Categories
WORLD PULSE

‘ไทย’ เจรจา ‘จีน’ สร้างเส้นทางรถไฟ“เมืองโม่หาน” ขนส่งสินค้าเชื่อม อ.เชียงของ

 

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2567 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ได้เข้าพบนายหลี่ เสี่ยวเผง รมว.คมนาคมของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยได้หารือถึงภาพรวมด้านการคมนาคม ประกอบด้วย การขนส่งทางอากาศ ทางราง ทางน้ำ และทางบก พร้อมกล่าวถึงแนวทางความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งในปัจจุบัน และอนาคต เพื่อพัฒนาระบบให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น โดยการขนส่งทางอากาศนั้น เพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายยกเว้นการตรวจลงตรา (วีซ่าฟรี) ระหว่างไทย และจีน เพื่อความสะดวกต่อประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ จึงได้ขอให้รัฐบาลจีนพิจารณาถึงแนวทางการเพิ่มเวลาการบิน (slots) ระหว่างไทย-จีน ให้กับสายการบินของทั้ง 2 ประเทศ เพื่อให้เกิดความสะดวก และมีราคาที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้น

 

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังได้เชิญชวนผู้รับเหมาที่มีศักยภาพ และคุณภาพจากประเทศจีน เข้าร่วมประมูลงานจากแผนการขยายท่าอากาศยาน ทั้งที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต เพื่อร่วมพัฒนาโครงการในประเทศไทย พร้อมกันนี้ได้หารือถึงการพัฒนารถไฟทางคู่สายใหม่ จากอำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ ขึ้นไปเชื่อมกับสถานีขนถ่ายสินค้าที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ซึ่งตั้งอยู่ริมชายแดนระหว่างไทย กับ สปป.ลาว โดยเส้นทางดังกล่าวปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จในอีก 4 ปีข้างหน้า โดยรถไฟสายนี้ จะเป็นประโยชน์กับการขนส่งสินค้าจากจีนตอนใต้ออกสู่มหาสมุทรอินเดียได้ หากประเทศจีนพิจารณาก่อสร้างเส้นทางรถไฟจากชายแดนของจีนที่เมืองโม่หาน เชื่อมต่อมาที่เชียงของ ระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร (กม.) ก็จะทำให้การขนส่งสินค้าสามารถขนส่งจากจีนตอนใต้ มาที่ท่าเรือน้ำลึกในจังหวัดระนองได้

 

นายสุริยะ กล่าวต่ออีกว่า ประเทศไทยมีความชื่นชมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของจีน โดยเฉพาะการก่อสร้างถนนและทางด่วนของจีน ซึ่งมีความก้าวหน้าอย่างมาก และมีมาตรฐานที่ดี โดยเฉพาะเทคนิคในการขุดเจาะอุโมงค์ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ระหว่างการพิจารณาก่อสร้างอุโมงค์ทางด่วนที่จังหวัดภูเก็ต จึงต้องการให้บริษัทจีนที่มีความเชี่ยวชาญในงานอุโมงค์เข้ามาร่วมลงทุนในโครงการดังกล่าว และขอให้มีการจัดตั้งคณะทำงาน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีระหว่างกันในด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งฝ่ายจีนยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับฝ่ายไทย ทั้งการจัดตั้งคณะทำงาน และการประชาสัมพันธ์โครงการก่อสร้างอุโมงค์ดังกล่าว

 

นายสุริยะ กล่าวด้วยว่า ในโอกาสนี้นายหลี่ เสี่ยวเผง ได้เชิญตน และผู้บริหารกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมงาน Global Sustainable Transport Forum 2024 ที่กระทรวงคมนาคมของจีนเป็นเจ้าภาพ จัดขึ้นในช่วงเดือน ก.ย. 67 ด้วย ซึ่งการประชุมดังกล่าว จะมีการหารือ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในเรื่องความยั่งยืนด้านการขนส่ง ประเด็นการขนส่งสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยฝ่ายจีนจะมีหนังสือเชิญเข้าร่วมงานอย่างเป็นทางการต่อไป.

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

“ไทย” ติดอันดับ 2 ของอาเซียนให้เงินเดือน ‘พนักงานจบใหม่’ มากที่สุด

 

เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าทางเว็บไซด์ชื่อดังอย่าง TEMPO.CO จาการ์ตา ได้แจ้งถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน ที่อุดมไปด้วยวัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ และเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องรวมถึงการลงทุนที่ไหลเข้าสู่ภูมิภาค ทำให้ประเทศในโซนทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายประเทศมีการให้เงินเดือนที่สูงให้กับพลเมืองของตน

จากข้อมูลของ Time Doctor เงินเดือนโดยเฉลี่ยในเอเชียอยู่ที่ประมาณ 12,883 เหรียญสหรัฐต่อปีหรือ 472,290.78 บาทต่อปีถ้าคิดเป็นเงินไทย แม้ว่าระดับเงินเดือนจะแตกต่างกันไปในประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ภูมิภาคโดยรวมก็มอบโอกาสมากมายให้ผู้อยู่อาศัยได้รับมาตรฐานการครองชีพในระดับสูง โดยรายชื่อประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีเงินเดือนสูงสุดในปี 2567 และเงินเดือนโดยเฉลี่ยตาม Time Champ ดังนี้

 

  1. สิงคโปร์ สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยมีเงินเดือนเฉลี่ยสูงที่สุด ด้วยสถานะเป็นศูนย์กลางทางการเงินและเทคโนโลยี สิงคโปร์ดึงดูดคนงานที่มีประสบการณ์จำนวนมากจากทั่วทุกมุมโลก เงินเดือนโดยเฉลี่ยในสิงคโปร์สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกมาก ซึ่งก็คือ 6,332 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 232,131.12 บาท
  1. ประเทศไทย ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสอง และเป็นสถานที่ที่ดีในการจ้างบุคคลภายนอก เนื่องจากมีลักษณะการแข่งขันในด้านเงินเดือนเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ จากข้อมูลของ Time Camp ค่าจ้างเฉลี่ยในประเทศไทยอยู่ในช่วงประมาณ 20,000 ถึง 25,000 บาทสำหรับตำแหน่งระดับเริ่มต้น ผู้ประกอบอาชีพระดับกลางสามารถคาดหวังเงินเดือนที่สูงขึ้น ซึ่งสามารถอยู่ในช่วงตั้งแต่ 50,000 ถึง 100,000 บาท
  1. บรูไน แม้จะมีประชากรค่อนข้างน้อย แต่บรูไนก็ขึ้นชื่อในด้านทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ สิ่งนี้ทำให้ประเทศมีเงินเดือนสูงสำหรับผู้อยู่อาศัยด้วยมาตรฐานการครองชีพที่ค่อนข้างสูง อ้างอิงจาก Salary Explorer รายได้เฉลี่ยในบรูไนปัจจุบันอยู่ที่ 87,503.21บาท
  1. มาเลเซีย มาเลเซียเสนอโอกาสในการทำงานที่น่าดึงดูดในภาคส่วนต่างๆ ให้กับผู้อยู่อาศัย ซึ่งจะเป็นการเพิ่มระดับรายได้โดยรวม เงินเดือนโดยเฉลี่ยในมาเลเซียคือ 38,306.36 บาท
  1. ฟิลิปปินส์ ฟิลิปปินส์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฟิลิปปินส์ยังเป็นจุดหมายปลายทางด้านการจ้างงานภายนอกอันดับต้นๆ เนื่องจากมีแรงงานที่มีทักษะและค่าจ้างที่แข่งขันได้ เงินเดือนโดยเฉลี่ยในฟิลิปปินส์อยู่ที่ประมาณ 21,675.87 บาท
  1. อินโดนีเซีย อินโดนีเซียเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีประชากรจำนวนมากและมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แม้จะมีเงินเดือนต่ำกว่าประเทศอย่างสิงคโปร์หรือบรูไน แต่อินโดนีเซียยังคงมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคง ค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ยในอินโดนีเซียอยู่ที่ 11,576.84 บาทต่อเดือน ในขณะเดียวกัน ตามข้อมูลของ Salary Explorer เงินเดือนโดยเฉลี่ยในอินโดนีเซียอยู่ที่ประมาณ 20,588.99 บาท
  1. เวียดนาม เวียดนามกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักลงทุนต่างชาติในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการผลิตและเทคโนโลยี ประเทศนี้ยังขึ้นชื่อในด้านทิวทัศน์ที่สวยงาม ประวัติศาสตร์อันยาวนาน และศูนย์กลางการพัฒนาธุรกิจและการลงทุน ตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเดือนพฤศจิกายน 2023 เงินเดือนที่น้อยที่สุดในเวียดนามคือ 7 บาทต่อเดือน ในขณะเดียวกัน เงินเดือนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณเกือบเท่ากับ 26,138.58 บาท
  1. ลาว ลาวเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระดับเงินเดือนต่ำกว่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ตาม ด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและการลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ระดับรายได้ในประเทศก็เริ่มเพิ่มขึ้นเช่นกัน จากสถิติล่าสุด เงินเดือนโดยเฉลี่ยในลาวคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3,666 – 4,949 บาท
  1. กัมพูชา การเติบโตทางเศรษฐกิจในกัมพูชาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการท่องเที่ยวและการผลิต ปัจจุบันเงินเดือนโดยเฉลี่ยในกัมพูชาอยู่ที่ประมาณ 5,499 ถึง 7,332 เหรียญสหรัฐต่อเดือน
  1. เมียนมาร์ โดยทั่วไปแล้ว ค่าจ้างเฉลี่ยในเมียนมาร์ถือว่าต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนหลายแห่ง เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมหลายประการ เงินเดือนเฉลี่ยต่อเดือนในเขตเมือง โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น ย่างกุ้ง และมัณฑะเลย์ มีแนวโน้มสูงกว่าในเขตชนบท เงินเดือนโดยเฉลี่ยในเมียนมาร์คือ 5,430 บาท
  1. ติมอร์-เลสเต จากข้อมูลของ Time Camp เงินเดือนโดยเฉลี่ยในประเทศนี้อยู่ระหว่าง 5,499 บาท ถึง 9,165 เหรียญสหรัฐ  รายได้ในติมอร์-เลสเตค่อนข้างต่ำ เมื่อพิจารณาว่าประเทศนี้ยังคงมีการพัฒนาโครงสร้างทางเศรษฐกิจหลังจากได้รับเอกราชจากอินโดนีเซียในปี พ.ศ. 2545
ที่มา : TEMPO.CO

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : TEMPO.CO

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

สินเชื่อบ้าน-รถ กู้ผ่านยากขึ้นธนาคารกล้าเสี่ยงหลังหนี้ค้างชำระพุ่งไม่หยุด

 
เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2567 นายอลงกต บุญมาสุข เลขาธิการและประธานกรรมการบริหารสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แม้ว่าทิศทางเศรษฐกิจจะปรับดีขึ้น และมีมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ผู้บริโภคกลับมาตัดสินใจซื้อบ้านและขอสินเชื่อมากขึ้น แต่ปัจจัยการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินขึ้นอยู่กับ “ภาระหนี้” และ “รายได้” รวมถึงวินัยทางการเงินของผู้กู้เป็นหลัก

 

โจทย์ใหญ่ของสินเชื่อที่อยู่อาศัย จะเป็นเรื่องของปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งกดดันกำลังซื้อ และการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน เนื่องจากปัจจัยการปฏิเสธสินเชื่อ (Rejection Rate) ทั้งระบบที่อยู่ในระดับสูงกว่า 50% มาจาก 2 ส่วน คือ ลูกหนี้มี “รายได้ไม่พอ” และ “ภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูง”

 

ซึ่งรีเจ็กต์ 50% ยังเป็นตัวเลขที่ต้องคอยจับตาว่าจะไหลเพิ่มขึ้น โดยผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จะต้องหาคนที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยจริง ขณะที่สถาบันการเงินยังต้องบริหารจัดการหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ให้อยู่ จึงต้องเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ

 

นายอลงกตกล่าวว่า แนวโน้มหนี้เสียของสินเชื่อบ้านมีโอกาสไหลเพิ่มขึ้นได้ ทั้งจากหนี้ที่อยู่ในระดับสูง เศรษฐกิจที่ยังไม่ได้ฟื้นตัวเต็มที่ ทำให้ตัวเลขสินเชื่อกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) หรือค้างชำระตั้งแต่ 30 วัน แต่ไม่ถึง 90 วัน มีโอกาสไหลเป็นหนี้เอ็นพีแอลมากขึ้น

 

แม้ว่าจะเห็นธนาคารมีการเร่งปรับโครงสร้างหนี้ก่อนและหลังเป็นหนี้เสีย ตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แต่เพราะตัวเลข SM ค่อนข้างเยอะ ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถปรับโครงสร้างได้หรือไม่ โดยข้อมูลหนี้ครัวเรือนล่าสุด ณ สิ้นปี 2566 มีมูลค่า 16.36 ล้านล้านบาท หรือ 91.3% ของจีดีพี

 

“แม้ว่าเศรษฐกิจจะทยอยดีขึ้น ดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง คนกลับมาขอสินเชื่อมากขึ้น แต่การอนุมัติสินเชื่อขึ้นอยู่กับภาระหนี้และรายได้ของลูกค้า ซึ่งเรายังมองว่าในไตรมาสที่ 2 ยังคงเห็นแบงก์เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะในกลุ่มต่ำกว่า 3 ล้านบาท จนกว่าจะเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมาตรการแก้ไขหนี้ชัดเจนที่เป็นโจทย์ใหญ่ของประเทศ โดยที่สัญญาณ SM และ NPLs ยังมีโอกาสไหลเพิ่มขึ้น”

 

นายเอกสิทธิ์ พฤฒิพลากร ผู้บริหารผลิตภัณฑ์และธนาคารดิจิทัล และรักษาการผู้บริหารผลิตภัณฑ์สินเชื่อรายย่อย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ทิศทางของสินเชื่อที่อยู่อาศัย มองว่าสัญญาณการปฏิเสธสินเชื่อ (Rejection Rate) ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากสถาบันการเงินยังคงปล่อยสินเชื่อระมัดระวัง เพื่อดูแลคุณภาพสินเชื่อ ซึ่งจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง เศรษฐกิจไม่ได้ฟื้นตัวดี

 

โดยพบว่ากลุ่มบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ยอดปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มจาก 50% เป็น 70% ถือว่าสูงมาก เพราะเป็นกลุ่มที่มีหนี้ครัวเรือนสูง ส่วนกลุ่มราคาบ้าน 3-5 ล้านบาท จากเดิม 40% เพิ่มเป็น 50% และกลุ่มราคามากกว่า 5 ล้านบาท อยู่ที่ 40% จากเดิมกว่า 30% เป็นต้น

 

 

ภายใต้มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์มองว่า ไม่ได้สร้างดีมานด์เพิ่ม แต่ช่วยกระตุ้นให้คนที่กำลังจะซื้อบ้านแต่ยังลังเลเร่งการตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น เพราะจะเห็นว่าไม่ใช้มาตรการใหม่ แต่มีการขยายกลุ่มราคาบ้านเป็น 7 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มนี้ตัดสินใจซื้อจะช่วยหนุนกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของจีดีพี คาดว่าปีนี้สินเชื่อบ้านโตได้ 3-4% ถือว่าเก่งแล้ว

 

ด้านนายจเร เจียรธนะกานนท์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าผลิตภัณฑ์สินเชื่อรายย่อย ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ ทีทีบี เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านอสังหาฯของรัฐบาล โดยมีการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยราคาบ้านไม่เกิน 7 ล้านบาทนั้น มองว่าจะช่วยระบายสต๊อกบ้านราคา 3-7 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 20-30% ของตลาด เพราะเป็นตลาดกลุ่มที่พอมีกำลังซื้อ

 

สำหรับคุณภาพสินเชื่อที่อยู่อาศัยโดยรวมสอดคล้องกับทิศทาง ธปท. คือจะเห็นคุณภาพสินเชื่อบ้านด้อยลง โดยจะเห็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้เป็นการเพิ่มขึ้นรวดเร็ว จะเป็นการทยอยขยับขึ้น แม้ว่ากลุ่มลูกค้าราคาบ้าน 3-7 ล้านบาท ค่อนข้างมีคุณภาพ แต่ยังเห็นหนี้เสียเพิ่มขึ้นในกลุ่มราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ทำให้เห็นยอดการอนุมัติสินเชื่อในกลุ่มระดับ 3-7 ล้านบาท จะมีสัดส่วนสูงกว่ากลุ่มราคาบ้านต่ำ 3 ล้านบาท

 

“มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ช่วยหนุนภาพรวมได้แน่ ๆ แต่ผลจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับศักยภาพของลูกค้าด้วย หากลูกค้ามีศักยภาพก็ช่วยเร่งการตัดสินใจกลุ่มบ้านไม่เกิน 7 ล้านบาท เร็วขึ้น แต่ถ้าลูกค้าไม่พร้อม และเกณฑ์การอนุมัติ หรือ LTV ยังคงเหมือนเดิม หากลูกค้ามีศักยภาพจะได้รับอานิสงส์จากมาตรการที่จะได้รับจากผู้ประกอบการอสังหาฯที่จะมีการทำโปรโมชั่นมากขึ้น จากต้นทุนที่ปรับลดลงราว 1%”

 

นายเคลวิน ฟู ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มลูกค้ารายย่อย ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ หรือ LH Bank เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาพรวมสินเชื่อที่อยู่อาศัยไม่ได้ขยายตัวหวือหวา เนื่องจากยังคงเผชิญปัจจัยเดิมคือ การอนุมัติสินเชื่อที่ปรับลดลงตามศักยภาพของลูกค้าที่ลดลง

 

ส่วนหนึ่งมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่ทั่วถึง รายได้ไม่เพียงพอ ทำให้สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ โดยพิจารณาภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) ของลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีภาระการผ่อนสินเชื่อประเภทอื่น เช่น รถยนต์ หรือบัตรเครดิต เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันยอดอนุมัติสินเชื่อบ้านเฉลี่ยอยู่ที่ 50% บวกลบ

 

อย่างไรก็ดี ภาพหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) แม้จะเห็นสัดส่วนที่สูงอยู่ในกลุ่มราคาบ้านต่ำกว่า 3 ล้านบาท แต่จะเห็นว่าอาจจะไม่ได้เป็นหนี้เสียทุกหลัง เนื่องจากก่อนโควิด-19 ลูกค้ากลุ่มดังกล่าวค่อนข้างมีคุณภาพ แต่จากสถานการณ์เศรษฐกิจ รายได้ที่ไม่ได้กลับมา ทำให้การชำระหนี้อาจจะสะดุด หรือเริ่มจ่ายไม่ไหว ขณะเดียวกันจะเห็นว่าผู้กู้บางรายในกลุ่มราคาบ้าน 2-3 ล้านบาท เมื่อพิจารณา DSR ยังสามารถปล่อยสินเชื่อได้

 

สำหรับแผนการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของ LH Bank ตั้งเป้าเติบโต 15-20% จากพอร์ตสินเชื่อคงค้างที่อยู่อาศัยอยู่ที่ 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งธนาคารจะเน้นในกลุ่มรายได้ปานกลาง ในกลุ่มราคาบ้าน 3-5 ล้านบาท โดยจะร่วมกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทำแคมเปญหรือโครงการร่วมกัน โดยปัจจุบันธนาคารมีสัดส่วนลูกค้ากลุ่มนี้ราว 20%

 

“ลูกค้าเรียลดีมานด์ที่ต้องการซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมยังมี แต่การปล่อยสินเชื่อก็ต้องดูศักยภาพของลูกค้าด้วย เพราะผู้กู้ไม่ได้มีหนี้อย่างเดียว อาจจะผ่อนชำระหนี้อื่นด้วย จึงต้องพิจารณาตามหลัก DSR รวมถึงต้องให้ลูกค้ามีเงินเหลือเพียงพอในการดำเนินชีวิตด้วย

 

เช่น ราคาบ้าน 1 ล้านบาท ค่างวดผ่อนจะอยู่ที่ 6,000 บาทต่อเดือน ดังนั้นหากราคาบ้าน 2 ล้านบาท ค่างวดผ่อนอยู่ที่ 1.2 หมื่นบาทต่อเดือน ซึ่งลูกค้าจะต้องมีรายได้ราว 2.5 หมื่นบาท หรือกรณีราคาบ้าน 3 ล้านบาท ค่างวดผ่อน 1.8 หมื่นบาท รายได้ควรจะอยู่ที่ 3.5-4 หมื่นบาท”

 

ขณะที่ในส่วนของสินเชื่อเช่าซื้อรถ นายอนุชาติ ดีประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอพเพิล ออโต้ ออคชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตลาดรถยนต์ในช่วงครึ่งปีแรก อยู่ในสภาพที่ยังไม่มีปัจจัยบวกมากระตุ้น เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ดีขึ้น ผู้บริโภคมีกำลังซื้ออ่อนแอลง

 

ขณะที่สถาบันการเงินที่มีปัญหาเอ็นพีแอลค่อนข้างเยอะในช่วงปี 2566 ก็เข้มงวดและรัดกุมในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อมากขึ้น เพราะต้องยอมรับว่าปัจจัยสำคัญของการขายรถยนต์มาจากการสนับสนุนสินเชื่อของสถาบันการเงิน

 

ทั้งนี้ ตลาดรถยนต์ในไตรมาสที่ 2/2567 ยังไม่สดใส ส่วนหนึ่งมาจากเดือนเมษายน-พฤษภาคม จะเข้าสู่ช่วง Low Season ของการซื้อขายรถยนต์ ขณะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว ทำให้คนชะลอการตัดสินใจซื้อ และจากการแข่งขันราคารถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทำให้ส่งผลต่อรถสันดาป

 

และเกิดความไม่มั่นใจต่อราคารถยนต์ จึงชะลอการซื้อ เช่นเดียวกันกับสถาบันการเงินไม่มั่นใจราคารถยนต์ที่เกิดการแข่งขัน จึงมีการปรับยอดการให้สินเชื่อ (LTV) ลดลง ส่งผลต่อการขายรถยนต์มือสองด้วย

 

อย่างไรก็ดี คาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ตลาดรถยนต์จะปรับตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ และมีเม็ดเงินจากงบประมาณ ทำให้ตลาดมีความเชื่อมั่น และสถาบันการเงินมีการจัดการกับหนี้ด้อยคุณภาพได้ดีขึ้น ทำให้กลับมาพิจารณาการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เพราะพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อลดลงไปค่อนข้างมาก

 

“ภาพรวมตลาดรถยนต์ไตรมาสแรกปี’67 ไม่สดใส อยู่ในเกณฑ์ชะลอตัว ถ้าดูจากปริมาณการขายรถยนต์ใหม่อยู่ที่ 163,800 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ประมาณ 24.5% ถือว่าลดลงค่อนข้างมาก และเป็นการลดลงของยอดขายรถยนต์ใหม่ทุกเซ็กเมนต์

 

โดยเฉพาะรถยนต์นั่ง และรถยนต์กระบะ ลดลงมากกว่า 40% ทั้ง 2 ประเภท ขณะที่ตลาดรถยนต์มือสองก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน คาดว่ามูลค่าขายน่าจะลดลงประมาณ 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน”

 

นายศรัณย์ ทองธรรมชาติ นายกสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจเช่าซื้อในไตรมาส 2 ปีนี้ คาดว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นจากต้นปี ส่วนหนึ่งมาจากยอดขายในงานมอเตอร์โชว์ แต่จะเห็นยอดขายลดลงอีกครั้งในไตรมาส 3 เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงด้านกำลังซื้อและภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ยังเป็นปัจจัยฉุดรั้ง ทำให้ยอดขายรถทั้งปียังอยู่ที่ระดับ 7.5 แสนคัน หดตัวจากปี 2566 อยู่ที่ 7.75 แสนคัน

 

ขณะที่แนวโน้มยอดการปฏิเสธสินเชื่อจะเห็นทยอยเพิ่มขึ้น โดยในส่วนรถใหม่จากเดิมเฉลี่ยอยู่ที่ 15% เพิ่มเป็น 20% และรถเก่าหรือมือสองเพิ่มเป็น 30% จากเดิม 20% อย่างไรก็ดี จะเห็นความเข้มงวดเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในส่วนของกระบะ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงกว่ากลุ่มรถทั่วไป เพราะส่วนใหญ่ฐานลูกค้าจะเป็นกลุ่มเกษตรกรซึ่งมีความเสี่ยงสูง ทำให้อัตราดอกเบี้ยจะมีความแตกต่างจากรถทั่วไป

 

นายประพล พรประภา กรรมการและรองผู้จัดการ บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือ TK กล่าวว่า ภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศไทย ในไตรมาส 1/67 มียอดขายอยู่ที่ 454,796 คัน ลดลง 11.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยยอดขายรายเดือนลดลงต่อเนื่อง 5 เดือน นับตั้งแต่พฤศจิกายน 2566

 

ส่วนยอดจำหน่ายรถยนต์อยู่ที่ 163,756 คัน ลดลง 24.6% ซึ่งยอดขายรถยนต์รายเดือนลดลงต่อเนื่อง 10 เดือน นับตั้งแต่กรกฎาคม 2566 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีผู้บริโภคจำนวนมากไม่สามารถรับการอนุมัติสินเชื่อ ส่งผลให้ผู้บริโภคไม่สามารถซื้อทั้งรถจักรยานยนต์และรถยนต์ได้

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ประชาชาติธุรกิจ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

เทศบาลนครเชียงรายเตรียมพร้อมการเป็นเจ้าภาพนครเชียงรายเกมส์ครั้งที่38

 

เมื่อวันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม 2567 เทศบาลนครเชียงรายจัดแถลงข่าว “การแข่งขันกีฬานักเรียนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งประเทศไทย รอบคัดเลือก ระดับภาคเหนือ ครั้งที่ 38 ” ณ ศูนย์ประชุมนครเชียงราย เทศบาลนครเชียงรายโดย นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวว่าเทศบาลนครเชียงรายเตรียมการเป็นเจ้าภาพจัดแข่งขันกีฬานักเรียนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งประเทศไทย รอบคัดเลือก ระดับภาคเหนือครั้งที่ 38 “นครเชียงรายเกมส์” ระหว่างวันที่ 4 – 13 มิถุนายน 2567 ณ สนามกีฬากลาง จังหวัดเชียงราย ด้วยแนวคิด #กีฬาสร้างสามัคคีสปอร์ตซิตี้ ที่เชียงราย โดยจัดการแข่งขันกีฬาชิงชัยทั้งหมด 11 ชนิดกีฬา •กรีฑา •ฟุตบอล •ฟุตซอล •วอลเลย์บอล •วอลเลย์บอลชายหาด •เซปักตะกร้อ •เปตอง/เปตองชู้ตติ้ง •แบดมินตัน •เทเบิลเทนนิส •หมากฮอส •หมากรุก

 

ด้านนายเจตณรงค์ อินกัน ท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย กล่าวเพิ่มเติมว่ากรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ส่งเสริมสนับสนุนให้เด็กนักเรียนในสถานศึกษาสังกัดอปท.ทุกแห่ง เข้าร่วมแข่งขันกีฬา เพื่อสร้างความรัก ความสามัคคี ความมีระเบียบวินัย ห่างไกลจากยาเสพติด และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยกัน
 
 
ในการนี้ นางรัตนา จงสุทธานามณี ที่ปรึกษาของรองนายกรัฐมนตรี (ภูมิธรรม เวชยชัย) นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย มีการขับเคลื่อน พื้นที่จังหวัดเชียงรายให้เป็นเชียงรายเมืองแห่งกีฬา (Chiangrai Sport City) เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่โดยพัฒนาฝีมือทางด้านการกีฬาต่อยอดไปสู่ในระดับที่สูงต่อไป และการจัดนครเชียงรายเกมส์ ครั้งที่ 38 เพื่อหล่อหลอมเด็ก และเยาวชนสู่เป้าหมายอนาคตที่ดีมีอาชีพที่มั่นคง สมกับคำว่า “นครเชียงราย นครแห่งความสุข”
 
 
ขอเชิญชวนประชาชน หน่วยงานภาครัฐและเอกชนร่วมเป็นเจ้าภาพในการต้อนรับคณะนักกีฬา เจ้าหน้าที่ และผู้ติดตามทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือพร้อมทั้งร่วมชมและเชียร์ให้กำลังใจแก่นักกีฬาตลอดการแข่งขัน ท่านสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้ทางเว็บไซต์ www.north.sport-th.com ทางเพจเฟซบุ๊ค “นครเชียงรายเกมส์ ครั้งที่ 38” และทาง Page fb เทศบาลนครเชียงราย
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ร่วมเปิดศูนย์ประสานงาน อสม. อำเภอแม่สรวย

 

เมื่อวันที่ศุกร์ ที่ 10 พฤษภาคม 2567 เวลา 14.00 น. นายก นก อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ร่วมเปิดอาคารศูนย์ประสานงานชมรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อำเภอแม่สรวย พร้อมด้วยนายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน ที่ปรึกษานายก อบจ.เชียงราย นายสรายุธ ฟูวงศ์ ส.อบจ.เชียงราย อ.แม่สรวย เขต 1 นายสมัคร กันจีนะ ส.อบจ.เชียงราย อ.แม่สรวย เขต 2 โดยมีนายปฤษฎางค์ สามัคคีนิชย์ นายอำเภอแม่สรวย ให้การต้อนรับ พร้อมทั้งได้รับสัมโมทนียกถา โดยเมตตาพระภาวนารัตนญาณ วิ. (ครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโต) ณ อาคารศูนย์ประสานงานชมรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อำเภอแม่สรวย

 

สำหรับอาคารศูนย์ประสานงานชมรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)สร้างโดยงบประมาณการจัดตั้งผ้าป่า อสม. ประจำปีงบประมาณ 2566 โดยเมตตาพระภาวนารัตนญาณ วิ. (ครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโต)
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเพิ่มประสิทธิภาพบุคลากรจัดทำแผนด้านความมั่นคง

 
เมื่อวันที่ 8 – 9 พฤษภาคม 2567 จังหวัดเชียงราย จัดโครงการเพิ่มประสิทธิภาพบุคลากรเพื่อการจัดทำแผนด้านความมั่นคง จังหวัดเชียงราย เพื่อให้เจ้าหน้าที่ด้านการจัดระเบียบสังคม เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และอำเภอ ที่ปฏิบัติงานด้านการจัดระเบียบสังคม การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และการป้องกันการปราบปรามการค้ามนุษย์ สามารถนำไปปฏิบัติในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิผล ณ ห้องประชุมกองร้อย อส.จ.ชร.1 ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย

 

การอบรมฯ ในครั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย มีนโยบายให้แต่ละหน่วยงานที่รับผิดชอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดระเบียบสังคม/สถานประกอบการ/สถานบริการ โดยให้ดำเนินการติดตาม ตรวจสอบ สอดส่อง สืบสวนหรือแสวงหาข่าวทั้งในทางเปิดเผยและทางลับ การกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์/ยาเสพติด และความผิดอื่น ๆ ภายในสถานประกอบการ/สถานบริการที่รับผิดชอบ แล้วประสานงานชุดจัดระเบียบสังคมจังหวัดเชียงรายดำเนินการทางกฎหมายต่อไปอย่างเคร่งครัด

 

ในการนี้ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย โดย นายพิสันต์  จัทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้ นายฐิติการณ์ ศิริอิศรานุวัฒน์ เข้าร่วมการอบรมฯ ดังกล่าว

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กรมทรัพยากรธรณี รำลึกเหตุแผ่นดินแม่ลาวไหวครบรอบ 1 ทศวรรษ

 
เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2567 นายพิชิต สมบัติมาก อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี เป็นประธานพิธีเปิดการจัดงานครบรอบ “1 ทศวรรษ แผ่นดินไหวแม่ลาว บทเรียนสำคัญสู่ความร่วมมือการจัดการธรณีพิบัติภัยอย่างยั่งยืน” ที่ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จังหวัดเชียงราย เพื่อสร้างความตระหนักและถอดบทเรียนจากแผ่นดินไหวสู่องค์ความรู้ในการป้องกันและเตรียมความพร้อมรับมือในอนาคต ตลอดจนพัฒนาขีดความสามารถของทุกภาคส่วน ไปสู่การขับเคลื่อน การจัดการธรณี พิบัติภัยอย่างเป็นรูปประธรรม โดยมี ดร.สมศักดิ์ วัฒนปฤดา ผู้อำนวยการกองธรณีวิทยาสิ่งแวดล้อม นำหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  หน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถาบันการศึกษา ชุมชน เครือข่ายเฝ้าระวังแจ้งเตือนภัยธรณีพิบัติภัย และประชาชนในจังหวัดเชียงราย กว่า 300 คน เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมรูปแบบการประชุม และการเสวนาถอดบทเรียน ในหัวข้อ “ถอดบทเรียน 10 ปี แผ่นดินไหวเชียงราย สู่ความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการป้องกันและลดผลกระทบจากพิบัติภัยทางธรรมชาติ” โดยผู้เชี่ยวชาญและผู้มีประสบการณ์ด้านแผ่นดินไหว มาร่วมบรรยายพิเศษ “บทบาทของสถาบันการศึกษาและภาคีเครือข่าย เยาวชน ในการร่วมขับเคลื่อนการบริหารจัดการภัย พิบัติทางธรรมชาติจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และ การอภิปลายบทเรียนสำคัญสู่ความร่วมมือการจัดการธรณีพิบัติภัยอย่างยั่งยืน โดยภายในงานจัดให้มีนิทาศการองค์ความรู้ด้านธรณีพิบัติภัย อีกด้วย
 

         นายพิชิต สมบัติมาก อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีข้อสั่งการมอบหมายให้กรมทรัพยากรธรณี เร่งสร้างความรู้ความเข้าใจและความเชื่อมั่นแก่ประชาชน โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการแจ้งเตือนภัย เร่งติดตั้งเครื่องมือวัดแผ่นดินไหว จัดทำแผนที่แสดงจุดปลอดภัยและซักซ้อนแผนอพยพร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกรมทรัพยากรธรณี ได้นำองค์ความรู้ทางวิชาการด้านธรณีพิบัติภัยมาใช้ เพื่อลดความสูญเสียและลดผลกระทบต่อชุมชนบนหลักการ “อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยเสี่ยงธรณีพิบัติภัย อยู่อย่างไรให้ปลอดภัยอย่างยั่งยืน” โดยมีการถ่ายทอดความรู้สู่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยให้อาศัยอยู่อย่างมั่นใจและปลอดภัย เสริมสร้างศักยภาพของภาคีเครือข่ายและชุมชนให้พร้อมรับมือธรณีพิบัติภัย และสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเมื่อประสบภัย รวมถึงประชาชนทั้งที่อยู่ในเขตเมืองที่เสี่ยงต่อแผ่นดินไหวและประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่สูงที่เสี่ยงต่อการดินถล่ม จะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนแนวทางประสบการณ์การดำเนินชีวิตได้รับรู้วิธีการอยู่อาศัยในที่เสี่ยงธรณีพิบัติภัย สามารถนำไปปรับใช้ได้กับชีวิตประจำวัน และมีศักยภาพเพื่อเตรียมความพร้อมในการเผชิญภัยได้อย่างมีสติ 
 

        ดร.สมศักดิ์  วัฒนปฤดา ผู้อำนวยการกองธรณีวิทยาสิ่งแวดล้อม กล่าวอีกว่า ถ้าหากย้อนกลับไป เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 เวลา 18.08 นาฬิกา เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในประเทศไทย ขนาด 6.3 ริกเตอร์ ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ตำบลดงมะดะ อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย ด้วยเหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความเสียหายให้แก่ประชาชน บ้านเรือนประชาชนกว่า 10,000 หลังคาเรือน ศาสนสถานต่างๆ โรงเรียน ถนนเกิดรอยแยกเป็นทางยาวหลายพื้นที่ในจังหวัดเชียงราย และอาคารสูงในกรุงเทพฯสามารถรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนครั้งนี้ด้วย จะเห็นได้ว่าการเกิดธรณีพิบัติภัยในแต่ละครั้งส่วนมากจะเกิดขึ้นแบบฉับพลันยากต่อการคาดการณ์ล่วงหน้า สร้างความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในหลายพื้นที่ และที่สำคัญมักจะก่อให้เกิดความตื่นตระหนกให้กับประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ ดังนั้นกรมทรัพยากรธรณี จึงได้จัดประชุมสัมมนา เรื่อง “๑ ทศวรรษแผ่นดินไหวแม่ลาว : บทเรียนสำคัญสู่ความร่วมมือการจัดการธรณีพิบัติภัยอย่างยั่งยืน” ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อเป็นการถอดบทเรียนจากการเกิดเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยที่สำคัญ นำมาสู่การเรียนรู้เกี่ยวกับธรณีพิบัติภัยและเพื่อจัดทำแนวทางการขับเคลื่อนความร่วมมือของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการจัดการธรณีพิบัติภัยอย่างบูรณาการ เพื่อบรรเทาลดผลกระทบและความสูญเสียทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงราย เห็นชอบมอบทุนเด็ก กองทุนพัฒนาเด็กชนบทรายละ 1,500 บาท

 
เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2567 ที่ห้องประชุมพวงแสด ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาเด็กชนบท ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จังหวัดเชียงราย ประจำปี 2567 ครั้งที่ 2/2567 โดยมีคณะกรรมการกองทุนพัฒนาเด็กชนบทฯ เข้าร่วม เพื่อรับทราบผลการดำเนินงาน สถานะการเงิน และพิจารณาเรื่องการให้ความช่วยเหลือ และสนับสนุนการพัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนอายุตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปี ที่มีฐานะยากจน ด้อยโอกาส และรายได้ครัวเรือนตกเกณฑ์
 
 

โดยที่ประชุมนางอำไพ บัวระดก พัฒนาการจังหวัดเชียงราย ในฐานะเลขานุการ ได้แจ้งผลการดำเนินงานกิจกรรมทอดผ้าป่าสมทบกองทุนพัฒนาเด็ก ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จังหวัดเชียงราย ที่ดำเนินการเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2567 ที่วัดพระแก้ว (พระอารามหลวง) ถนนไตรรัตน์ ต.เวียง อ.เมืองเชียงราย โดยมียอดเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา ทั้งจากส่วนราชการ องค์กรต่างๆ และภาคเอกชน รวมทั้งสิ้น 403,198 บาท ซึ่งจำนวนเงินในส่วนนี้จะนำไปมอบให้กับเด็กที่อยู่ในครัวเรือนยากจน ตามข้อมูล THAI QM หรือ TP MAP อปท. ละ 1 คน ที่อยู่ในช่วงอายุแรกเกิด จนถึง 6 ปี ในพื้นที่ 15 อำเภอ จำนวน 142 ราย รายละ 1,500 บาท รวมถึงร่วมกันพิจาณาอนุมัติวงเงิน มอบให้เด็กที่อยู่ในครัวเรือนที่ตกเกณฑ์รายได้ข้อมูลความจำเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) ในปี 2567 (รายได้ครัวเรือนเฉลี่ยต่ำกว่า 40,000 บาท ต่อคนต่อปี ) ในพื้นที่ 12 อำเภอ จำนวน 158 ราย รายละ 1,500 บาท

 

ทั้งนี้ในที่ประชุมมติเห็นชอบ และจะมอบทุนส่งให้นายอำเภอแต่ละอำเภอ เป็นผู้แทนมารับมอบในวันประชุมกรมการจังหวัดเชียงราย ประจำเดือนมิถุนายน 2567 โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นผู้มอบ และส่งต่อให้นายอำเภอเป็นผู้มอบทุนให้กับเด็กต่อไป

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

สารวัตรเกษตรไซเบอร์ จัดทัพลุยสอยขบวนการค้าปุ๋ยสารเคมีเถื่อน แจ้งเบาะแส 1174

 

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร โพสต์ภาพและแจ้งข้อมูลว่าสารวัตรเกษตรไซเบอร์จัดทัพลุยสอยขบวนการค้าปุ๋ย สารเคมีเถื่อนสายตรงชงแจ้งเบาะแส 1174

 

โดยทำการเปิดไทม์ไลน์ขบวนการค้าปุ๋ย สารเคมีไม่มีคุณภาพ พบรุกหนักใกล้ช่วงฤดูเพาะปลูกพืชของเกษตรกร โฟกัสรถเร่ตระเวนขายตามหมู่บ้าน การขายออนไลน์ โปรโมชั่นจัดหนักทั้งลด แลก แจก แถม ขายผ่านตัวแทนหมู่บ้าน แนะวิธีซื้อปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพ พร้อมเพิ่มสายตรงแจ้งเบาะแสหวังกวาดล้างขบวนการเถื่อน
 
 
ในช่วงเวลานี้ซึ่งใกล้จะเข้าสู่ฤดูกาลเพาะปลูกพืชของเกษตรกรเป็นช่วงที่สารวัตรเกษตร กรมวิชาการเกษตร จะได้รับการร้องเรียนและแจ้งเบาะแสการหลอกขายปุ๋ยและสารเคมีปลอมมากกว่าในช่วงเวลาอื่นๆ เนื่องจากเป็นช่วงที่เกษตรกรมีความต้องการใช้ทั้งปุ๋ยและสารเคมีป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช จึงทำให้มีผู้ฉวยโอกาสผลิตและจำหน่ายปัจจัยการผลิตปลอมและไม่ได้มาตรฐานมาหลอกขายเกษตรกร โดยที่ผ่านมาพบว่าแหล่งที่เกษตรกรจะได้รับสินค้าที่ไม่มีคุณภาพดังกล่าวส่วนใหญ่จะมาจากรถเร่ซึ่งตระเวนขายไปตามหมู่บ้าน และการขายออนไลน์ โดยมีการติดต่อและขายให้เกษตรกรโดยตรงใช้กลยุทธ์ลดราคา ให้ของแจกของแถม เช่น โทรทัศน์ พัดลม หม้อหุงข้าว เตารีด และโทรศัพท์มือถือ เพื่อดึงดูดใจหากซื้อในปริมาณตามที่กำหนดไว้ ขณะเดียวกันยังมีการขายผ่านตัวแทนในหมู่บ้าน หากมีเกษตรกรสนใจสินค้าจะจดรายชื่อไว้โดยเรียกเก็บค่ามัดจำล่วงหน้าจำนวนหนึ่งแล้วค่อยนัดส่งสินค้าภายหลัง จึงให้สารวัตรเกษตรเครือข่ายในพื้นที่ของกรมวิชาการเกษตร เผ้าระวังและตรวจสอบอย่างเข้มงวดโดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่มักพบเกิดปัญหาดังกล่าว
 
 
อย่างไรก็ตาม แม้ในช่วงระยะเวลา 2 – 3 ปีที่ผ่านมานี้จะได้รับการแจ้งเบาะแสรถเร่ขายปัจจัยการผลิตปลอมน้อยลง เนื่องจากได้มีการประสานงานทำงานกันเป็นทีมระหว่างสารวัตรเกษตรอาสา ซึ่งเป็นผู้นำชุมชน ได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งปัจจุบันมีกระจายอยู่ตามหมู่บ้านทุกจังหวัดจำนวนเกือบ 7,000 คน กับสารวัตรเกษตรเครือข่ายในพื้นที่ของกรมวิชาการเกษตร โดยร่วมกันสอดส่องและดำเนินการอย่างเข้มงวดมากขึ้นกับผู้ที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยนำรถเข้าไปเร่ขายปัจจัยการผลิตปลอมตามหมู่บ้าน แต่ก็ยังไม่สามารถวางใจได้ว่าขบวนดังกล่าวจะหมดสิ้นไป ดังนั้นจึงขอเตือนเกษตรกรอย่าได้หลงเชื่อและขอให้ใช้ความรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อปัจจัยการผลิตทุกชนิดดังกล่าว
 
 
การเลือกซื้อสารเคมีทางการเกษตรต้องซื้อสินค้าที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องจากกรมวิชาการเกษตร อ่านฉลาก ดูชื่อสามัญ ตรวจดูวันที่ผลิตต้องมีอายุไม่เกิน 2 ปี สภาพภาชนะบรรจุไม่เก่า ไม่เสื่อม ภาชนะบรรจุไม่รั่วไหล ไม่แบ่งขายหรือถ่ายลงภาชนะอื่น ไม่ซื้อสินค้าที่อ้างว่าเป็นสูตรพิเศษ หรือราคาถูก ส่วนการเลือกซื้อปุ๋ย ภาชนะหรือกระสอบปุ๋ยต้องใหม่ ไม่มีรอยฉีกขาดหรือเย็บใหม่ และควรซื้อจากผู้ขายที่มีใบอนุญาตขายปุ๋ยเท่านั้น ไม่ควรซื้อปุ๋ยจากพ่อค้าเร่ โดยขอเอกสารกำกับปุ๋ยและใบเสร็จรับเงินจากผู้ขายทุกครั้ง ฉลากปุ๋ยต้องจัดเจน และมีรายละเอียดของปุ๋ยแต่ละประเภทถูกต้องครบถ้วน อย่างไรก็ตาม เพื่อความมั่นใจควรเลือกซื้อสินค้าจากร้านจำหน่ายปัจจัยการผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพที่ได้รับเครื่องหมาย Q shop
 
 
กรมวิชาการเกษตรให้ความสำคัญกับการดูแลเกษตรกรไม่ให้ตกเป็นเหยื่อจากผู้ที่มีเจตนาจะเอาเปรียบหลอกขายสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ ดังนั้นจึงได้เพิ่มหมายเลขโทรศัพท์ให้เกษตรกรหรือผู้ที่ทราบเบาะแสสามารถแจ้งได้ทันทีหากพบรถเร่ขายที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย หรือมีเบาะแสเกี่ยวกับการผลิตหรือจำหน่ายปัจจัยการผลิตที่ไม่ได้คุณภาพ โดยสามารถแจ้งได้ที่ศูนย์รับแจ้งเบาะแสปัจจัยการผลิตปลอม ไม่ได้มาตรฐาน กรมวิชาการเกษตร สายด่วน 1174 เพื่อจะได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สารวัตรเกษตรเข้าไปดำเนินการตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

อบจ.เชียงราย ร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าสามัคคี โฮงฮอมผญ๋าล้านนา ประจำปี 2567

 
เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2567 เวลา 13.00 น. นางทรงศรี คมขำ รองนายก อบจ.เชียงราย เป็นตัวแทน อบจ.เชียงราย ร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าสามัคคี โฮงฮอมผญ๋าล้านนา ประจำปี 2567 โดยมี รองเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงราย เจ้าอาวาสวัดฝั่งหมิ่น พระครูขันติพลาธร เป็นประธานสงฆ์ในพิธีถวายองค์ผ้าป่า และ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ณ โฮงฮอมผญ๋า โฮงยาหมอเมืองล้านนา ต.นางแล จ.เชียงราย
 
ในการนี้ คณะผู้บริหาร และบุคลากร อบจ.เชียงราย ได้ร่วมอนุโมทนาบุญ ถวายปัจจัยในการจัดงานทอดผ้าป่าดังกล่าว เพื่อสมทบทุนซ่อมแซมอาคาร ศาลาศูนย์การเรียนรู้หมอพื้นบ้าน และพระคิลานุปัฏฐาก จ.เชียงราย ทั้งยังช่วยเหลือกองทุนเพื่อกิจกรรมพิเศษด้านการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ สามเณร และชุมชน อีกทั้งเป็นการรำลึกถึงผู้ก่อตั้งโฮงฮอมผญ๋า อีกด้วย
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :  อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News