
เชียงราย / ประเทศไทย, 23 สิงหาคม 2568 — บนเส้นด้ายที่ทอดยาวระหว่าง “ราก” และ “โลก” ชื่อของเชียงรายถูกขีดเส้นใต้ขึ้นมาอีกครั้งในแผนที่แฟชั่นไทย เมื่อสองนักออกแบบรุ่นใหม่ของจังหวัด—กนกพร ธรรมวงค์ และ สมชัย ธงชัยสว่าง—เตรียมขึ้นเวทีรอบระดับภูมิภาคในโครงการ “นักออกแบบผ้าไทย ใสให้สนุกรุ่นใหม่ 2568 (Young Designer 2025)” หลังฝ่าด่านการแข่งขันที่มีผู้ส่งผลงานจากทั่วประเทศจำนวนมาก สะท้อนพลังความคิดสร้างสรรค์ที่กำลังกระเพื่อมจากท้องถิ่นสู่เวทีใหญ่
ขณะที่สตูดิโอเล็ก ๆ ของนักออกแบบในตัวเมืองเชียงรายยังมีเสียงจักรเย็บผ้าและแสงไฟดวงเล็กโชยอุ่น—เรื่องเล่าของผืนผ้า “ลายจกสามดอก” ที่ถูกตีความใหม่ และแนวคิดความงามแบบ Wabi Sabi ที่เคยคว้ารางวัลระดับชาติ—กำลังจะถูกจับขึ้นกรอบเวทีอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อความงาม หากคือบทพิสูจน์ว่า ผ้าไทย สามารถ “ใส่แล้วสนุก” และ “ขายได้จริง” ในโลกปัจจุบัน
ประกวดใหญ่ขับเคลื่อนด้วยพระราชดำริ จาก “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” สู่ห้องทดลอง Soft Power
หัวใจของโครงการปีนี้ยังยึดโยงกับ พระราชปณิธานของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงผลักดันแนวคิด “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ให้ผ้าไทยกลับมาเป็นแฟชั่นร่วมสมัย ใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน และขยายผลสู่เศรษฐกิจฐานราก ผ่านคณะทำงานเชิงปฏิบัติการที่เปรียบประดุจ “วิชชาลัยผ้าเคลื่อนที่/คาราวานนักออกแบบ” ลงพื้นที่ให้คำปรึกษาชุมชน จนเกิดองค์ความรู้ต่อยอดอย่างเป็นรูปธรรม เช่น หนังสือแนวโน้ม Thai Textiles Trend Book และเวทีแข่งขันของนักออกแบบรุ่นใหม่ที่เชื่อมชุมชนกับตลาดสมัยใหม่เข้าด้วยกันอย่างมีกลยุทธ์
ในเชิงสถาบัน โครงการได้รับการขับเคลื่อนโดย กระทรวงมหาดไทย ผ่าน กรมการพัฒนาชุมชน (พช.) ซึ่งมีเครือข่ายครอบคลุมจังหวัดและอำเภอทั่วประเทศ ทำให้การคัดสรรและสนับสนุนผลงานจากชุมชนสู่เวทีชาติเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่องและทั่วถึง อีกทั้งยังมีการร่วมมือกับภาคเอกชน เช่น บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ที่ลงนามบันทึกข้อตกลงสนับสนุนบางกิจกรรม สะท้อนโมเดลความร่วมมือ รัฐ–เอกชน–ชุมชน เพื่อความยั่งยืนของระบบนิเวศผ้าไทยในระยะยาว.
ภาพรวมการแข่งขันปี 2568 ตัวเลขสะท้อนแรงกระเพื่อม
เวทีปีนี้เริ่มต้นด้วยความคึกคัก—มีผู้ส่งผลงานรวม 735 ราย เข้าสู่รอบคัดเลือกที่จัดแถลงข่าวเปิดตัว ณ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ ก่อนจะคัดเหลือ ตัวแทนแข่งขันระดับภูมิภาค 4 ภาค รวม 80 ราย (ภาคละ 20) เพื่อชิงสิทธิ์เข้าสู่รอบประเทศ, ปักหมุดสำคัญไว้ที่ รอบชิงชนะเลิศ 28 ตุลาคม 2568 ณ สุราลัยฮอลล์ ไอคอนสยาม
สำหรับ ภาคเหนือ—เวทีของตัวแทนเชียงราย—การประกวดกำหนดจัด วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม 2568 ณ โรงแรมมีเลีย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นด่านชี้ชะตาเพื่อคัดเข้าสู่รอบระดับประเทศต่อไป
หมายเหตุ: สื่อบางแห่งรายงานว่ามีผู้ผ่านเข้าสู่รอบถัดไป 94 ราย (นับจากการคัดกรองชุดแรก) ก่อนจะจัดสรรลงสู่เวทีภาค แต่ เอกสารทางการของรัฐบาลระบุกรอบแข่งขันระดับภูมิภาค 80 ราย (ภาคละ 20) จึงอาจเกิดความแตกต่างเชิงเทคนิคจากขั้นตอนคัดกรองและการสรุปตัวเลขในแต่ละช่วงเวลา
ในฝั่งรางวัล กรอบรางวัลตามเอกสารประชาสัมพันธ์ทางการ ประกอบด้วย รางวัลชนะเลิศ 200,000 บาท, รองชนะเลิศ 100,000 บาท, รองชนะเลิศอันดับสอง 75,000 บาท และ รางวัลชมเชย 5 รางวัล ๆ ละ 40,000 บาท ซึ่งเมื่อรวมกันสะท้อน แรงจูงใจเชิงคุณค่าทั้งตัวเงินและเวทีพัฒนาอาชีพ ที่ชัดเจน พร้อมสิทธิประโยชน์ด้านองค์ความรู้และโอกาสต่อยอดเชิงพาณิชย์หลังเวทีแข่งขัน
เชียงรายส่งสัญญาณจาก “ราก” สองดีไซเนอร์–สองตัวตน–หนึ่งเป้าหมาย
แม้แต่ละภูมิภาคจะส่งตัวแทนขึ้นเวทีจำนวนจำกัด แต่เรื่องเล่าจากเชียงรายปีนี้โดดเด่นในเชิง “อัตลักษณ์ + ความร่วมสมัย” อย่างน่าจับตา
ทั้งคู่คือภาพแทนของ “ท้องถิ่นที่ต่อกับโลก”—คนหนึ่งยืนบนฐานชุมชนและการย้อมธรรมชาติ อีกคนทำให้แนวคิดร่วมสมัยเชื่อมกับภูมิปัญญาผืนผ้า—และพร้อมพิสูจน์ว่า แฟชั่นผ้าไทย อาจไม่ใช่เพียงพิธีการหรือความทรงจำอีกต่อไป
ไม่ใช่แค่ประกวดทำไมเวทีนี้สำคัญกับเศรษฐกิจฐานราก
ความต่างของ “นักออกแบบผ้าไทย ใส่ให้สนุก” เมื่อเทียบกับเวทีแฟชั่นสากล คือ วัตถุประสงค์ ที่ต้องการ “พลิกผ้าไทยให้กลับมาอยู่ในชีวิตประจำวัน” มากกว่าการทำคอลเลกชันโชว์อย่างโดดเดี่ยว โครงสร้างการแข่งขันจึงตั้งอยู่บนการ เชื่อมชุมชน–ดีไซเนอร์–ตลาด อย่างครบวงจร ตั้งแต่แรงบันดาลใจลวดลาย, การเลือกเส้นใย/ย้อมสีที่ยั่งยืน, การออกแบบแพตเทิร์นให้ใส่ง่าย/ผลิตซ้ำได้, ไปจนถึงการสื่อสารแบรนด์และการเข้าถึงช่องทางจำหน่าย
ขุมพลัง Soft Power อยู่ตรงนี้—เมื่อดีไซเนอร์รุ่นใหม่หยิบองค์ความรู้ใน Thai Textiles Trend Book และคำแนะนำจากคณะทำงานลงไปทดลองจริงกับชุมชน ต้นทุนทางวัฒนธรรม จึงถูกแปรรูปเป็น มูลค่าทางเศรษฐกิจ ที่ชัดเจนกว่าเดิม ขณะเดียวกัน การนำเวทีประกวดกระจายไปยัง 4 ภูมิภาค ก็ช่วยให้ การเดินทางขององค์ความรู้ ไม่ติดอยู่ในเมืองหลวง แต่ไหลกลับไปสู่แหล่งผลิตผ้าอันหลากหลาย ทำให้การพัฒนาเกิด “วงจรป้อนกลับ” ที่ยั่งยืนกว่าเวทีประกวดทั่วไป
เส้นทางสู่เวทีใหญ่ กำหนดการที่ต้องรู้
ทั้งสองหมุดหมายคือด่านสำคัญที่นักออกแบบต้อง “แปลงสเก็ตช์ให้เป็นชุดจริง” และสื่อสารคอนเซ็ปต์ให้จับใจคณะกรรมการ/ผู้ชม ขณะที่เบื้องหลังคือการ จับมือกับช่างทอ/กลุ่มผู้ผลิต เพื่อสร้างต้นแบบที่ทั้งสวยและผลิตซ้ำได้—นี่แหละ บทพิสูจน์วัดฝีมือของแฟชั่นร่วมสมัยที่ต้องขายได้จริง
เวทีนี้ “ปั้นอาชีพ” ได้จริง
ปีก่อนหน้า นายรุจ กล้ำศรี คว้ารางวัลชนะเลิศ New Gen Young Designer 2024 พร้อมรางวัลตัวเงินและเครื่องมือทำงาน (เช่น จักรเย็บผ้า, แท็บเล็ต) ซึ่งสะท้อนจุดแข็งของเวทีนี้ที่ ไม่หยุดแค่ถ้วยรางวัล แต่ “มอบเครื่องมือ” ให้ต่อยอดอาชีพจริง ขณะเดียวกัน การได้รับการยอมรับจากเวทีที่อยู่ภายใต้พระราชดำริ ยังกลายเป็น ตราประทับความน่าเชื่อถือ ต่อแวดวงธุรกิจแฟชั่นและผู้บริโภค
คำถามเชิงนโยบาย ตัวเลข 735 ชี้อะไร?
ตัวเลขผู้สมัคร 735 ราย บอกเราว่า “แรงดึงดูด” ของผ้าไทยในหมู่คนรุ่นใหม่ยังสูง และ พื้นที่ให้ทดลอง (เช่น การให้ส่งสเก็ตช์/สตอรี่บอร์ดก่อน) ทำให้ ต้นทุนการเข้าร่วมต่ำ จึงเปิดโอกาสให้ผู้เล่นหน้าใหม่จำนวนมากได้ลองสนาม เมื่อคัดสรรเหลือ 80 ตัวแทนเข้าสู่เวทีภาค จะยิ่งเห็น คุณภาพเชิงไอเดียและการผลิต เด่นชัดขึ้น—นี่คือฟิลเตอร์ที่ทำให้ “ความสนุก” ขยับไปเป็น “ความจริงจังทางอาชีพ” อย่างมีขั้นตอน
ในแง่ระบบนิเวศ หากดู จุดหมายปลายทาง (ไอคอนสยาม) และ จุดสตาร์ต (โรงแรม/สถานที่จัดระดับพรีเมียม) ย่อมสื่อสารภาพลักษณ์ “แฟชั่นร่วมสมัยของไทย” ในเชิงสากล ขณะเดียวกัน การลงพื้นที่ภาคเหนือที่เชียงใหม่ ซึ่งเป็นฮับครีเอทีฟของภูมิภาค ก็ทำให้เวทีนี้ “อยู่ใกล้แหล่งผลิต” มากพอ—เกิดทั้งแรงบันดาลใจและโอกาสสร้างเครือข่ายผู้ผลิตจริงในคราวเดียว.
จากเวทีภาคเหนือ…สู่มูลค่าเพิ่มของชาติ
การที่เชียงรายมีชื่อดีไซเนอร์รุ่นใหม่ถูกจับตา ไม่ใช่แค่เรื่องของจังหวัดหนึ่ง หากคือหลักฐานว่า “ระบบนิเวศผ้าไทย” เริ่มทำงานในแบบที่ ภูมิปัญญา–ดีไซน์–ตลาด เดินไปด้วยกัน เมื่อเวทีระดับภูมิภาคเปิดโอกาสให้ ราก ทำความรู้จักกับ โลก ผ่านภาษาแฟชั่นร่วมสมัย เราจึงได้เห็น ลายจกสามดอก ที่ถูกแปลเป็นเสื้อผ้าใส่จริง และ ความงามแบบ Wabi Sabi ที่กลายเป็นจังหวะใหม่ของผิวผ้าไทย นี่คือ Soft Power ที่จับต้องได้—เริ่มจากหมู่บ้าน สู่ห้องตัดเย็บ ไปจนถึงรันเวย์ และท้ายสุด…สู่ ยอดขายและงานทำ ในชุมชน
เวที 30 สิงหาคม ที่เชียงใหม่ คือบททดสอบสำคัญของนักออกแบบเชียงราย และหากผ่านด่านนี้ พวกเขาจะมีนัดใหญ่ที่ สุราลัยฮอลล์ ไอคอนสยาม วันที่ 28 ตุลาคม โจทย์ไม่ใช่เพียงว่า “สวยแค่ไหน” หากต้องตอบให้ได้ว่า “ใส่แล้วสนุก ขายได้จริง และคืนกำไรให้ชุมชน” มากเพียงใด—คำตอบนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรสนิยมเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ การเชื่อมมือระหว่างดีไซเนอร์–ช่างทอ–ผู้ประกอบการ–หน่วยงานรัฐ ให้แน่นแฟ้นพอที่จะเปลี่ยน “ผืนผ้า” ให้กลายเป็น “ความหวังทางเศรษฐกิจ” ได้จริง
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.