการขับขี่สูงสุด

อินเดียครองอันดับที่ 1 ด้วยคะแนนเฉลี่ยความกังวล 7.15 จาก 10 คะแนน เนื่องจากการจราจรที่คาดเดายาก มีทั้งรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ รถสามล้อ และปศุสัตว์ที่ใช้ถนนร่วมกัน เมืองใหญ่ของอินเดีย เช่น เบงกาลูรู มุมไบ และปูเน่ ยังติดอันดับ 10 เมืองที่มีความคับคั่งในการจราจรมากที่สุดตามดัชนีการจราจรของ TomTom ประจำปี 2023 ทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกเครียดและหวาดกลัวเมื่อต้องขับรถในประเทศนี้

ไทยติดอันดับ 5 ในการขับขี่ที่น่ากังวล

สำหรับประเทศไทย นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักรู้สึกกังวลเมื่อขับรถในประเทศนี้ เนื่องจากการขับรถชิดซ้ายที่อาจไม่คุ้นเคยสำหรับบางคน และการที่รถจักรยานยนต์มีบทบาทสำคัญบนท้องถนน ซึ่งมักทำให้การจราจรติดขัด โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพมหานครและเชียงใหม่ ที่มีการจราจรหนาแน่นอย่างสม่ำเสมอ ส่วนในพื้นที่ชนบท ผู้ขับขี่อาจรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นกับทัศนียภาพของภูเขาและชายหาดที่สวยงาม แต่ยังคงมีความท้าทายด้านการขับขี่และความปลอดภัย

ปัจจัยที่ทำให้นักท่องเที่ยวกังวลในการขับรถ

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าการขับรถในประเทศที่ไม่คุ้นเคย โดยเฉพาะในประเทศที่มีกฎจราจรและมารยาทการขับขี่ที่แตกต่างจากประเทศบ้านเกิด อาจทำให้เกิดความกังวลและความประหม่าสำหรับนักท่องเที่ยว การที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากมักเช่ารถเพื่อสำรวจสถานที่ต่าง ๆ ด้วยตนเอง ทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับความท้าทายของการขับรถในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย และการที่รถจักรยานยนต์ครองถนนจำนวนมากในประเทศไทยยังสร้างความเครียดให้กับผู้ขับขี่ที่ไม่คุ้นเคยกับการเดินทางในประเทศนี้

แม้จะมีความกังวล แต่การสำรวจนี้ไม่ได้อิงตามข้อมูลทางสถิติ เช่น ความปลอดภัยบนท้องถนนหรืออัตราการเสียชีวิต แต่อิงตามการรับรู้และประสบการณ์ของผู้ขับขี่ต่างชาติที่ไม่ใช่คนในพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ฐานเศรษฐกิจ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ครม. ไฟเขียวให้สัญชาติไทย 483,000 คน เสริมเศรษฐกิจ

ครม. อนุมัติให้สัญชาติไทยแก่ 483,000 คน เตรียมออกประกาศบังคับใช้ใน 60 วัน

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติหลักเกณฑ์เร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลสำหรับผู้ที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน รวมถึงกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรไทย เพื่อให้สถานะสัญชาติไทยอย่างถูกต้อง

ประเภทกลุ่มผู้ขอสัญชาติ

สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้เสนอรายละเอียดเกี่ยวกับกลุ่มผู้ขอสัญชาติซึ่งแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่

  1. กลุ่มอพยพที่เข้ามาในช่วงปี 2527 – 2542 ประมาณ 120,000 คน
  2. กลุ่มอพยพในช่วงปี 2548 – 2554 ประมาณ 215,000 คน
  3. กลุ่มบุตรที่เกิดในไทย ของชนกลุ่มน้อย ประมาณ 29,000 คน
  4. กลุ่มบุตรที่เกิดในไทย ของบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน ซึ่งสำรวจได้แล้วประมาณ 113,000 คน

รวมจำนวนผู้ที่ขอสัญชาติทั้งหมด 483,000 คน โดยทาง ครม. ได้พิจารณาและเห็นชอบให้ลดขั้นตอนต่าง ๆ ในกระบวนการ เนื่องจากหากดำเนินการตามขั้นตอนเดิม อาจใช้เวลาถึง 44 ปีเพื่อพิจารณาทั้งหมด

ประโยชน์และความคาดหวังจากการให้สัญชาติ

นายจิรายุ ชี้แจงว่า ผู้ที่ได้รับอนุมัติสัญชาตินั้นส่วนใหญ่มีเอกสารระบุตัวตนและสามารถทำงานได้ตามปกติ โดยการรับรองสถานะบุคคลให้ถูกต้องจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงเพิ่มความมั่นใจในการเฝ้าระวังและติดตามผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศอย่างถูกต้อง ซึ่งการให้สัญชาติในครั้งนี้ยังส่งผลดีต่อการจัดการสังคมและการสาธารณสุข ทำให้ภาครัฐสามารถให้การสนับสนุนและบริการต่าง ๆ ได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น

มาตรการและขั้นตอนการบังคับใช้

หลังจากที่ ครม. เห็นชอบในหลักการเรื่องการให้สัญชาติไทย กระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้รับผิดชอบออกประกาศบังคับใช้มาตรการนี้ในรายละเอียดภายใน 60 วัน โดยคาดว่าการดำเนินงานดังกล่าวจะเป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นประโยชน์ต่อหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการสาธารณสุข การศึกษา และการจ้างงาน รวมถึงการจัดการสวัสดิการและสิทธิที่บุคคลกลุ่มนี้สมควรได้รับ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ผู้เฒ่าไร้สัญชาติ นับหมื่นคนในเชียงราย

ครม. เตรียมรับมือฝุ่น PM2.5 และปัญหาสัญชาติ พร้อมบูรณาการแก้ไขแบบครบวงจร

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้หารือเรื่องมาตรการป้องกันและเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทุกปีในช่วงฤดูหนาว โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ร่วมกับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้นำในการบูรณาการมาตรการป้องกันและลดผลกระทบของฝุ่น PM2.5 ซึ่งต้องทำงานร่วมกันกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันและลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการคมนาคมและภาคอุตสาหกรรม

มาตรการบูรณาการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 หลายมิติ

ในการประชุมดังกล่าว มีการพูดถึงแนวทางป้องกันฝุ่น PM2.5 โดยใช้หลายมาตรการ ทั้งการคุมเข้มการตรวจสอบยานพาหนะที่ปล่อยควันดำ การลดการเผาวัสดุทางการเกษตร เช่น ข้าวโพดและอ้อย รวมถึงการควบคุมการปล่อยมลพิษจากภาคอุตสาหกรรม โดยขอความร่วมมือจากกระทรวงต่าง ๆ ให้ตรวจจับและควบคุมการปล่อยมลพิษอย่างเข้มงวด ในส่วนของกระทรวงคมนาคม จะมีมาตรการเข้มงวดในการตรวจจับรถยนต์ที่ปล่อยควันดำ ส่วนกระทรวงอุตสาหกรรมจะควบคุมมาตรการในโรงงานและกิจการที่มีผลกระทบต่อคุณภาพอากาศ โดยเฉพาะโรงงานที่มีการเผาไหม้หรือใช้สารเคมีที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยังได้เสนอแผนการจัดการไฟป่าและการควบคุมหมอกควันข้ามแดนที่เข้มงวดเพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในปี 2568 ซึ่งจะมีมาตรการทั้งระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับจังหวัด เช่น การสร้างแผนที่เสี่ยงการเผา การตั้งจุดตรวจสกัดในพื้นที่เสี่ยง การตรวจจับการเผาในเขตชุมชนและริมทาง รวมถึงการส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาใช้วิธีการที่ไม่ต้องเผาในการเตรียมพื้นที่เพาะปลูก โดยการให้สิทธิประโยชน์และสนับสนุนเกษตรกรที่ปฏิบัติตามแนวทางนี้

แนวทางแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคล

อีกหนึ่งวาระสำคัญในที่ประชุม ครม. คือการเร่งรัดแก้ไขปัญหาสถานะบุคคลและสัญชาติให้แก่ผู้ที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน รวมถึงบุตรที่เกิดในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันยังคงเหลือบุคคลที่รอการพิจารณาสถานะถึง 483,626 ราย โดยสภาความมั่นคงแห่งชาติได้เสนอให้ปรับหลักเกณฑ์เพื่อให้การดำเนินการรวดเร็วยิ่งขึ้น จากเดิมที่ใช้เวลาพิจารณาถึง 270 วัน ปรับลดลงเหลือ 5 วัน ซึ่งจะช่วยให้การพิจารณาสถานะบุคคลเกิดประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น

มติสำคัญในการประชุมด้านสิ่งแวดล้อมและการลดก๊าซเรือนกระจก

ที่ประชุมยังได้หารือเกี่ยวกับแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจกและการสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยมีการเห็นชอบในวาระสำคัญ 4 เรื่อง ได้แก่ การสนับสนุนโครงการความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างไทย-เยอรมัน เพื่อการพัฒนาพลังงานและการเคลื่อนย้ายด้วยเงินอุดหนุน 234 ล้านบาท การส่งเสริมชุมชนคาร์บอนต่ำในระดับพื้นที่ การควบคุมโรงงานที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพประชาชน และมาตรการรับมือสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในปี 2568 ซึ่งจะมีการตั้งศูนย์ปฏิบัติการระดับภาคและระดับจังหวัดเพื่อประสานงานการป้องกันและแก้ไขปัญหา

บทสรุปของแนวทางแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ

ในช่วงท้ายของการประชุม ครม. ได้ย้ำถึงการเตรียมความพร้อมในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องบูรณาการทำงานร่วมกัน เช่น การควบคุมฝุ่นละอองจากยานพาหนะ โรงงาน การเผาในพื้นที่ชุมชน รวมถึงการเตรียมพร้อมด้านสาธารณสุข เช่น การสื่อสารเตือนประชาชนให้ติดตามสถานการณ์ฝุ่นละอองอย่างใกล้ชิดผ่านแอปพลิเคชัน Air4Thai

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

ไทย-ลาว จับมือสกัดการค้ามนุษย์ชายแดนเชียงราย

ไทย-ลาว ร่วมมือพัฒนากลไกข้ามพรมแดน ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เสริมสร้างความเข้มแข็งตามแนวชายแดน

วันที่ 29 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และพันโท ปัญญา แสงวิจิตร รองหัวหน้ากองบัญชาการป้องกันความสงบแขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ร่วมกันเป็นประธานพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์และการส่งกลับผู้เสียหายข้ามพรมแดนระหว่างจังหวัดเชียงราย ประเทศไทย กับแขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ณ ห้องประชุมโรงแรมเดอะริเวอร์รี บาย กะตะธานีคอลเล็กชั่น อำเภอเมืองเชียงราย โดยมีนายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสองประเทศเข้าร่วม

ความร่วมมือระดับชายแดนเพื่อป้องกันการค้ามนุษย์

การประชุมนี้มีวัตถุประสงค์ในการสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างหน่วยงานไทยและ สปป.ลาว โดยมุ่งเน้นให้เกิดกลไกความร่วมมือในการเฝ้าระวังและป้องกันการค้ามนุษย์ รวมทั้งการช่วยเหลือผู้เสียหาย ซึ่งเป็นปัญหาที่มักเกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดน ด้วยสภาพภูมิศาสตร์ของจังหวัดเชียงรายที่ติดชายแดนกับเพื่อนบ้านถึงสองประเทศ และมีเส้นทางเข้าออกหลากหลายช่องทาง การสร้างความร่วมมือข้ามพรมแดนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้หน่วยงานท้องถิ่นสามารถเฝ้าระวังและจัดการปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กลไกกฎหมายและการประสานงานระดับพื้นที่

การประชุมในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 ซึ่งกำหนดกลไกในการป้องกันและปราบปรามตั้งแต่ระดับประเทศจนถึงระดับพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับพื้นที่ชายแดนที่มีการเฝ้าระวังสถานการณ์ตลอดเวลา การประชุมในครั้งนี้มุ่งเน้นให้หน่วยงานชายแดนสามารถประสานงานและส่งต่อผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างไทยและลาวเพื่อรับมือกับปัญหาการค้ามนุษย์และการให้ความช่วยเหลือผู้เสียหาย

เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไกการส่งกลับและช่วยเหลือผู้เสียหาย

การหารือในครั้งนี้ยังมุ่งเน้นการพัฒนากลไกการส่งกลับและการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ระหว่างสองประเทศ โดยมีการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การช่วยเหลือสามารถดำเนินไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ การประสานงานระหว่างหน่วยงานไทยและลาวจะช่วยให้ผู้เสียหายสามารถได้รับการช่วยเหลือในทันที พร้อมทั้งเป็นการสร้างความมั่นใจว่าผู้เสียหายจะได้รับการคุ้มครองและส่งกลับสู่ครอบครัวอย่างปลอดภัย

นายโชตินรินทร์ได้กล่าวปิดการประชุมว่า การสร้างกลไกการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในระดับพื้นที่ชายแดนระหว่างไทยและลาวในครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่จะช่วยให้ปัญหาการค้ามนุษย์ในพื้นที่ชายแดนลดลง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

คอสตาริกาติดท็อป 10 ประเทศอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมระดับโลก

คอสตาริกาติดอันดับท็อป 10 ประเทศที่มีการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมดีที่สุดในโลก

เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2567 The tico times หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษชั้นนำของคอสตาริกา รายงานว่า ประเทศคอสตาริกาได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 10 ประเทศชั้นนำด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของโลก ตามรายงานล่าสุดจาก Nature Conservation Index ซึ่งเป็นดัชนีที่ประเมินประเทศต่าง ๆ จำนวน 180 ประเทศ โดยพิจารณาจากความพยายามในการปกป้องระบบนิเวศและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม คอสตาริกาเป็นประเทศเดียวในลาตินอเมริกาที่ติดอันดับท็อป 10 ด้วยคะแนน 64.4 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 10 ของดัชนี

การจัดอันดับประเทศที่มีความมุ่งมั่นสูงในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

การจัดอันดับครั้งนี้ นำโดยประเทศลักเซมเบิร์กซึ่งมีคะแนนสูงสุดที่ 70.8 คะแนน แสดงถึงความทุ่มเทในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างสูง ในขณะที่คอสตาริกาได้รับการยกย่องเป็นพิเศษในด้านการอนุรักษ์ที่ดิน โดยมีการนำเสนอการเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่คุ้มครองที่มีประสิทธิภาพ และการจัดการพื้นที่สีเขียวอย่างยั่งยืน ดัชนีนี้พัฒนาโดยสถาบัน Goldman Sonnenfeldt School of Sustainability and Climate Change แห่งมหาวิทยาลัยเบนกูเรียนแห่งเนเกฟร่วมกับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร BioDB.com ซึ่งใช้ตัวชี้วัดจำนวน 25 ตัวในการประเมินประสิทธิภาพการอนุรักษ์ของแต่ละประเทศ

ความสำเร็จในการอนุรักษ์ของคอสตาริกา

คอสตาริกามีการจัดสรรพื้นที่คุ้มครองทางธรรมชาติกว่า 25% ของประเทศ ทำให้เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในการอนุรักษ์ธรรมชาติ การผสมผสานระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างลงตัวช่วยให้คอสตาริกาสามารถเดินหน้าพัฒนาประเทศควบคู่ไปกับการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ ทำให้ประเทศนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในระดับโลกว่าการพัฒนาเศรษฐกิจสามารถควบคู่กับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมได้

ตัวชี้วัดที่ใช้ในการประเมินดัชนีการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

Nature Conservation Index ใช้ตัวชี้วัดหลายประการเพื่อให้ได้ภาพรวมที่ชัดเจนเกี่ยวกับการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและการจัดการสิ่งแวดล้อมของแต่ละประเทศ ตัวชี้วัดเหล่านี้ประกอบด้วยจำนวนชนิดพันธุ์ที่ใกล้สูญพันธุ์ ขอบเขตของพื้นที่คุ้มครอง รวมถึงคุณภาพของกฎหมายและนโยบายด้านการอนุรักษ์ การวัดค่าตัวชี้วัดเหล่านี้ช่วยให้เห็นภาพชัดเจนว่าประเทศต่าง ๆ มีการจัดการและรักษาทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด

ประเทศใน 10 อันดับแรกของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

นอกเหนือจากคอสตาริกาและลักเซมเบิร์กแล้ว ยังมีประเทศอื่น ๆ ที่ติดอยู่ในอันดับท็อป 10 ได้แก่ เอสโตเนีย เดนมาร์ก ฟินแลนด์ สหราชอาณาจักร ซิมบับเว ออสเตรเลีย สวิตเซอร์แลนด์ และโรมาเนีย ประเทศเหล่านี้มีการลงทุนและส่งเสริมการอนุรักษ์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านกฎหมายและการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์ธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ

การที่คอสตาริกาติดอันดับท็อป 10 นั้นสะท้อนถึงการใช้ทรัพยากรและความตั้งใจในการสร้างประเทศให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ความสำเร็จนี้ไม่เพียงแต่สร้างความยั่งยืนให้กับทรัพยากรธรรมชาติภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณไปยังทั่วโลกถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : The tico times

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

นักท่องเที่ยวทะลุ 28 ล้าน สร้างรายได้ 1.3 ล้านล้านบาท

สถานการณ์ท่องเที่ยวไทยดีขึ้น ต้อนรับนักท่องเที่ยวทะลุ 28 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 1.3 ล้านล้านบาท

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยสถานการณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยในปีนี้ว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 27 ตุลาคม 2567 ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกสะสมรวมกว่า 28,378,473 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติมูลค่ากว่า 1,325,359 ล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวจาก 5 ประเทศที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยมากที่สุด ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย ซึ่งนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนมีจำนวนสูงสุดถึง 5,660,242 คน

แนวโน้มท่องเที่ยวช่วงไฮซีซัน กระแสเติบโตต่อเนื่อง 5 สัปดาห์

นายสรวงศ์กล่าวถึงการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (High season) ของภูมิภาคยุโรปและอเมริกา ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา (21-27 ตุลาคม) มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 5.15% จากสัปดาห์ก่อนหน้า ส่วนนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) โดยเฉพาะมาเลเซียซึ่งเป็นตลาดหลัก มีจำนวนผู้มาเยือนสะสมแล้วกว่า 4 ล้านคน

ทั้งนี้ ในช่วงสัปดาห์ดังกล่าว ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามารวมทั้งสิ้น 584,462 คน คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวเฉลี่ยวันละ 83,495 คน โดยนักท่องเที่ยวจาก 5 ประเทศหลัก ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินเดีย รัสเซีย และเกาหลีใต้

ปัจจัยส่งเสริมการท่องเที่ยวในไตรมาสสุดท้าย

การเติบโตของนักท่องเที่ยวในช่วงนี้ได้รับการสนับสนุนจากหลายปัจจัยสำคัญ อาทิ วันหยุดเทศกาลดิวาลีในหลายประเทศ เช่น มาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งช่วยกระตุ้นการเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังได้มีมาตรการอำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง (Ease of traveling) ซึ่งรวมถึงการยกเว้นการกรอกบัตร ตม.6 ที่ด่านชายแดน เพื่อให้กระบวนการตรวจคนเข้าเมืองมีความรวดเร็วและลดภาระของนักท่องเที่ยว

นอกจากนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวยังได้ประสานงานกับสายการบินต่าง ๆ เพื่อเพิ่มจำนวนเที่ยวบินเข้าสู่ประเทศไทย เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวในช่วงปลายปีที่มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะเส้นทางระหว่างประเทศจากภูมิภาคยุโรป

การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและเตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยว

นายสรวงศ์ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งยืนยันว่ากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการเตรียมความพร้อมทั้งด้านสิ่งอำนวยความสะดวก และมาตรการรองรับนักท่องเที่ยว เพื่อให้การท่องเที่ยวเป็นประสบการณ์ที่ดี สร้างความประทับใจและปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวทุกคน

การที่ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวจำนวนมากในช่วงไฮซีซันนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ กระตุ้นเศรษฐกิจภายในและสร้างอาชีพให้กับคนไทยในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งทางตรงและทางอ้อม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TRAVEL

Thailand Winter Festivals เปิดเทศกาลหน้าหนาวทั่วไทย

‘Thailand Winter Festivals’ เทศกาลหน้าหนาวทั่วไทย ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในงานแถลงข่าวเปิดตัวกิจกรรม ‘Thailand Winter Festivals’ ที่จะจัดขึ้นในช่วงฤดูหนาว โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้กับประเทศภายใต้การสนับสนุนจากหลายภาคส่วน เทศกาลนี้จะประกอบไปด้วยกิจกรรมไฮไลท์ 7 ประเภท ได้แก่ เทศกาลลอยกระทง เทศกาลเคาท์ดาวน์ กิจกรรมเชิงกีฬา กิจกรรมด้านวัฒนธรรม เทศกาลอาหาร เทศกาลดนตรี และเทศกาลแสงสี ซึ่งจะมีการจัดขึ้นในหลายจังหวัดทั่วประเทศ สร้างความหลากหลายในการท่องเที่ยวและประสบการณ์ที่น่าจดจำสำหรับผู้มาเยือน

บรรยากาศต้อนรับฤดูหนาวทั่วประเทศ

นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้ร่วมสวมผ้าพันคอเข้าธีมฤดูหนาว โดยใช้ผ้าทอดอยตุง หมักโคลน โทนสีธรรมชาติจากจังหวัดเชียงราย ซึ่งแสดงถึงความเป็นไทยและเอกลักษณ์ท้องถิ่นของภาคเหนือ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าถึงแม้ฤดูหนาวในประเทศไทยอาจไม่หนาวจัดเหมือนบางประเทศ แต่การจัดกิจกรรมนี้ถือเป็นโอกาสในการดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังสร้างบรรยากาศที่น่าสนใจและเสน่ห์ให้กับประเทศไทยในช่วงปลายปี

7 กิจกรรมหลักทั่วไทย ตอบโจทย์ทุกความสนใจ

เทศกาลนี้จะมีการจัดกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ เริ่มต้นจากเทศกาลลอยกระทงที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปในแต่ละจังหวัด การจัดงานในหลากหลายสถานที่ช่วยให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสกับวัฒนธรรมท้องถิ่นที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเชียงราย เชียงใหม่ พะเยา ที่ฟื้นตัวหลังจากประสบอุทกภัย นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความพร้อมในการต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งในภาคเหนือและภาคอื่นๆ อย่างเต็มที่

นอกจากนี้ กิจกรรมด้านวัฒนธรรม เทศกาลดนตรี เทศกาลอาหาร และกิจกรรมแสงสียังเป็นส่วนหนึ่งของงานนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อโปรโมทความหลากหลายของวัฒนธรรมและสไตล์การท่องเที่ยวที่มีอยู่ในทุกภูมิภาคของไทย อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี สร้างรายได้และสร้างโอกาสให้กับคนในท้องถิ่น

เทศกาล “Thailand Winter Festivals 2024” ที่จัดขึ้นในปีนี้ จะมีความหลากหลาย น่าสนใจและยิ่งใหญ่กว่าเดิม เพื่อนำส่งประสบการณ์ความสุขช่วงปลายปี โดยมีกิจกรรมไฮไลท์ใน 7 หมวดหมู่ ดังนี้

1. เทศกาลลอยกระทง ประเพณีลอยกระทงอันทรงคุณค่าสะท้อนความเป็นไทยอย่างสร้างสรรค์จากอัตลักษณ์ท้องถิ่นบนรากฐานทางวัฒนธรรม หรือ Soft Power และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กิจกรรม โดยมีการจัดงานทั่วประเทศ อาทิ งานสีสันแห่งสายน้ำ มหกรรมลอยกระทง  ณ คลองผดุงกรุงเกษม (ย่านหัวลำโพง) ในวันที่ 13-16 พฤศจิกายน 2567, งานลอยกระทงวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร วันที่ 14-16 พฤศจิกายน 2567, ประเพณีเผาเทียน เล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย วันที่ 8 – 18 พฤศจิกายน 2567 ณ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย, ประเพณียี่เป็ง จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 14 – 17 พฤศจิกายน 2567 ทั่วจังหวัดเชียงใหม่, ประเพณีลอยกระทงสายไหลประทีป ๑๐๐๐ ดวง จังหวัดตาก วันที่ 15 – 18 พฤศจิกายน 2567 ณ ริมสายธารลานกระทงสาย เชิงสะพานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี อำเภอเมืองตาก, ประเพณีลอยกระทงกาบกล้วยเมืองแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม วันที่ 15-17 พฤศจิกายน 2567 ณ บริเวณสองฝั่งน้ำแม่กลอง ได้แก่ ฝั่งอุทยาน ร.2 และฝั่งวัดภุมรินทร์กุฎีทอง, ประเพณีสมมาน้ำคืนเพ็ง เส็งประทีป จังหวัดร้อยเอ็ด วันที่ 14 – 15 พฤศจิกายน 2567 ณ บึงพลาญชัย

2. เทศกาล Countdown ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ช่วงคริสต์มาสสู่การส่งท้ายปีแบบยิ่งใหญ่ตระการตา ทั้งการจัดแสดงพลุและแสงสีเสียงสื่อผสม การแสดงดนตรีจากศิลปินที่มีชื่อเสียง การแสดงทางวัฒนธรรม ไปจนถึงการขึ้นปีใหม่แบบไทยด้วยการสวดมนต์ข้ามปีและการทำบุญตักบาตร อาทิ Amazing Thailand Countdown 2025 ในวันที่ 28 ธันวาคม 2567 – 1 มกราคม 2568 กรุงเทพมหานคร, งาน ICONSIAM Amazing Thailand Countdown 2025 วันที่ 29-31 ธันวาคม 2567, งาน Centralworld Bangkok Countdown 2024 วันที่ 31 ธันวาคม 2567,  Amazing Chiang Mai Countdown 2025 วันที่ 21-31 ธันวาคม 2567 จังหวัดเชียงใหม่, HATYAI COUNTDOWN 2025 วันที่ 31 ธันวาคม 2567-1 มกราคม 2568 จังหวัดสงขลา, เทศกาลปีใหม่ Suphanburi Festival 2024 วันที่ 29-31 ธันวาคม 2567 จังหวัดสุพรรณบุรี

3. กิจกรรมเชิงกีฬา Amazing Thailand Marathon Bangkok ในวันที่ 1 ธันวาคม 2567 ณ บริเวณถนนพญาไท กรุงเทพฯ, งานวิ่งเทรลอินทนท์ Hoka Chiang Mai Thailand by UTMB วันที่ 5-8 ธันวาคม 2567 จังหวัดเชียงใหม่, เชียงใหม่มาราธอน วันที่ 22 ธันวาคม 2567 จังหวัดเชียงใหม่, Bangsaen 42  วันที่ 3 พฤศจิกายน 2567 จังหวัดชลบุรี, KORAT MARATHON 2024 วันที่ 10 พฤศจิกายน 2567 จังหวัดนครราชสีมา, ลากูน่า ภูเก็ต ไตรกีฬา วันที่ 17 พฤศจิกายน 2567 จังหวัดภูเก็ต, Betong 21 International Half Marathon วันที่ 23-24 พฤศจิกายน 2567 จังหวัดยะลา

4. กิจกรรมด้านวัฒนธรรม นำเสนออัตลักษณ์ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี และเอกลักษณ์ที่โดดเด่นประจำท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ อาทิ มหัศจรรย์งานช้างสุรินทร์ วันที่ 14-25 พฤศจิกายน 2567 จังหวัดสุรินทร์, งาน “ใส่ไทย เฟสติวัล (Sai Thai Festival) จังหวัดอุบลราชธานีในวันที่ 7-10 พฤศจิกายน 2567 และจังหวัดสุรินทร์ ในวันที่ 27-30 พฤศจิกายน 2567 และงานประเพณีแห่ดาวคริสต์มาส วันที่ 20-25 ธันวาคม 2567 จังหวัดสกลนคร

5. เทศกาลอาหาร  มหกรรมอาหาร ฟู้ด เฟสติเว่อร์ วันที่ 11-15 ธันวาคม 2567  กรุงเทพฯ, งานเทศกาลปลาร้าหมอลำ Isan To The World วันที่ 26-29 ธันวาคม 2567 จังหวัดขอนแก่น, NORTHERN COFFEE Gathering 2024 วันที่ 29 พฤศจิกายน -1 ธันวาคม 2567 จังหวัดเชียงใหม่, Hidden Gem Food Festival วันที่ 11-15 ธันวาคม กรุงเทพฯ

6. เทศกาลดนตรี เพิ่มความคึกคักด้วยกิจกรรมทางด้านดนตรี ซึ่งจะจัดขึ้นในหลายพื้นที่ อาทิ Wonderfruit วันที่ 12-16 ธันวาคม 2567 จังหวัดชลบุรี, Rolling loud Thailand 2024 วันที่ 22-24 พฤศจิกายน 2567 ณ Legend Siam พัทยา, เชียงใหม่เฟส จังหวัดเชียงใหม่, Big Mountain จังหวัดนครราชสีมา, เทศกาลดนตรีนานาชาติ Maho Rasop จังหวัดปทุมธานี

7. เทศกาลแสงสี (Lighting & Illumination) พบกับมหาปรากฏการณ์แสดง แสง เสียง พลุ โดรน สุดยิ่งใหญ่ในงาน Vijit Chao Phraya 2024 วันที่ 16 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2567 ณ บริเวณสถานที่สำคัญริมแม่น้ำเจ้าพระยา เช่น สะพานพระราม 8, อาคารสำนักงานราชนาวิกสภา (กองทัพเรือ), ป้อมวิไชยประสิทธิ์ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร, วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร, สะพานปฐมบรมราชานุสรณ์  (สะพานพระพุทธยอดฟ้า), อาคารสุนันทาลัย (โรงเรียนราชินี), ไอคอนสยาม, สะพานพระปกเกล้า, เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีงานเทศกาลแสงสีอื่น ๆ ที่จะมาเติมสีสันอีกมากมาย อาทิ Awakening Bangkok วันที่ 8-17 พฤศจิกายน 2567 ย่านเมืองเก่าพระนคร กรุงเทพฯ, Night at the Museum Festivals 2024 วันที่ 1-31 ธันวาคม 2567 ณ มิวเซียมสยาม และพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้กว่า 24 แห่งทั่วกรุงเทพฯ และเทศกาล พลุนานาชาติ “Pattaya International Fireworks Festival 2024” วันที่ 29-30 พฤศจิกายน 2567 เลียบหาดพัทยา จังหวัดชลบุรี

การร่วมมือจากหลายภาคส่วนเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณการทำงานร่วมกันของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กระทรวงวัฒนธรรม กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ที่ช่วยสนับสนุนให้เทศกาลนี้เกิดขึ้น นอกจากนี้ การจัดงานนี้ยังเป็นการแสดงความพร้อมของไทยในการเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกจังหวัด โดยไม่ได้เน้นเฉพาะจังหวัดหลักเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองรองเพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ในท้องถิ่นอย่างทั่วถึง

ส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทย

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่านอกจากการดึงดูดนักท่องเที่ยวแล้ว เทศกาล ‘Thailand Winter Festivals’ ยังเป็นการแสดงออกถึงความพร้อมของไทยในการต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก รวมถึงการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของไทยในฐานะประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และมีบรรยากาศการท่องเที่ยวที่ปลอดภัยและเป็นกันเอง อีกทั้งนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวสนับสนุนให้ประชาชนร่วมกันโปรโมทเทศกาลนี้ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศและเสริมสร้างเศรษฐกิจของไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

‘สนามบินเชียงราย’ เปิดระบบสแกนใบหน้า พร้อมอีก 5 สนามบิน เริ่มใช้ 1 พ.ย.

AOT เปิดตัวระบบไบโอเมตริกที่ 6 สนามบิน พร้อมรับผู้โดยสารทะลุ 120 ล้านคน

เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2567 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) เปิดตัวระบบไบโอเมตริกเพื่อเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วให้กับการเดินทางใน 6 สนามบินหลักของไทย โดยมีการติดตั้งเทคโนโลยี Facial Recognition เพื่อยกระดับประสบการณ์การเดินทางให้กับผู้โดยสารทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งระบบนี้จะเริ่มให้บริการกับผู้โดยสารภายในประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 และจะเปิดให้บริการแก่ผู้โดยสารระหว่างประเทศในวันที่ 1 ธันวาคม 2567

ภายในท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่
  1. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.)
  2. ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.)
  3. ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.)
  4. ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.)
  5. ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.)
  6. ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.)

เทคโนโลยีไบโอเมตริกเพื่อการเดินทางที่สะดวกและรวดเร็ว

ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของ AOT กล่าวว่า ระบบ Biometric ถูกนำมาใช้ในสนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ แม่ฟ้าหลวง เชียงราย ภูเก็ต และหาดใหญ่ เพื่อช่วยลดเวลารอคิวของผู้โดยสารในจุดบริการต่าง ๆ โดยผู้โดยสารสามารถลงทะเบียนไบโอเมตริกได้ง่าย ๆ ที่จุดเช็กอิน โดยมี 2 วิธี ได้แก่ การเช็กอินผ่านเจ้าหน้าที่และการเช็กอินผ่านเครื่องอัตโนมัติ หลังจากลงทะเบียนแล้ว ผู้โดยสารสามารถผ่านด่านตรวจสัมภาระ จุดตรวจค้น และจุดขึ้นเครื่องได้โดยไม่ต้องแสดงเอกสารการเดินทางซ้ำอีก

การเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยและลดปัญหาการแออัดในสนามบิน

การใช้งานระบบ Biometric ช่วยให้การระบุตัวตนทำได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ส่งผลให้การเดินทางราบรื่นและมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น ผู้โดยสารสามารถผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ภายในสนามบินได้รวดเร็วขึ้น ลดความแออัดของสนามบิน และสร้างโอกาสให้ผู้โดยสารมีเวลามากขึ้นในการพักผ่อน เลือกซื้อสินค้าปลอดอากร และใช้บริการต่าง ๆ ภายในสนามบิน นอกจากนี้ ระบบยังช่วยให้ผู้โดยสารสามารถเดินทางผ่านด่านต่าง ๆ ได้สะดวกและไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย

การเติบโตของผู้โดยสารและคาดการณ์สำหรับปีงบประมาณ 2568

จากสถิติในปีงบประมาณ 2567 พบว่า ท่าอากาศยานของ AOT มีผู้โดยสารกว่า 119.29 ล้านคน เพิ่มขึ้น 19.22% จากปีก่อนหน้า โดยเฉพาะที่สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองซึ่งมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะที่จำนวนเที่ยวบินรวมทั่วประเทศอยู่ที่ 732,690 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 14.5% AOT คาดการณ์ว่าปีงบประมาณ 2568 จะมีผู้โดยสารรวมกว่า 129.97 ล้านคน เพิ่มขึ้น 8.95% และเที่ยวบินรวมประมาณ 808,280 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 10.32%

การขยายขีดความสามารถและการพัฒนาความสะดวกสบายในท่าอากาศยาน

AOT มุ่งพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในท่าอากาศยานให้ทันสมัยและตรงตามความต้องการของผู้ใช้บริการมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังได้ดำเนินการติดตั้งระบบ CUPPS (Common Use Passenger Processing System) เพื่อรองรับการใช้งานร่วมกับระบบ Biometric ให้ครอบคลุมทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเช็กอินไปจนถึงการขึ้นเครื่อง ซึ่งรวมถึงการใช้งานเครื่อง CUTE (เครื่องตรวจบัตรโดยสาร) เครื่อง CUSS (เครื่องเช็กอินด้วยตนเอง) เครื่องรับสัมภาระอัตโนมัติ (CUBD) ระบบตรวจสอบยืนยันตัวตน (PVS) และระบบประตูขึ้นเครื่อง (SBG) ที่เชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ

ความร่วมมือเพื่ออนาคตของการเดินทางในประเทศไทย

การเปิดตัวระบบ Biometric ในครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาท่าอากาศยานของไทยให้เป็นท่าอากาศยานระดับโลก โดยมุ่งเน้นการให้บริการที่มีคุณภาพและตอบโจทย์การเดินทางของผู้โดยสารอย่างแท้จริง AOT ตั้งเป้าหมายในการสร้างประสบการณ์การเดินทางที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยให้กับผู้โดยสารทั้งในประเทศและต่างประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

กระทรวงอุตฯ ร่วม TikTok ยกระดับความปลอดภัยออนไลน์

กระทรวงอุตสาหกรรมจับมือ TikTok ร่วมยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยผู้บริโภคในโลกดิจิทัล

เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2567 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงจากกระทรวงอุตสาหกรรม ได้หารือร่วมกับผู้บริหารจากบริษัท ติ๊กต๊อก เทคโนโลยีส์ จำกัด ณ สำนักงานการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กรุงเทพฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับความร่วมมือในการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ตลอดจนเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยบนแพลตฟอร์ม TikTok

การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลผ่าน TikTok Shop

ในการพบปะครั้งนี้ TikTok ได้นำเสนอถึงศักยภาพของแพลตฟอร์มที่สามารถสร้างโอกาสทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยและ SME ผ่าน TikTok Shop ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว แพลตฟอร์มนี้ได้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ได้อย่างกว้างขวางและสะดวกยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าถึงลูกค้าผ่านสื่อสังคมออนไลน์ที่มีกลุ่มผู้ใช้เป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้ประกอบการสามารถเพิ่มขีดความสามารถทางการตลาดและขยายธุรกิจได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ TikTok ยังมีแผนการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาทักษะด้านการตลาดดิจิทัลและการสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่มีความน่าสนใจแก่ผู้ประกอบการ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถและทำให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้

ความร่วมมือเพื่อยกระดับความปลอดภัยให้ผู้บริโภค

นอกจากการสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัลแล้ว ความปลอดภัยของผู้บริโภคยังเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ได้รับการหารือ ในยุคที่การช้อปปิ้งออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว การควบคุมคุณภาพสินค้าที่จำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์กลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดย TikTok ได้แสดงความรับผิดชอบในการปกป้องผู้บริโภคและให้ความสำคัญกับการควบคุมสินค้าที่จำหน่ายในแพลตฟอร์มของตนเอง เพื่อลดความเสี่ยงของการจำหน่ายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน

กระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบหมายให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ร่วมมือกับ TikTok เพื่อพัฒนาระบบคัดกรองสินค้าที่เข้มงวดมากขึ้น โดยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันเพื่อให้สามารถตรวจสอบและควบคุมคุณภาพสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ การดำเนินการนี้จะช่วยลดความเสี่ยงที่ผู้บริโภคจะได้รับสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานหรืออาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้งาน

การป้องกันการแพร่กระจายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานบนแพลตฟอร์มออนไลน์

นายเอกนัฏ กล่าวว่า “การแพร่กระจายของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานบนแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นเรื่องที่น่ากังวล เนื่องจากส่งผลกระทบโดยตรงต่อความปลอดภัยของประชาชน กระทรวงอุตสาหกรรมมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อสร้างมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคให้มีประสิทธิภาพสูงสุด” นอกจากนี้ยังได้แสดงความขอบคุณต่อ TikTok ที่ให้ความสำคัญกับปัญหานี้และพร้อมที่จะร่วมมือกับภาครัฐในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยบนแพลตฟอร์ม

TikTok เองก็ได้ยืนยันถึงความรับผิดชอบต่อสังคม โดยระบุว่าการร่วมมือกับภาครัฐเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และให้ความมั่นใจว่าการใช้ TikTok Shop จะได้รับการป้องกันและการควบคุมคุณภาพสินค้าที่ดีเยี่ยม ทั้งนี้ TikTok ยังมีแผนจัดทำแนวทางสำหรับผู้ค้าในแพลตฟอร์ม เพื่อสร้างความเข้าใจในการปฏิบัติตามมาตรฐานและการคุ้มครองผู้บริโภค

นโยบาย “Save อุตสาหกรรมไทย” และการสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัย

การประชุมครั้งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “Save อุตสาหกรรมไทย” ของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เน้นการสร้างมาตรการเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและยกระดับคุณภาพสินค้าที่จำหน่ายในตลาดออนไลน์ นโยบายนี้มีเป้าหมายในการปกป้องผู้บริโภคจากสินค้าที่อาจก่อให้เกิดอันตราย และเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยในการเข้าถึงตลาดดิจิทัลที่มีการแข่งขันสูง

การประชุมในครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของทั้งภาครัฐและเอกชนในการร่วมมือกันเพื่อยกระดับมาตรฐานสินค้าให้มีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือมากขึ้น การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและ TikTok นับเป็นก้าวสำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ เพื่อให้ประชาชนสามารถมั่นใจในคุณภาพสินค้าที่จำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงอุตสาหกรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News