ไทยต้องปรับตัวรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ยกระดับการบริหารจัดการเพื่อความอยู่รอด

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567 หนังสือพิมพ์ Bangkok Post รายงานถึงความเร่งด่วนในการปรับตัวเพื่อรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่กำลังส่งผลกระทบต่อทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่มีความเสี่ยงสูงต่อปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง และคลื่นความร้อน

ความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โลกกำลังเผชิญกับปัญหาอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และสภาพอากาศสุดขั้วที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนและเศรษฐกิจ เช่น ภูเขาไฟฟูจิในญี่ปุ่นที่ไม่มีหิมะปกคลุมในเดือนตุลาคมเป็นครั้งแรกในรอบ 130 ปี ถือเป็นสัญญาณชัดเจนของภาวะโลกร้อน

ในส่วนของประเทศไทย การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิส่งผลต่อภาคเกษตร ความมั่นคงทางอาหาร สุขภาพ และเศรษฐกิจโดยรวม การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง 1% ของโลก แต่ประเทศไทยกลับติดอันดับ 9 ในดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Risk Index) และประสบกับเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วถึง 146 ครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา

ผลกระทบสำคัญที่ประเทศไทยต้องเผชิญ

  1. น้ำท่วมและการกัดเซาะชายฝั่ง: กรุงเทพฯ และพื้นที่ใกล้เคียงอาจจมน้ำในอีก 30 ปีข้างหน้า เนื่องจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและการทรุดตัวของดิน เช่น วัดขุนสมุทรจีนในสมุทรปราการที่กลายเป็นเกาะกลางน้ำ
  2. ภัยแล้งและคลื่นความร้อน: จังหวัดแม่ฮ่องสอนอาจมีวันปราศจากฝนถึง 100 วันต่อปี ส่งผลให้เกิดความขาดแคลนน้ำและอุณหภูมิสูงถึง 40°C
  3. ผลกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจ: ความร้อนที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อแรงงานกลางแจ้ง เช่น เกษตรกรและพนักงานขนส่ง ที่ต้องลดชั่วโมงการทำงานลง พร้อมกับเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพและลดผลิตภาพทางเศรษฐกิจ

แนวทางการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เสนอแนะ 3 กลยุทธ์หลักในการรับมือ ได้แก่

  1. การป้องกันและลดความเสี่ยง:

    • พัฒนาพันธุ์พืชที่ทนแล้ง
    • ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้ทนทานต่อพายุและน้ำท่วม
    • ปลูกป่าชายเลนเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง
    • พิจารณาการย้ายถิ่นฐานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง
  2. การเตรียมพร้อมและการตอบสนอง:

    • ระบบเตือนภัยล่วงหน้าและการพยากรณ์อากาศที่น่าเชื่อถือ
    • จัดทำแผนฟื้นฟูชุมชนและระบบบริการฉุกเฉิน
  3. การฟื้นฟูและเพิ่มความยืดหยุ่น:

    • มุ่งเน้นการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานอย่างยั่งยืน
    • จัดทำระบบประกันภัยและเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคม
    • หลีกเลี่ยงการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มความเสี่ยง เช่น เขื่อนกั้นน้ำโดยไม่มีการศึกษาอย่างรอบคอบ

บทเรียนจากต่างประเทศ

  • เนเธอร์แลนด์: ใช้ระบบกำแพงกันน้ำที่ออกแบบจากการศึกษาสภาพแวดล้อมและความคิดเห็นของชุมชน
  • ญี่ปุ่น: ใช้เทคโนโลยี Digital Twin เพื่อจำลองสถานการณ์น้ำท่วม
  • สิงคโปร์: ลงทุนในพื้นที่สีเขียวเพื่อลดผลกระทบจากคลื่นความร้อน

การบริหารจัดการที่ยั่งยืน

รัฐบาลไทยควรตั้งกองทุน Green Transition and Adaptation Fund ผ่านการจัดเก็บภาษีคาร์บอน เพื่อสนับสนุนกลุ่มเปราะบางและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สอดรับกับอนาคต ลดการพึ่งพาการแจกเงินช่วยเหลือเฉพาะหน้า และส่งเสริมงานวิจัยเพื่อสร้างอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สรุป

ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง ทั้งการป้องกัน ฟื้นฟู และพัฒนาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน เพื่อเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสในการพัฒนาประเทศและสร้างความยืดหยุ่นต่ออนาคตที่ร้อนขึ้นทุกวัน

นี่คือเวลาที่ประเทศไทยต้องลงมือทำอย่างจริงจังเพื่ออนาคตที่ดีกว่า!

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : bangkokpost

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR