Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

กสทช. ส่งหนังสือตักเตือน 2 บริษัท หลังเชียงรายพบสายเคเบิลข้ามแดน 10.5 กม.

 

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2567 พ.อ.ณฑี ทิมเสน ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตากและประธานคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นไทย-เมียนมา หรือ TBC ฝ่ายไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีการลักลอบวางสายเคเบิลใต้ดินข้ามแดนจากหมู่บ้านสันติสุข ต.ป่าตึง อ.แม่จัน จ.เชียงรายไปยังเขตอิทธิพลของกองกำลังว้าที่เมืองยอนในฝั่งพม่าว่า ผู้ลักลอบได้มีการตัดสายสัญญาณช่วงที่ต่อจากบ้านของเขา เพื่อไม่ให้สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ก็รู้ว่าใครเป็นคนทำ รวมทั้งชาวบ้านแถวนั้นก็รู้ ส่วนเรื่องการดำเนินคดีนั้นเป็นขั้นตอนตามกฎหมาย ซึ่ง กสทช.( คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ)บอกว่าในความผิดครั้งแรกเป็นการตักเตือน เพราะกฎหมายกำหนดไว้อย่างนี้ หากผิดครั้งที่ 2 จึงจะเป็นการดำเนินคดี

ผู้สื่อข่าวถามว่า การลากสายสัญญาณนับ 10 กม.เป็นเรื่องของความมั่นคงชาติจะไม่เอาผิดกับใครได้เลยหรือ พ.อ.ณฑีกล่าวว่า ได้แจ้ง กสทช. ไปแล้วว่ามีการสืบทางลับ ทราบอยู่แล้วว่าใครเป็นคนทำคือคนในหมู่บ้าน แต่เขาก็รู้ตัวจึงตัดสายของตัวเองออก อย่างไรก็ตามการวางสายข้ามไปฝั่งโน้นระยะทางไกล แม้หลักฐานที่เป็นประจักษ์โดนทำลายไปก่อน แต่ถ้าเอาจริงๆ ก็สืบสาวรู้อยู่แล้ว

“อินเตอร์เน็ตคุณจ่ายรายเดือนเท่าไหร่ ความเร็วเท่าไหร่ รู้หมดนั่นแหละ แต่ต้องอยู่ที่เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเขาดำเนินการได้เต็มที่แค่ไหน ถ้าไม่เต็มที่ก็ตอบว่าพยานหลักฐานไม่ได้ออกจากบ้านเขา กำปั้นทุบดินก็จบไป หน่วยปฏิบัติก็ได้แต่ทำงานไป แต่จับไม่ได้ รอเวลาว่าเมื่อไหรเจ้าหน้าที่เผลอ เขาก็ทำอีก” ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก กล่าว

ประธาน TBC ฝ่ายไทย กล่าวว่า การวางสายเคเบิลนั้นเป็นสัญญาณคงที่กว่าการใช้จานรับส่งสัญญาณ แต่จานได้รับความนิยมมากกว่าโดยเป็นจานกลมๆ เป็นตัวขยายสัญญาณ  ซึ่งจะติดตั้งในบ้านได้เลยแล้วหันสัญญาณส่งออกไป ทั้งนี้การส่งสัญญาณมีด้วยกัน 3 รูปแบบคือ 1.การใช้แผงของบริษัทโทรศัพท์ ไม่ว่าจะเป็นทรู เอไอเอส ดีแทค โดยในส่วนนี้เราส่งข้อมูลให้ กสทช.ช่วยตรวจสอบและให้หันแผงกลับมาเข้าฝั่งประเทศไทย พร้อมทั้งมีตรวจสอบสัญญาณตามแนวชายแดนว่ามีการส่งสัญญาณออกไปถึงมากน้อยแค่ไหน และตรวจวัดระดับสัญญาณ ซึ่ง กสทช.แจ้งว่าดำเนินการเรียบร้อยแล้วขณะนี้ระดับสัญญาณอ่อนลงและบางจุดไม่สามารถใช้การได้ 2. วิธีลากสายเคเบิลออกไป และ 3. ใช้ตัวขยายสัญญาณ ซึ่งเหมือนจานดาวเทียมโทรทัศน์ โดยแต่ละบ้าน สามารถติดตั้งไว้ภายในแล้วเปิดหน้าต่าง เปิดประตู หันจานออกไปเพื่อส่งสัญญาณขยายไปยังที่ที่ต้องการ ลักษณะเดียวกันกับแผงสัญญาณของบริษัทใหญ่

“นิยมใช้ตัวขยายสัญญาณกัน เพราะเอื้อประโยชน์มากที่สุด แค่ติดตั้งภายในบ้าน พอเจ้าหน้าที่มาตรวจ เขาก็หันจานกลับและบอกว่าไม่ได้ส่ง เมื่อเจ้าหน้าที่กลับไปก็หันจานส่งไปที่เดิม เราพบวิธีการแบบนี้มากตามบ้านเรือนที่อยู่แนวชายแดน  หรือแนวตามลำน้ำโขง วิธีการแบบนี้ทำให้ตรวจสอบหลักฐานได้ยากเพราะไม่มีสายลากไป เพียงใช้จานขนาดเล็กแค่เมตรกว่าๆ ซึ่งง่ายที่สุด ใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ตบ้านที่จะเพิ่มเมกให้แรงๆ แล้วส่งไป”พ.อ.ณฑี กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะแก้ปัญหาลักลอบในรูปแบบที่ 3 นี้อย่างไร บังคับหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ต้องไปเข้าตรวจ หากเจอก็ถ่ายรูปและดำเนินการทันทีแม้เป็นเรื่องยาก ตอนนี้กลายเป็นเรื่องปกติของผู้กระทำความผิดซึ่งต้องหลบเลี่ยงอยู่ตลอด แตกต่างจากแผงสัญญาณของโทรศัพท์ใหญ่ที่มองเห็นทำให้ทำได้ยาก สาเหตุที่บริษัทใหญ่ทำก็เพราะได้รายได้  แต่สำหรับจานขยายสัญญาณนั้นเล็กจึงทำให้ตรวจสอบยาก

“เขาลักลอบส่งสัญญาณไปได้ไกลเพราะมีตัวขยายไปอีกเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่ายิงสัญญาณข้ามไป 50-60 กม. ไม่ใช่แบบนั้น แต่จานขยายสัญญาณไปได้  4 กม. แล้วก็มีจานฝั่งโน้นขยายอีก ส่งต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งบริษัทเจ้ายของสัญญาก็ไม่รู้ ตรวจไม่ได้ ถ้าเราจะแก้ปัญหานี้ ต้องให้คนในชุมชนช่วยกัน เพราะผู้ใหญ่บ้านต้องทราบอยู่แล้ว กระทรวงมหาดไทยต้องช่วย อสม.ประจำหมู่บ้านต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา”พ.อ.ณฑี กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีการลากสายเคเบิลจากหมู่บ้านสันติสุขไปฝั่งเพื่อนบ้านมีวัตถุประสงค์อะไร ประธาน TBC ฝ่ายไทย กล่าวว่าเป็นการเอื้ออำนวยฐานปฏิบัติการของชนกลุ่มน้อยเพื่อนำไปใช้ส่งข่าว วิทยุและภาพต่างๆและรายงานข่าวสารให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ซึ่งสายเคเบิลที่วางแม้มีความยาวนับ 10 กม. แต่จะมีตัวขยายสัญญาณเป็นระยะๆเหมือนกล่องปลั๊กไฟซึ่งเราได้ขุดเจอ

ด้านนายสุธีระ พึ่งธรรม ผู้อำนวยการสำนักกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม กสทช.กล่าวว่า บริษัทต่างชาติที่เป็นบริษัทเพื่อนบ้านในภูมิภาค แต่ไม่ใช่บริษัทในประเทศเมียนมา ได้มาเช่าอินเตอร์เนตลีสไลน์(สายอินเทอร์เน็ตแบบเช่าใช้) ดรอปไว้ และแอบลักลอบลากสายกว่า 10.5 กม.ข้ามแดนไปยังประเทศเมียนมา ดังที่ปรากฏเป็นข่าว โดยบริษัทต่างชาติได้ขอให้โอเปอร์เรเตอร์มาวางไว้  2 จุด โดยจุดที่หน้าแปลงสวนเกษตร กับอีกจุดหนึ่งที่ท่าสุเทพ

 

“กสทช.ได้เรียกโอเปอร์เรเตอร์บริษัทผู้ให้บริการ 2 รายมาสอบแล้ว ว่าเอาไปลงตรงนั้นได้อย่างไร ทางบริษัทได้ไปดูหรือไม่ว่าลูกค้าบริษัทต่างชาตินำไปใช้อะไร เขาบอกว่าเขาไม่ได้ไปดูเลย เขามีหน้าที่แค่ว่าผู้ซื้อบอกดรอปตรงนี้ก็ไปดรอป ผมบอกว่าไม่ได้ละ ผมขอใช้คำว่า สักแต่ว่าขายของ ขายของแบบเอาไปดรอปไว้ตรงแนวชายแดน คุณก็รู้อยู่ว่าวันนี้มันมีประเด็นเรื่องนี้อยู่ค่อนข้างรุนแรง คุณไม่รู้หรือว่าเป็นความเสี่ยง จากการตรงสอบพบว่าบริษัทต่างชาติที่ขอให้ติดตั้งไม่มีบริษัทอยู่ที่เมืองไทย ถ้ามีออฟฟิศอยู่จุดที่ดรอปเป็นสาขา อันนี้เราไม่ว่า แต่นี่มาดรอปหน้าแปลงสวนป้าคนนั้น แล้วออฟฟิศเขาอยู่ไหน บริษัทก็ไม่ได้สนใจ ผมจึงขอดูการดรอปสายทั้งหมดเลย เพราะไม่ไว้ใจโอเปอร์เรเตอร์แล้ว มันทำให้สถิติการร้องเรียนภัยไซเบอร์ไม่ลดลง มันยังสายอีกจำนวนหนึ่งซึ่งเราตามอยู่” ผ.อ.สำนักกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมกล่าว

นายสุธีระกล่าววว่า ทาง กสทช. ได้มีหนังสือตักเตือน โดยทางกฎหมายปกครอง ตาม พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม ของ กสทช. เราต้องตักเตือน2 บริษัทนี้ให้แก้ไขก่อนว่าห้ามมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นอีก ถ้ามีกรณีแบบนี้อีกจะมีโทษปรับตามกฎหมายปกครอง เป็นมาตรการปกครอง

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่หันจานขยายสัญญาณออกนอกประเทศแต่เมื่อเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบก็หันกลับมาในประเทศ ทาง กสทช.แก้ไขปัญหาอย่างไร นายสุธีระ กล่าวว่า กสทช. จะมีการส่งรถตรวจสอบสัญญาณไปในพื้นที่ทุกสัปดาห์ หากมีสัญญาณเพิ่มขึ้นมาจากจุดที่เราเคยวัดระดับไว้ ก็จะค้นหาทันทีว่าเพราะอะไร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวชายขอบ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ธุรกิจเมียนมาหลั่งไหลเปิดในไทย หนีวิกฤตในประเทศ

 

เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2567 สำนักข่าวนิกเกอิ เอเชียรายงานว่า จำนวนธุรกิจจากเมียนมามากขึ้นเรื่อยๆ กำลังย้ายมาตั้งร้านค้าและร้านอาหารในประเทศไทย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อพยพและผู้ลี้ภัยที่หลบหนีจากความขัดแย้งที่ยืดเยื้อในเมียนมา รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายเกณฑ์ทหารที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อช่วงต้นปีนี้

จากแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับธุรกิจเมียนมา เปิดเผยว่า ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ธุรกิจจากเมียนมาหลายสิบรายได้เข้ามาดำเนินงานในประเทศไทย สถานการณ์ในเมียนมาทำให้ธุรกิจต่างๆ เผชิญกับความยากลำบากเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อและกฎระเบียบทางการเงินที่ไร้เสถียรภาพ

เจ้าของธุรกิจรายหนึ่งที่ย้ายร้านมือถือและคอมพิวเตอร์จากเมียนมามาเปิดที่กรุงเทพฯ กล่าวว่า “ประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมที่มีเสถียรภาพมากกว่า และตลาดกำลังเติบโตสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการของเรา” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไทยเป็นตลาดทางเลือกที่สำคัญสำหรับนักธุรกิจเมียนมาที่ต้องการย้ายการดำเนินงานไปยังตลาดใหม่

การขยายตัวของธุรกิจเมียนมาในไทยนั้นได้แก่การเปิดสาขาของร้าน Cherry Oo ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกนาฬิกาที่มีประวัติยาวนานเกือบ 40 ปีในเมียนมา และได้เปิดร้านสาขาแรกในกรุงเทพฯ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ร้านอาหาร Khaing Khaing Kyaw ที่มีชื่อเสียงในเมียนมา ซึ่งให้บริการอาหารพม่าดั้งเดิม ก็ได้ขยายสาขาเข้าสู่ประเทศไทยเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าชาวเมียนมา

“เราตัดสินใจเปิดสาขาใหม่ในกรุงเทพฯ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น” ผู้จัดการร้านกล่าว พร้อมเสริมว่าร้านอาหารเครือข่ายนี้เติบโตจนมีสาขามากกว่า 10 แห่งในเมียนมาในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา และเริ่มเข้าสู่ตลาดไทยครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดยมีแผนเปิดสาขาที่พัทยาและเชียงใหม่

การขยายธุรกิจของเมียนมาเข้ามาในประเทศไทยมีเป้าหมายหลักในการปกป้องสินทรัพย์ทางการเงินมากกว่าการสร้างผลกำไรในทันที นางซู นักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวว่า “มันไม่ได้เกี่ยวกับการสร้างผลกำไรทันที แต่เป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงและการย้ายทรัพย์สินไปยังสถานที่ที่ปลอดภัย”

แม้ว่าไม่มีตัวเลขสถิติอย่างเป็นทางการที่แสดงจำนวนประชากรเมียนมาที่แท้จริงในประเทศไทย แต่รายงานของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ที่เผยแพร่เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมาคาดว่า มีผู้อพยพทั่วไปจากเมียนมาจำนวน 1.9 ล้านคนในประเทศไทย เมื่อนับจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2566 และคาดว่า มีผู้อพยพจากเมียนมา 5 ล้านคนทั้งที่มีเอกสารและไม่มีเอกสาร ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ในประเทศไทย

นอกจากนี้ กฎหมายบังคับเกณฑ์ทหารที่ประกาศใช้ในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ได้กระตุ้นให้คนหนุ่มสาวจำนวนมากหลบหนีออกจากเมียนมา ส่งผลให้มีการขยายตัวในชุมชนเมียนมาและฐานผู้บริโภคในประเทศไทย ธุรกิจต่างๆ ตั้งแต่ร้านอาหารแบบดั้งเดิมของเมียนมาไปจนถึงร้านโทรศัพท์มือถือ และร้านค้าปลีกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างไล่ตามลูกค้าและใช้ประโยชน์จากความต้องการความสะดวกสบายและสินค้าจำเป็นในหมู่ผู้อพยพและผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาในประเทศไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นิกเกอิเอเชีย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

นายกฯ สั่งติดตามการค้าชายแดน 6 เดือน ส่งออก 534,316 ล้านบาท

 

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สั่งการหน่วยงานเกี่ยวข้อง ดำเนินนโยบายระหว่างประเทศด้วยความเป็นมิตร ส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกันในทุกระดับ เพื่อเพิ่มตัวเลขมูลค่าการค้าชายแดน-ผ่านแดน โดยให้ติดตามสถานการณ์การค้าอย่างใกล้ชิด เชื่อว่าเป็นตลาดที่สำคัญของการส่งออกสินค้าของไทย เพื่อต่อยอดเพิ่มพูนประโยชน์ทางด้านการค้าระหว่างประเทศกับเพื่อนบ้านและประเทศคู่ค้าและความสัมพันธ์ที่ดีของประชาชนในพื้นที่ และเพิ่มมูลค่าการค้าให้เศรษฐกิจไทย

โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 การค้าชายแดน-ผ่านแดน ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งสัญญาณบวก ขยายตัวที่ 3.6% จึงสนับสนุนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าชายแดนในงานมหกรรมการค้าชายแดนปี 2567 กระตุ้นเศรษฐกิจการค้าชายแดน สร้างพันธมิตรทางการค้าระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศคู่ค้า สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไทย

นายชัยกล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ ดำเนินนโยบายตามแนวทางของนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศ ติดตามสถานการณ์การค้าชายแดนและผ่านแดนอย่างใกล้ชิด จากการดำเนินงานที่ผ่านมา ในช่วง 6 เดือนแรก ปี 2567 ที่มีสัญญาณที่ดี อยู่ในแดนบวก มีมูลค่าการค้ารวม 912,283 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยไทยส่งออก 534,316 ล้านบาท ส่วนมูลค่าการนำเข้าของไทยอยู่ที่ 377,968 ล้านบาท โดยที่ไทยได้ดุลการค้า 156,348 ล้านบาท โดยมูลค่าการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ ในช่วงครึ่งปีแรก มีมูลค่าการค้ารวม 493,470 ล้านบาท โดยมูลค่าการค้าสูงสุดตามลำดับ ได้แก่ ลาว มีมูลค่าสูงสุด 150,697 ล้านบาท มาเลเซีย 149,361 ล้านบาท เมียนมา 106,630 ล้านบาท และกัมพูชา 86,783 ล้านบาท ซึ่งจากมูลค่าการค้ารวมทั้งหมด แบ่งเป็นการส่งออก 305,452 ล้านบาท ในส่วนของการนำเข้าอยู่ที่ 188,019 ล้านบาท ทำให้ไทยได้ดุลการค้ารวม 117,433 ล้านบาท จากสินค้าส่งออกชายแดนที่สำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล 23,109 ล้านบาท น้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ 10,432 ล้านบาท และน้ำยางข้น 8,221 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าการค้าผ่านแดนไปประเทศที่สาม ช่วงครึ่งปีแรก มีมูลค่าการค้ารวม 418,813 ล้านบาท โดยการค้าผ่านแดนไปจีนมีมูลค่าสูงสุดที่ 244,175 ล้านบาท สิงคโปร์ 53,137 ล้านบาท และเวียดนาม 36,269 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งจากมูลค่าการค้ารวมทั้งหมด แบ่งเป็นการส่งออก 228,864 ล้านบาท และการนำเข้า 189,949 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.0% โดยสินค้าส่งออกผ่านแดนสำคัญ ได้แก่ ทุเรียนสด 67,601 ล้านบาท ฮาร์ด ดิสก์ ไดรฟ์ 40,957 ล้านบาท และยางแท่ง TSNR 19,500 ล้านบาท

นายชัยกล่าวว่า มูลค่าทางการค้าเพิ่มมากขึ้น เป็นข้อพิสูจน์ถึงการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดกิจกรรม ส่งเสริมการค้าชายแดน-ผ่านแดน งานมหกรรมการค้าชายแดนปี 2567 ระหว่างวันที่ 15-18 ส.ค.ที่ จ.สงขลา บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมการค้าภายใน ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เข้าร่วม โดยจัดแสดงและจำหน่ายสินค้า ประชุมติดตามสถานการณ์การค้าชายแดน เจรจาจับคู่ธุรกิจออนไลน์ และสัมมนาให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจการค้าชายแดน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

พบโลโก้นี้ “30 รักษาทุกที่” ยื่นบัตรประชาชนใบเดียว ไม่ต้องมีใบส่งตัว

 

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2567 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เปิดเผยว่า ในการดำเนินการ “30 บาทรักษาทุกที่” ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความสับสนและเข้ารับบริการได้อย่างถูกต้องตามนโยบายที่จะเริ่มให้บริการในวันที่ 26 สิงหาคมนี้

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาได้มอบให้ สปสช.จัดทำแนวทางการเข้ารับบริการ และยังเป็นแนวทางการให้บริการสำหรับหน่วยบริการที่เข้าร่วมให้บริการด้วย เพื่อความชัดเจนในการดูแล 

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับโลโก้ 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อใช้ในการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ ได้มอบให้ สปสช. ดำเนินการจัดทำโลโก้ใหม่ ที่มีความโดดเด่น ชัดเจน และสังเกตได้ง่าย ทำให้ประชาชนเข้ารับบริการได้โดยสะดวก

การออกแบบนั้นในโลโก้นี้นอกจากจะประกอบด้วยข้อความ “30 บาทรักษาทุกที่” แล้ว ยังมีเครื่องหมาย “ถูก” ที่สะท้อนว่า ที่นี่ให้บริการอย่างมีคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข บนสัญลักษณ์เครื่องหมายกากบาทสีแดง “กาชาด” และได้ใช้สีแดงที่สื่อถึงการรักษาพยาบาล ที่บ่งบอกถึงความอุ่นใจในบริการดูแล   

ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคมนี้ ซึ่งจะเป็นวันคิกออฟ 30 บาทรักษาทุกที่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จะเห็นสัญลักษณ์ “30 บาทรักษาทุกที่” ติดที่หน่วยบริการในระดับปฐมภูมิ ท่านสามารถเดินเข้ารับบริการได้เลย ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว ใช้แค่บัตรประชาชนใบเดียว โดยใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาทแต่ถ้าอาการเกินจากศักยภาพที่หน่วยบริการปฐมภูมิและหน่วยบริการนวัตกรรมจะให้การดูแลได้ก็จะได้รับการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่รับส่งต่อ

เรียกว่า เป็นการเพิ่มการเข้าถึงบริการ เพิ่มความสะดวก ลดความแออัดการเข้ารับบริการให้กับประชาชน โดยการมีส่วนร่วมจากหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน

สำหรับตราสัญลักษณ์ใหม่นั้นจะเริ่มติดที่หน่วยบริการที่เข้าร่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานครก่อน หลังจากนั้นจะทยอยติดที่หน่วยบริการในจังหวัดนำร่องที่ผ่านมาให้ครบถ้วน เพื่อให้ประชาชนใช้บริการได้สะดวกและง่ายขึ้น นายสมศักดิ์ กล่าว

ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การที่มีตราสัญลักษณ์ 30 บาทรักษาทุกที่ติดที่หน่วยบริการนั้น หมายความว่า หน่วยบริการนั้นคือหน่วยบริการในระดับปฐมภูมิที่เข้าร่วมให้บริการประชาชนสิทธิบัตรทอง 30 บาท หรือสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตามนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ซึ่งจะต้องผ่านหลักเกณฑ์ 3 ข้อ ดังนี้

1.มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการยืนยันตัวตนผู้ใช้บริการทั้งก่อนการใช้บริการและหลังการใช้บริการ หรือที่เรียกว่าการเปิดและปิดสิทธิในการให้บริการผู้ใช้สิทธิบัตรทองได้

2.ได้ทำการเชื่อมข้อมูลสุขภาพกับ สปสช. แล้ว

3. มีระบบส่งต่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-Referral) เพื่อเชื่อมข้อมูลกับโรงพยาบาลรับส่งต่อในเครือข่ายในกรณีที่อาการผู้ป่วยเกินศักยภาพให้บริการได้ 

สำหรับการเข้ารับบริการนั้น ประชาชนผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท นอกจากจะเข้ารักษาตามขั้นตอนปกติที่หน่วยบริการประจำของท่านแล้ว ยังมีทางเลือกใหม่สามารถเข้ารับบริการที่หน่วยบริการที่มีตราสัญลักษณ์ (โลโก้) “30 บาทรักษาทุกที่” ปรากฏอยู่ด้านหน้า ซึ่งจะเป็นหน่วยบริการในระดับปฐมภูมิ ได้แก่ รพ.สต., สถานีอนามัย, ศูนย์สุขภาพชุมชน, โรงพยาบาลชุมชน (รพช.) ประจำอำเภอ, และ โรงพยาบาลศูนย์ (รพศ.)/โรงพยาบาลทั่วไป (รพท.) ประจำจังหวัด

ขณะที่ในกรุงเทพมหานคร หน่วยบริการระดับปฐมภูมิจะเป็น คลินิกชุมชนอบอุ่น และศูนย์บริการสาธารณสุข นอกจากนั้นยังมีหน่วยปฐมภูมิของโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์เข้าร่วมด้วย สำหรับโรงพยาบาลรัฐสังกัดอื่น ๆ นั้น เป็นหน่วยบริการในระดับทุติยภูมิและตติยภูมิ ถือเป็นหน่วยบริการรับส่งต่อที่จะต้องใช้ใบส่งตัวในการเข้ารักษา

นอกจากนั้น ยังมีหน่วยบริการนวัตกรรมที่เป็นทางเลือกใหม่ ได้แก่ ร้านยาคุณภาพและคลินิกเอกชนที่เข้าร่วมกับ สปสช. เช่น คลินิกเวชกรรม คลินิกทันตกรรม คลินิกพยาบาล คลินิกเทคนิคการแพทย์ คลินิกแพทย์แผนไทย คลินิกกายภาพบำบัด เป็นต้น

ในกรณีที่อาการป่วยเกินศักยภาพที่หน่วยบริการที่จะให้การรักษาได้ ก็จะได้รับการส่งต่อไปรับบริการที่โรงพยาบาลในเครือข่าย ซึ่งระบบการส่งต่อจะมีทั้งในรูปแบบใบส่งตัวกระดาษและใบส่งตัวอิเล็กทรอนิกส์หรือแบบออนไลน์ขึ้นอยู่กับความพร้อมของหน่วยบริการในการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ ในส่วนของหน่วยบริการที่เข้าร่วมและจะเข้าร่วมกับ สปสช.ทุกแห่งนั้น

ขอให้มั่นใจในการเรื่องการเบิกจ่ายชดเชยค่าบริการ ซึ่ง สปสช. ได้มีการปรับการจ่ายบริการในรูปแบบใหม่ รวมถึงระบบการเบิกจ่ายเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่เข้ากับระบบสุขภาพในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่ง สปสช. จะมีการจัดแถลงข่าวชี้แจงทำความเข้าใจขั้นตอนการใช้สิทธิของประชาชน การเชื่อมข้อมูล การส่งต่อผู้ป่วย และการเบิกจ่ายต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและหน่วยบริการ ในวันที่ 20 สิงหาคม 2567 นี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI AUTOMOTIVE

Tesla พับแผนตั้งโรงงาน ‘ไทย-มาเลย์-อินโด’ หลังไม่สามารถแข่งขันกับรถอีวีจากจีนได้

 

เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2567 นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซียเปิดเผยว่า “เทสลา อิงค์” (Tesla) ได้ตัดสินใจยกเลิกแผนการสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เนื่องจากความท้าทายจากการแข่งขันที่ดุเดือดจากประเทศจีนและสถานการณ์ที่บริษัทเผชิญอยู่

เว็บไซต์เดอะสเตรทไทม์สในสิงคโปร์รายงานว่า นายกรัฐมนตรีอันวาร์ได้กล่าวถึงเหตุผลที่เทสลาตัดสินใจเปลี่ยนแผน โดยระบุว่า ซาฟรุล อาซิส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรมของมาเลเซีย ได้รับข้อมูลตรงจากแหล่งข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของเทสลาว่า บริษัทไม่สามารถแข่งขันกับรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนได้

อันวาร์อธิบายว่า ซาฟรุลได้รับข้อมูลล่าสุดซึ่งแสดงถึงความเพลี่ยงพล้ำของเทสลาในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า และการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงจากรถอีวีที่ผลิตในจีน ซึ่งทำให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการตามแผนที่วางไว้ได้ นอกจากนี้ เขายังระบุว่า ข้อมูลที่ได้รับเป็นการรายงานโดยตรง ไม่ใช่จากสื่อ

นายกรัฐมนตรีอันวาร์ยังกล่าวด้วยว่าแผนการลงทุนในมาเลเซียยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น และตอนนี้เทสลามีเพียงการตั้งสำนักงานขายและโชว์รูมในประเทศไทยและมาเลเซียเท่านั้น

เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สำนักนายกรัฐมนตรีไทยได้เปิดเผยว่ามีการเจรจาเบื้องต้นกับเทสลาสำหรับการสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลไทยได้เสนอแผนการใช้พลังงานสีเขียว 100% ในโรงงานเพื่อดึงดูดการลงทุนจากเทสลา

ทางด้านซาฟรุล อาซิสได้ชี้แจงว่ากระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรมของมาเลเซียไม่เคยประกาศอย่างเป็นทางการว่าเทสลาจะเปิดโรงงานในประเทศมาเลเซีย และเทสลาก็ไม่เคยประกาศแผนการตั้งโรงงานในประเทศนี้เช่นกัน

ซาฟรุลยังกล่าวถึงรายงานล่าสุดที่เทสลาพับแผนการลงทุนในอาเซียนว่าไม่ได้มาจากแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจากเทสลา แต่เป็นข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

การแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าปัจจุบันมีความรุนแรงมากขึ้นจากการที่ผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศจีนสามารถเสนอราคาและเทคโนโลยีที่แข่งขันได้อย่างดุเดือด ซึ่งส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของบริษัทต่างชาติในการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน ขณะที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีนยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วและสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างกว้างขวาง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เว็บไซต์เดอะสเตรทไทม์สในสิงคโปร์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ธนพิริยะ ค้าปลีกเชียงราย ครึ่งแรกปี 67 กวาดรายได้ 1,409 ล้านบาท

 

เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ค้าปลีกเชียงรายโตแรงรับท่องเที่ยวเมืองรอง TNP กวาดรายได้ ครึ่งแรกปี 67 ทะลุ1,409 ล้านบาท โต 11% กำไรสุทธิ 87 ล้านบาทครึ่งปีหลังเร่งขยายเพิ่ม 4 สาขาในช่วงที่เหลือของปี รับดิจิทัลวอลเล็ต เที่ยวเมืองรอง และไฮซีซั่นในช่วงโค้งสุดท้ายของปี หนุนรายได้ทั้งปีโต 10-15%

เภสัชกรหญิงอมร พุฒิพิริยะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคในจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรก 2567 บริษัทเร่งเปิดสาขาใหม่และเพิ่มสัดส่วนการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าในกลุ่มแม่และเด็กรวมถึงเพิ่มสัดส่วนการขายส่งให้กับร้านค้า ทำให้ผลประกอบการครึ่งปีแรกมีรายได้จากการขายจำนวน 1,409.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 144.03 ล้านบาท คิดเป็น 11.38% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 244.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.92% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 17.36% ซึ่งการเพิ่มขึ้นของกำไรขั้นต้นดังกล่าวเกิดจากภาพรวมยอดขายที่เติบโต สนับสนุนให้มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 87.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.62% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 6.15

ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 67 TNP มีรายได้จากการขายจำนวน 709.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.25% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักจากยอดขายของสาขาเดิมที่เติบโต 1.4% ทำให้มีกำไรขั้นต้น 122.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.82% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน

โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 17.20% ด้านกำไรสุทธิอยู่ที่ 42.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.65% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 5.92%

ทั้งนี้ทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 67 เป็นไปตามกลยุทธ์หลักในการเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นรากฐานการเติบโตในอนาคต โดยครึ่งปีแรกของปี 2567 บริษัทได้เปิดสาขาใหม่จำนวน 1 สาขา ทำให้มีสาขาทั้งหมดจำนวน 46 สาขา

และในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ธนพิริยะเปิดสาขาใหม่อีก 1 สาขา รวมเป็น 47 สาขา อีกทั้งมีแผนเปิดเพิ่มอีก 4 สาขาในช่วงที่เหลือของปี สนับสนุนให้ในสิ้นปี ธนพิริยะจะมีสาขาทั้งสิ้น 51 สาขา

“ในปี 67 นี้ TNP ตั้งเป้าเติบโตอยู่ที่ 10-15% ซึ่งมั่นใจได้ว่าจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยขยายสาขาเพิ่มเพื่อรับกำลังซื้อที่ฟื้นตัว และการบริหารงานที่ทันต่อสถานการณ์ บวกกับอานิสงส์ของนโยบายภาครัฐ ทั้งในส่วนของดิจิทัลวอลเล็ต ถ้าดีเดย์ อนุมัติใช้แล้วคาดว่าประชาชนจะเข้ามาซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่ร้านค้า กระตุ้นยอดขายได้มากขึ้น

นอกจากนี้ มาตรการสนับสนุนการเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดท่องเที่ยวรอง สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นปัจจัยสนับสนุนบรรยากาศการใช้จ่ายภายในจังหวัดเชียงรายให้คึกคัก เนื่องจากเป็นจังหวัดแลนด์มาร์คที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจ จึงมองว่าในปี 67 บริษัทฯ จะสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่ง”

ทั้งนี้ เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล งวดผลดำเนินงานงวด 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 67 ในอัตราหุ้นละ 0.0425 บาท ซึ่งกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ในวันที่ 20 สิงหาคม 2567 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 5 กันยายน 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ดึงพลังคนรุ่นใหม่ เทศกาลออกแบบ ของคนเชียงรายสร้างสรรค์ ครั้งที่ 3

 

เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2567 ที่ลานธรรม ลานศิลป์ ถิ่นพญามังราย ศาลากลางหลังแรก จังหวัดเชียงราย นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงานเทศกาลออกแบบของคนเชียงรายสร้างสรรค์ (Chiangrai Sustainable Design Week 2024) ครั้งที่ 3 “Chiangrai Creature” สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเมือง โดยมีนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน และประชาชน เข้าร่วมแสดงความยินดีในการจัดงานในครั้งนี้

เทศกาลออกแบบของคนเชียงรายสร้างสรรค์ (Chiangrai Sustainable Design Week 2024) ครั้งที่ 3 เป็นความร่วมมือระหว่างจังหวัดเชียงราย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เทศบาลนครเชียงราย รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ภายใต้แนวคิด Chiangrai Creature สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเมือง แนวคิดเมืองมีชีวิต สรรพสิ่งมีชีวิต สะท้อนแนวคิดเมืองสร้างสรรค์เชียงรายที่สมดุล ใน 4 มิติ ที่มีความสัมพันธ์กัน ได้แก่ มิติที่ 1 คนรุ่นใหม่ คือศูนย์กลางแห่งการแลกเปลี่ยนและพัฒนากระบวนทัศน์ทางความคิด และความคิดสร้างสร้างสรรค์ ผลักดันโอกาสทางเศรษฐกิจการลงทุน และสังคมและวัฒนธรรมของเชียงราย มิติที่ 2 การก่อให้เกิดความยั่งยืนผ่านกระบวนทางความคิดและความคิดสร้างสรรค์ผสานกับการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เป็นรากฐานสำคัญในกระบวนการแห่งการพัฒนาเมือง มิติที่ 3 ความหลากหลายทางพหุวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์เป็นแก่นทางสังคมและวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกและปลุกความมีชีวิตของเมืองเชียงราย และมิติที่ 4 การมีส่วนร่วมของชุมชนร่วมออกแบบเมืองเชียงรายให้เมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่มีคุณภาพชีวิต

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบของ UNESCO (UCCN) ในฐานะที่มีเป็นเมืองน่าอยู่ เมืองน่าลงทุน และเมืองน่าเที่ยวสนุกสนาน พร้อมเปิดความรู้และประสบการณ์จาก 3 กิจกรรมหลักสอดคล้องเมืองน่าอยู่กับกิจกรรม SMOG ธุลีกาศสร้างสรรค์วัสดุเหลือใช้จากการเกษตรที่ก่อให้เกิดไฟป่าและมลภาวะ PM 2.5 ให้เป็นสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ทั้งเฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น ซึ่งเป็นการตระหนักและสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นกับเมืองเชียงราย โดยเฉพาะกิจกรรมสล่ากาแฟ ที่สะท้อนกระบวนการของความคิดสร้างสรรค์ ความประณีต และความใส่ใจในทุกรายละเอียดของกระบวนการผลิตกาแฟ เพื่อให้ได้ผลผลิตและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และมีความพิเศษ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันและมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และสังคมและวัฒนธรรมของเมืองเชียงราย 

ทั้งนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมวน “เวียง” เจียงฮาย ที่ถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) ตอกย้ำความเข้มแข็งและการให้ความสำคัญกับการศึกษาในรูปแบบต่างๆ การฉายภาพ Projection Mapping สื่อความหมายปัจจุบันและอนาคตที่ทุกภาคส่วนของจังหวัดเชียงรายได้ร่วมกันออกแบบ กิจกรรม exhibition & showcase บูทนิทรรศการจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถานศึกษา และผู้ประกอบการ การสัมมนาทางวิชาการด้านการออกแบบสร้างสรรค์ กิจกรรม Learning & sharing กิจกรรม workshop ตลาดนัดนักออกแบบ Design market การขายสินค้าที่สะท้อนศักยภาพพื้นถิ่นด้วยความคิดสร้างสรรค์ และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งงานจัดระหว่างวันที่ 9 – 15 สิงหาคม 2567 ณ ลานธรรม ลานศิลป์ ถิ่นพญามังราย ศาลากลางหลังแรก จังหวัดเชียงราย ตั้งแต่เวลา 13.00 – 21.00 น.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กาดอุตสาหกรรมรักษ์โลก ชม ชิม ช้อป ผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป จ.เชียงราย

 

เมื่อวันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม 2567 นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ประธานในพิธีเปิดงาน “BCG Industry Happy market กาดอุตสาหกรรมรักษ์โลก” ณ ศูนย์การค้า บิ๊กซี  ซูเปอร์เซ็นเตอร์ เชียงราย 1  มีนางกฤษนันท์ ทะวิชัย อุตสาหกรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมในครั้งนี้  ซึ่งมีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนหน่วยงาน  ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ผู้ประกอบการ และนักท่องเที่ยว มาจับจ่ายซื้อของภายในงานอย่างคึกคัก 

          นางกฤษนันท์ ทะวิชัย อุตสาหกรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า งาน “BCG Industry Happy market กาดอุตสาหกรรมรักษ์โลก” กิจกรรมพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปโดยใช้วิทยาศาสตร์  นวัตกรรม ตามแนวคิด BCG ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพการผลิตและสร้างเครือข่ายผลิตสินค้าเกษตรคุณภาพ อาหารปลอดภัย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ที่จัดขึ้นในครั้งนี้  เพื่อเป็นการเปิดพื้นที่จัดแสดงและทดสอบตลาด ผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพช่องทางการจัดจำหน่าย ให้แก่ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปที่ได้รับองค์ความรู้ การปรับเปลี่ยนแนวคิด โดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมตามแนวคิด BCG จากการที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงราย ได้จัดหลักสูตรการอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การสร้างแรงบันดาลใจในการเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่” เมื่อวันที่ 23 – 26 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา

          ด้าน นางสุภาพรรณ  หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย  กล่าวว่า  จังหวัดเชียงราย เป็นจังหวัดที่ประชากรส่วนใหญ่ยังอยู่ในภาคการเกษตร ดังนั้นการสร้างมูลค่าเพิ่มของภาคการเกษตรเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของจังหวัดเชียงราย ซึ่งการสร้างมูลค่าเพิ่ม  โดยยการส่งเสริมการเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญโดยเน้นการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมี  หรือใช้ในระดับที่ปลอดภัย รวมทั้งการพัฒนาและยกระดับกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดต้นทุนการใช้พลังงาน ตลอดจนการส่งเสริม
การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร เพื่อส่งเสริมสนับสนุนเกษตรกร  วิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการอุตสาทกรรมเกษตรแปรรูป ให้มีความมั่นคงด้านอาชีพ และมั่งคั่งด้านรายได้อย่างยั่งยืนต่อไป

          สำหรับงานแสดงสินค้าผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป “BCG Industry Happy market กาดอุตสาหกรรมรักษ์โลก” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 – 10 สิงหาคม 2567 ณ ศูนย์การค้าบิ๊กซีเชียงราย 1 ชั้น 1 ลานบิ๊กบาร์ซาร์ อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงราย จัดกิจกรรมจิตอาสาปลูกต้นไม้และปล่อยปลา เฉลิมพระเกียรติ “วันแม่แห่งชาติ”

 

เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 67 ณ หนองหลงโค้ง บ้านหนองบัวแดง หมู่ที่ 5 ตำบลแม่ข้าวต้ม อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานกิจกรรมจิตอาสาปลูกต้นไม้และปล่อยปลา เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2567 โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ผู้นำท้องถิ่น ท้องที่ จิตอาสาพระราชทาน และประชาชนจิตอาสาจังหวัดเชียงราย ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

โดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้นำผู้เข้าร่วมกิจกรรม ร่วมกันปล่อยพันธุ์ปลา และปลูกต้นไม้บริเวณหนองหลงโค้ง เพื่อให้ทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงรายได้มีส่วนร่วมในการเพิ่มพูนปริมาณสัตว์น้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติ ให้มีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น เป็นการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้มีความยั่งยืน ช่วยขยายพันธุ์สัตว์น้ำลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ รวมทั้งเพื่อเทิดพระเกียรติ และถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมพระราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2567 พร้อมร่วมกันแสดงความจงรักภักดี และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมพระราชชนนีพันปีหลวง ทรงปฏิบัติบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ ทรงคันคิดและพัฒนาโครงการต่าง ๆ นับเป็นอเนกประการ ทั้งการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมอนุรักษ์ฟื้นฟูงานศิลปะพื้นบ้าน และงานหัตถศิลป์อันงดงามหลากหลายสาขา ก่อให้เกิดคุณประโยชน์ ต่อราษฎรและประเทศชาติสืบไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

โครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง”ช่วยชาวเขา ช่วยชาวเรา ช่วยชาวโลก”

 

เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2567 ที่ห้องเชียงรุ้ง โรงแรมเวียงอินทร์ เชียงราย อำเภอเมือง นางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและคณะทำงานโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง เรื่อง “การติดตามผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติงานแบบบูรณาการ ประจำปี 2567” โครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงกลุ่ม 2 เชียงราย ลุ่มน้ำโขงเหนือ โดยมีนายอดิเรก อินต๊ะฟอง ผู้อำนวยการสำนักพัฒนา สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง นำหัวหน้าส่วนราชการ ส่วนราชการ ภาคเอกชน องค์การบริการส่วนท้องถิ่น ผู้แทน จำนวนทั้งสิ้น 126 คน จาก 55 หน่วยงาน เข้าร่วม 

ซึ่งก่อนการเปิดประชุมนางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืนแบบโครงการหลวง ระหว่างองค์การบริหารส่วนตำบลในพื้นที่ดำเนินงาน 3 แห่ง อุทยานแห่งชาติดอยหลวง สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 เชียงราย และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง เพื่อบูรณาการแผนปฏิบัติงานร่วมกัน พัฒนาประชาชนบนพื้นที่สูงให้มีการประกอบอาชีพ ที่สอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และตามแนวทางของโครงการหลวง เพื่อให้ชุมชนมีความเข้มแข็งสามารถพึ่งพาตนเองได้ เป็นชุมชนอยู่ดีมีสุข ประกอบอาชีพควบคู่ไปกับการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

นางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า โครงการหลวงได้ดำเนินงานตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชดำริ และพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้ดำเนินงานพัฒนาการเกษตรบนพื้นที่สูง ลดการปลูกพืชเสพติด และการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าต้นน้ำลำธาร โดยมุ่งช่วยเหลือประชาชนบนพื้นที่สูงให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น (“ช่วยชาวเขา ช่วยชาวเรา ช่วยชาวโลก”) พระบาทสมเด็จฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงมีพระราชปณิธานในการสืบสาน รักษา ต่อยอด งานโครงการหลวง และให้ขยายผลงานออกไป เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่อยู่นอกพื้นที่โครงการหลวง พร้อมกล่าวต่อไปว่า จึงขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนราชการให้มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่น มุ่งเน้นถึงผลสัมฤทธิ์ของงานเป็นหลัก และทางจังหวัดเชียงรายพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อให้การดำเนินงานของโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร โดยเฉพาะปัญหาที่จำเป็นต้องร่วมกันแก้ไข เช่น การพัฒนาแหล่ง น้ำ และการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรและอุปโภค-บริโภค รวมถึงการพัฒนาอาชีพของเกษตรกรบนพื้นที่สูงให้มีรายได้ที่เพียงพอ โดยควบคู่ไปกับการดูแลป่าต้นน้ำการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เกิดความยั่งยืน

โดยการจัดประชุมในครั้งนี้ เพื่อติดตามผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกำหนดแนวทางและเป้าหมายของการพัฒนาชุมชนบนพื้นที่สูงจังหวัดเชียงราย ให้เป็นคู่มือการปฏิบัติงานในพื้นที่กับบุคลากรของหน่วยงานต่างๆ เพื่อจะได้นำปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ ในการดำเนินงาน มาร่วมพูดคุยและร่วมกันกำหนดเป็นแผนงานในปีต่อ ๆ ไปได้อย่างเหมาะสม ให้มีความสอดคล้องกับศักยภาพ และความต้องการของชุมชนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News