
เชียงราย, 20 ธันวาคม 2568 –เดือนธันวาคมที่ลมหนาวพัดผ่านตัวเมืองเชียงราย เสียงฝีเท้าผู้คนหลั่งไหลเข้าสู่ Central Art Gallery ชั้น G ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ไม่ใช่เพียงเพื่อชมงานศิลปะทั่วไป แต่คือการมองหาคำตอบว่า “เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้จะอยู่รอดอย่างไรท่ามกลางภัยโลกรวน” ในนิทรรศการที่มีชื่อยาวแต่คมชัดว่า
“Urban Resilience Art Exhibition ธรรมชาติ นิเวศ วิถี ผู้คน เมืองเชียงราย”
นิทรรศการศิลปะเชิงสังคมครั้งนี้จัดแสดงระหว่างวันที่ 6 ธันวาคม 2568 ถึง 6 มกราคม 2569 เปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรี และถูกออกแบบให้เป็นมากกว่าพื้นที่จัดแสดงภาพวาดหรือผลงานศิลป์ หากแต่เป็น “ห้องทดลองทางความคิด” ของทั้งศิลปิน นักวิชาการ ภาคประชาชน และหน่วยงานท้องถิ่น ที่ต้องการหาทางออกให้เมืองเชียงรายท่ามกลางวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงและถี่ขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ศิลปะในห้างสรรพสินค้า ด่านหน้าใหม่ของการสื่อสารเรื่องภัยสภาพภูมิอากาศ
นิทรรศการ Urban Resilience Art Exhibition เกิดจากความร่วมมือของ รีคอฟ ประเทศไทย (RECOFTC Thailand) ภายใต้โครงการ Urban Resilience Building and Nature (URBAN) ร่วมกับกลุ่มศิลปินขัวศิลปะ เครือข่ายศิลปินเชียงราย และองค์กรภาคีในจังหวัด โดยได้รับทุนสนับสนุนจาก แผนงานป้องกันสภาพภูมิอากาศระดับสากล (International Climate Initiative: IKI) สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
ท่ามกลางโถงกว้างของห้างสรรพสินค้า ผลงานศิลปะกว่า 50 ชิ้น จากศิลปินเชียงรายมากกว่า 30 คน รวมถึงผลงานของศิลปินแห่งชาติ ถูกจัดวางอย่างประณีต ทั้งภาพวาด จิตรกรรม ประติมากรรม และงานศิลปะจัดวาง (installation) ที่เล่าเรื่องเดียวกันในหลากหลายมุมมอง – เรื่องของสายน้ำ ป่าเขา ความหลากหลายทางชีวภาพ และชีวิตผู้คนที่พึ่งพาธรรมชาติ
ศิลปะแต่ละชิ้นไม่ได้หยุดอยู่เพียงความงามของภูมิทัศน์เมืองเหนือ หากยังสะท้อน “รอยแผล” จากน้ำท่วมใหญ่ ไฟป่า หมอกควัน PM2.5 และเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่เชียงรายเผชิญซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาพของถนนสายหลักที่กลายเป็นทางน้ำ ภาพโครงสร้างพื้นฐานที่เบียดบังพื้นที่ชุ่มน้ำ และเงาร่างของคนตัวเล็ก ๆ ที่ต้องรับภาระจากการพัฒนาที่ละเลยต้นทุนทางธรรมชาติ ถูกเล่าออกมาด้วยภาษาศิลปะที่ตรงไปตรงมาแต่ทรงพลัง
นิทรรศการจึงทำหน้าที่เป็น “สื่อกลาง” ระหว่างวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมกับความรู้สึกของผู้คน – ทำให้คำที่ดูไกลตัวอย่าง “การปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ (adaptation)” หรือ “แนวทางแก้ปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (Nature-based Solutions: NbS)” กลายเป็นสิ่งที่มองเห็นและเข้าใจได้ผ่านภาพ สี และเรื่องเล่า
URBAN ใช้ต้นทุนธรรมชาติกู้เมืองเชียงราย
เบื้องหลังนิทรรศการนี้ คือโครงการ “เสริมสร้างขีดความสามารถเมืองและธรรมชาติในการตั้งรับปรับตัวต่อผลกระทบจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศ” หรือ URBAN ที่ดำเนินงานในตัวเมืองเชียงรายตั้งแต่ปี 2567 โดยร่วมกับภาคีหลายฝ่ายศึกษาข้อมูลพื้นที่สีเขียว พื้นที่ชุ่มน้ำ แม่น้ำ และพื้นที่สาธารณะที่ยังเหลืออยู่ในเมือง
ข้อมูลเชิงพื้นที่ที่ URBAN รวบรวม – ตั้งแต่แนวลำน้ำสาขาของแม่น้ำกก แหล่งน้ำประจำชุมชน พื้นที่ชุ่มน้ำขนาดเล็ก ไปจนถึงสวนสาธารณะและเกาะกลางถนน – ถูกใช้เป็นฐานในการออกแบบ แนวทาง NbS เพื่อทำให้เมืองมี “ความยืดหยุ่น” (resilience) ต่อภัยพิบัติ เช่น การใช้แนวต้นไม้ริมลำน้ำช่วยชะลอน้ำหลาก การอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำเป็นแก้มลิงธรรมชาติ หรือการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในชุมชนเพื่อลดอุณหภูมิในเมือง
นิทรรศการจึงไม่ใช่เพียงการประชาสัมพันธ์โครงการ แต่เป็นการชวนชุมชนเมืองเชียงรายมามีส่วนร่วม “ตีความเมืองของตนเองใหม่” เห็นคุณค่าของต้นทุนทางธรรมชาติที่ยังเหลืออยู่ และคิดร่วมกันว่าจะใช้มันอย่างไรให้เมืองอยู่รอดในยุคโลกร้อน
ในวันเปิดนิทรรศการ ยังมีวงเสวนา “เมืองในธรรมชาติ ธรรมชาติในเมือง” ที่นำโดยตัวแทนจากชุมชนดอยพระบาท นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย ผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศอย่าง IUCN ตัวแทนจากมูลนิธิมดชนะภัย รวมถึงผู้แทนเทศบาลนครเชียงราย มาร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางจัดการความเสี่ยงภัยพิบัติด้วย NbS โดยมีรีคอฟ ประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินรายการ
หนึ่งในสารสำคัญจากวงเสวนา คือการย้ำว่าการสร้างเมืองที่ทนทานต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ไม่สามารถทำได้ด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพียงอย่างเดียว แต่ต้องผสาน วิทยาศาสตร์–สังคมวัฒนธรรม–การพัฒนาเมือง–และการสื่อสาร เข้าด้วยกัน และเปิดพื้นที่ให้ชุมชนมีส่วนร่วมตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการลงมือทำ
เสียงจากศิลปินและผู้นำท้องถิ่น เมื่อศิลปะไม่ใช่แค่ “ภาพสวย” แต่คือคำประกาศเจตจำนงของเมือง
บรรยากาศในห้องแสดงงานเงียบสงบแต่เต็มไปด้วยการสนทนา หลายคนยืนนิ่งอยู่หน้าภาพวาดหมู่บ้านริมแม่น้ำที่กำลังเผชิญน้ำท่วม บ้างหยุดดูประติมากรรมที่ใช้เศษวัสดุจากเมืองมาจัดวางให้กลายเป็นภูเขาที่ถูกตัดหัว ทั้งหมดนี้สะท้อนมุมมองของศิลปินต่อเมืองที่ตนรัก
นายสุวิทย์ ใจป้อม ที่ปรึกษาสมาคมขัวศิลปะและหนึ่งในศิลปินที่ร่วมจัดแสดงผลงาน อธิบายอย่างตรงไปตรงมาว่า ปัญหาที่เชียงรายเผชิญไม่ใช่เพียงเรื่องสิ่งแวดล้อม
“มันเกี่ยวข้องกับปากท้อง สุขภาพ เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความมั่นคงของชุมชนทั้งหมด นิทรรศการนี้จึงไม่ใช่แค่การโชว์ศิลปะ แต่คือการประกาศเจตจำนงร่วมกันของศิลปินเชียงรายว่า เราจะลุกขึ้นมาพูด ลุกขึ้นมาทำ และชวนชุมชนให้ลุกขึ้นมาร่วมกัน เพราะเชียงรายคือบ้านของเรา และธรรมชาติไม่ใช่ของที่มีไว้ใช้เพียงอย่างเดียว แต่เป็นสิ่งที่เราต้องดูแลและส่งต่อให้ดีกว่าเดิม”
คำกล่าวของเขาชี้ให้เห็นว่าศิลปินไม่ได้มองตนเองเป็นเพียงผู้สร้างผลงาน แต่เป็น “ผู้ส่งสัญญาณเตือนภัย” ต่อสังคม ผ่านภาษาที่เข้าถึงอารมณ์ของผู้ชมโดยตรง
ด้าน นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย มองบทบาทของศิลปะในมิติของการสร้างการมีส่วนร่วมและผู้นำรุ่นใหม่
“ผมมั่นใจว่าศิลปะจากพี่น้องศิลปินเชียงรายจะช่วยจูงใจคน ทำให้เกิดปราชญ์ชาวบ้านและเยาวชนรุ่นใหม่ที่รักธรรมชาติ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และคิดวางแผนจัดการปัญหาได้สอดคล้องกับตัวตนของเชียงราย เมืองของเราจำเป็นต้องปรับตัวให้เป็นเมืองน่าอยู่ในสภาวะโลกที่กำลังเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว”
มุมมองดังกล่าวสะท้อนว่าท้องถิ่นไม่ได้มองศิลปะเป็นเพียงงานวัฒนธรรมที่อยู่ปลายทาง หากแต่เป็นเครื่องมือหนึ่งในการบริหารจัดการเมืองและสร้าง “จิตสำนึกสาธารณะ” ให้กับคนในชุมชน
เมืองเปลี่ยน ธรรมชาติเปลี่ยน แต่โอกาสในการปรับตัวก็เปลี่ยนเช่นกัน
ตัวแทนจากโครงการ URBAN อย่าง ภัคเกษม ธงชัย เจ้าหน้าที่แผนงานด้านน้ำและพื้นที่ชุ่มน้ำ (ซึ่งมีบทบาทสำคัญในเวทีเสวนา) ชี้ให้เห็นความคาดหวังระยะยาวว่า แม้โครงการจะมีกำหนดสิ้นสุดในปี 2571 แต่สิ่งที่หวังคือ “ต้นทุนทางความรู้และต้นทุนทางสังคม” ที่จะถูกส่งต่อให้เมืองขับเคลื่อนได้เอง
สารที่ถูกย้ำในเวที คือ
เมื่อผนวกกับการสนับสนุนจากองค์กรภายนอก ทั้ง IUCN, ศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง, ศูนย์เตรียมความพร้อมภัยพิบัติแห่งเอเชีย, สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย, กรมทรัพยากรน้ำ และหน่วยงานด้านทรัพยากรธรรมชาติระดับจังหวัด ภาพของ “ห้องทดลองเชียงราย” จึงเริ่มชัดขึ้นว่า เมืองนี้กำลังใช้ทั้ง องค์ความรู้–ศิลปะ–และพลังชุมชน เพื่อออกแบบเส้นทางสู่ความยั่งยืนของตนเอง
นิทรรศการที่ไม่จบลงแค่วันที่ปิดงาน
แม้นิทรรศการ Urban Resilience Art Exhibition จะมีกำหนดปิดในวันที่ 6 มกราคม 2569 แต่โจทย์สำคัญที่งานพยายามตั้งคำถามต่อผู้เข้าชม คือ “หลังจากเดินออกจากห้องจัดแสดงแล้ว เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อลดความเปราะบางของเมืองและเพิ่มความยืดหยุ่นให้เชียงราย”
การเลือกจัดงานในศูนย์การค้าใจกลางเมือง ทำให้กลุ่มเป้าหมายไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะคนรักศิลปะหรือผู้สนใจสิ่งแวดล้อมโดยตรง แต่เปิดกว้างถึงครอบครัว คนทำงาน และเยาวชนที่มาเดินห้างในวันหยุด เมื่อนิทรรศการตั้งอยู่ในเส้นทางการสัญจรประจำวัน ภาพของสายน้ำ ป่าเขา และเมืองที่กำลังเปลี่ยนไปจึงแทรกซึมสู่สายตาผู้คนโดยไม่ต้อง “ตั้งใจมาหา”
ในมุมเศรษฐกิจ นิทรรศการอาจไม่ได้สร้างเม็ดเงินโดยตรงมากเท่ากับงานเทศกาลขนาดใหญ่ แต่สิ่งที่มีค่ามากกว่า คือการสร้าง “ทุนทางสังคมและทุนทางความคิด” ให้คนเชียงรายมองเห็นว่า เมืองที่น่าอยู่ในยุคโลกรวนต้องเริ่มต้นจากการเคารพต้นทุนทางธรรมชาติที่มีอยู่ และพร้อมร่วมมือกันดูแลให้ยั่งยืน
ในระดับนโยบาย ผลของการศึกษาและบทเรียนจากโครงการ URBAN ที่ผนวกเข้ากับการรับฟังเสียงชุมชนผ่านกระบวนการศิลปะ อาจกลายเป็นฐานข้อมูลสำคัญสำหรับการวางผังเมือง การจัดการพื้นที่สีเขียว การอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ และการเตรียมความพร้อมด้านภัยพิบัติของเชียงรายในอนาคต
นิทรรศการจึงไม่ใช่จุดจบของโครงการ หากแต่เป็น “จุดเชื่อมต่อ” ระหว่างงานวิจัยเชิงเทคนิคกับชีวิตจริงของผู้คน และเป็นเวทีประกาศว่า เมืองเชียงรายพร้อมจะก้าวสู่การเป็นเมืองที่ “ธรรมชาติอยู่ได้ เมืองอยู่รอด คนอยู่ดี” ด้วยพลังของทั้งศิลปะและความรู้ทางวิทยาศาสตร์
ศิลปะกู้เมืองในยุคโลกรวน
เมื่อโลกเผชิญวิกฤตสภาพภูมิอากาศ เมืองต่าง ๆ ทั่วโลกต่างเร่งเตรียมความพร้อมด้วยเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน และแผนบริหารจัดการความเสี่ยง แต่กรณีของเชียงรายแสดงให้เห็นว่า “ศิลปะและวัฒนธรรม” ก็สามารถเป็นอีกหนึ่งเสาหลักของความยืดหยุ่นเมืองได้เช่นกัน
Urban Resilience Art Exhibition ไม่ได้ให้คำตอบสำเร็จรูปว่าเชียงรายควรเดินไปทางไหน หากแต่ตั้งคำถามชัดเจนว่า หากเราไม่เริ่มลงมือวันนี้ เมืองที่เรารักอาจกลายเป็นพื้นที่เปราะบางยิ่งขึ้นในอนาคต การรวมพลังของศิลปิน ภาคีเครือข่าย นักวิชาการ หน่วยงานรัฐ และภาคเอกชน ผ่านนิทรรศการในห้างใจกลางเมือง จึงเป็นสัญญาณว่าเชียงรายเลือก “หันหน้าเข้าหากัน” เพื่อออกแบบอนาคตร่วมกัน มากกว่าจะยอมปล่อยให้ภัยพิบัติและการพัฒนาที่ไม่คำนึงถึงธรรมชาติเป็นผู้กำหนดทิศทาง
สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยเดินเข้าไปใน Central Art Gallery ชั้น G เซ็นทรัล เชียงราย นิทรรศการที่เปิดให้ชมฟรีจนถึงวันที่ 6 มกราคม 2569 อาจเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในการตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เราจะมีส่วนอย่างไรในการทำให้เมืองและธรรมชาติอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน” และนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญยิ่งกว่าผลงานศิลปะชิ้นใดในห้องจัดแสดงก็เป็นได้
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by Nakorn Chiang Rai News Limited Partnership (L.P.). All Rights Reserved.