แร่หายากจากรัฐฉานถึงเชียงราย เมื่อเทคโนโลยีสีเขียวทิ้งรอยแผลไว้บนภูเขา และเราควรทำอะไรต่อไป

ความหวังสีเขียวที่มาพร้อมรอยแผล

เชียงราย, 31 พฤษภาคม 2568ในยุคที่โลกกำลังมุ่งหน้าสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด เทคโนโลยีสีเขียว เช่น รถยนต์ไฟฟ้าและกังหันลม กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวังในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและต่อสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนี้ กลับมีเรื่องราวที่ถูกละเลย—การทำเหมืองแร่หายากในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งกำลังทิ้งรอยแผลขนาดใหญ่ไว้บนภูเขา แม่น้ำ และวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น

เชียงราย จังหวัดทางตอนเหนือของประเทศไทยมีพรมแดนติดกับรัฐฉานครับ รัฐคะฉิ่นจะอยู่เหนือรัฐฉานขึ้นไปติดชายแดนจีน ไม่ได้เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์จากระยะไกล ความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์และความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจทำให้ผลกระทบจากการทำเหมืองในรัฐฉานสามารถข้ามพรมแดนมาถึงชุมชนในเชียงรายได้ ไม่ว่าจะเป็นมลพิษในแหล่งน้ำ การเคลื่อนย้ายของแรงงาน หรือผลกระทบต่อการค้าชายแดน บทความนี้จะพาคุณดำดิ่งสู่เรื่องราวของแร่หายาก ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของความต้องการที่พุ่งสูงขึ้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นในรัฐกะฉิ่น และความท้าทายที่เชียงรายต้องเผชิญ พร้อมทั้งค้นหาคำตอบว่าเราจะสามารถเดินหน้าสู่ความยั่งยืนได้อย่างไรโดยไม่ทิ้งรอยแผลไว้ข้างหลัง

แร่หายากหัวใจของเทคโนโลยีสีเขียว

แร่หายาก (Rare Earth Elements – REEs) คือกลุ่มธาตุโลหะ 17 ชนิด เช่น แลนทานัม (Lanthanum), ซีเรียม (Cerium), และนีโอดิเมียม (Neodymium) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งแต่สมาร์ทโฟน แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงกังหันลมและแผงโซลาร์เซลล์ แม้ว่าชื่อจะบ่งบอกว่า “หายาก” แต่ในความเป็นจริง แร่เหล่านี้พบได้ทั่วไปในเปลือกโลก สิ่งที่ทำให้การสกัดแร่หายากมีความท้าทายคือกระบวนการที่ซับซ้อนและมีต้นทุนสูง ซึ่งมักต้องใช้สารเคมีและน้ำในปริมาณมาก

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ความต้องการแร่หายากเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตามรายงานของ International Energy Agency (IEA) ปี 2567 ความต้องการแร่หายากทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 40% จากปี 2563 โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน ประเทศจีน ซึ่งครองส่วนแบ่งการผลิตแร่หายากถึง 60% ของโลก ได้ขยายการลงทุนในแหล่งแร่ในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในเมียนมา รัฐฉาน ซึ่งมีแหล่งแร่หายากที่อุดมสมบูรณ์ กลายเป็นจุดหมายหลักของการทำเหมือง ด้วยปริมาณสำรองแร่ที่คาดการณ์ว่ามีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ

การทำเหมืองในรัฐกะฉิ่นกระบวนการที่ทิ้งรอยแผล

ในรัฐกะฉิ่น การสกัดแร่หายากส่วนใหญ่ใช้วิธีการที่เรียกว่า In-situ leaching ซึ่งเป็นเทคนิคที่ฉีดสารเคมี เช่น แอมโมเนียมซัลเฟต หรือกรดซัลฟิวริก ลงไปในชั้นดินเพื่อละลายแร่หายากออกจากหิน กระบวนการนี้ต้องใช้น้ำและสารเคมีในปริมาณมาก และมักก่อให้เกิดน้ำเสียที่มีสารพิษสูง เช่น โลหะหนักและสารกัมมันตรังสีอย่างยูเรเนียมและทอเรียม

จากการศึกษาของ University of Warwick และ Kachinland Research Centre ในปี 2567 พบว่า การทำเหมืองแร่หายากในเมืองปางวาและเมืองบาโมของรัฐกะฉิ่น ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง ดังนี้:

  • การปนเปื้อนของแหล่งน้ำ: น้ำเสียจากการทำเหมืองไหลลงสู่แม่น้ำสายหลัก เช่น แม่น้ำมาลีข่าและแม่น้ำนัมยิน ซึ่งเชื่อมต่อกับระบบนิเวศลุ่มน้ำโขง สารพิษเหล่านี้ไม่เพียงทำลายแหล่งน้ำดื่มของชุมชนท้องถิ่น แต่ยังส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น ปลาและสัตว์น้ำที่เป็นแหล่งอาหารสำคัญ
  • การสูญเสียป่าไม้: พื้นที่ป่ากว่า 10,000 เฮกตาร์ในรัฐกะฉิ่นถูกทำลายเพื่อรองรับการขุดเจาะและโครงสร้างพื้นฐานของเหมือง ส่งผลให้ระบบนิเวศป่าดิบชื้นที่เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหายาก เช่น เสือโคร่งและนกเงือก เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
  • มลพิษทางอากาศและดิน: ฝุ่นละอองจากเหมืองและสารเคมีที่ตกค้างในดินทำให้พื้นที่เกษตรกรรมในรัศมี 10-20 กิโลเมตรจากเหมืองไม่สามารถเพาะปลูกได้อีกต่อไป

ผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่นเสียงที่ถูกละเลย

การทำเหมืองแร่หายากในรัฐกะฉิ่นไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง ชาวกะฉิ่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรและพึ่งพาการทำไร่ข้าวและปลูกพืชหมุนเวียน ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ:

  • การสูญเสียที่ดินทำกิน รายงานจาก Global Witness ปี 2566 ระบุว่า ชาวบ้านในเมืองปางวาและเมืองชิปเว (Chipwe) ถูกบังคับให้ขายที่ดินให้กับบริษัทเหมืองแร่ที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มติดอาวุธ หรือต้องย้ายออกจากพื้นที่เนื่องจากมลพิษทำให้ที่ดินไม่สามารถเพาะปลูกได้
  • ปัญหาสุขภาพ การสัมผัสกับสารเคมี เช่น แอมโมเนียมและโลหะหนัก นำไปสู่ปัญหาสุขภาพ เช่น โรคผิวหนัง โรคระบบทางเดินหายใจ และในบางกรณี พบอัตราการเกิดมะเร็งที่สูงขึ้นในชุมชนใกล้เหมือง
  • การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต จากเกษตรกร ชาวบ้านจำนวนมากต้องหันไปทำงานในเหมือง ซึ่งมีสภาพการทำงานที่เสี่ยงอันตรายและไม่มีสวัสดิการที่เพียงพอ ค่าจ้างเฉลี่ยของแรงงานเหมืองอยู่ที่ประมาณ 5-7 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าค่าครองชีพในพื้นที่
  • ปัญหาสังคม การเข้ามาของแรงงานจากภายนอก รวมถึงการขาดการควบคุมจากภาครัฐ นำไปสู่ปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด การค้าประเวณี และความรุนแรงในชุมชน

จากการสัมภาษณ์ของ Kachinland Research Centre ชาวบ้านในเมืองหมากยาจาง (Mai Ja Yang) รายหนึ่งกล่าวว่า “ที่ดินที่เคยเป็นของครอบครัวเราหายไป น้ำที่เคยดื่มได้ก็กลายเป็นพิษ เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำงานในเหมืองที่ทำลายชีวิตของเราเอง”

ความเชื่อมโยงกับเชียงรายผลกระทบข้ามพรมแดน

เชียงราย ซึ่งมีพรมแดนติดกับรัฐฉาน และรัฐคะฉิ่นจะอยู่เหนือรัฐฉานขึ้นไปติดชายแดนจีน มีความเชื่อมโยงทั้งทางภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ และสังคมกับพื้นที่ดังกล่าว ผลกระทบจากการทำเหมืองแร่หายากในรัฐฉานจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับชาวเชียงราย 

  • มลพิษข้ามพรมแดน แม่น้ำสายและน้ำรวก ซึ่งไหลจากรัฐฉานเข้าสู่ประเทศไทยผ่านอำเภอแม่สายและแม่จัน มีความเสี่ยงที่จะปนเปื้อนด้วยสารเคมีจากเหมืองแร่ จากการตรวจสอบเบื้องต้นของ กรมทรัพยากรน้ำ ในปี 2567 พบว่าน้ำในลุ่มน้ำสายมีระดับโลหะหนัก เช่น ตะกั่วและแคดเมียม สูงกว่ามาตรฐานในบางช่วง
  • การเคลื่อนย้ายของแรงงาน ความยากจนและการสูญเสียที่ดินในรัฐฉานทำให้ชาวบ้านบางส่วนอพยพข้ามพรมแดนมาทำงานในเชียงราย โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมและก่อสร้าง การเคลื่อนย้ายนี้อาจนำไปสู่ความท้าทายด้านการจัดการแรงงานข้ามชาติและโครงสร้างสังคมในพื้นที่
  • ผลกระทบต่อการค้าชายแดน การค้าชายแดนระหว่างไทยและเมียนมา โดยเฉพาะผ่านด่านแม่สาย มีมูลค่าการค้ากว่า 50,000 ล้านบาทต่อปี (ข้อมูลจาก กระทรวงพาณิชย์ ปี 2567) การหยุดชะงักของการค้า เนื่องจากความขัดแย้งในรัฐฉานหรือผลกระทบจากมลพิษ อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นในเชียงราย

การเมืองชายแดนกลุ่มอำนาจและการควบคุมเหมือง

การทำเหมืองแร่หายากในรัฐฉานไม่ได้ดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐเมียนมาโดยตรง แต่ถูกควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธที่มีอิทธิพลในพื้นที่ ซึ่งเพิ่มความซับซ้อนให้กับสถานการณ์:

  • NDA-K (New Democratic Army – Kachin): กลุ่มนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกองทัพเมียนมา และควบคุมพื้นที่เหมืองในเมืองปางวาและชิปเว ซึ่งเป็นศูนย์กลางการส่งออกแร่หายากไปยังจีนผ่านด่านชายแดนปางวาและกันไผ่ตี้
  • KIA/KIO (Kachin Independence Army/Organization): กลุ่มชาติพันธุ์กะฉิ่นที่ต่อสู้เพื่อเอกราช ควบคุมพื้นที่เหมืองในเมืองบาโมและหมากยาจาง รายได้จากเหมืองถูกใช้เพื่อสนับสนุนการต่อสู้กับกองทัพเมียนมา
  • UWSA (United Wa State Army-UWSA) : หรือ ยูดับบลิวเอสเอ ในรัฐฉาน เมียนมา เป็นกองกำลังของกลุ่มชนชาติพันธุ์ว้าในเมียนมาหรือที่คนไทยรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า “ว้าแดง” และถือว่าเป็นกองกำลังที่ทรงอิทธิพลอย่างมากจากความมั่งคั่งที่ได้มาจากอาณาจักรธุรกิจค้ายาเสพติดขนาดใหญ่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงค้าอาวุธให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในเมียนมา

ตามรายงานของ Chatham House (2566) รายได้จากแร่หายากในรัฐกะฉิ่นถูกใช้เพื่อซื้ออาวุธและรักษาอำนาจของกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งทำให้การควบคุมและตรวจสอบการทำเหมืองเป็นไปได้ยาก ความขัดแย้งนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงด้านความมั่นคงให้กับพื้นที่ชายแดนไทย โดยเฉพาะในอำเภอแม่สาย

ความเสี่ยงด้านความมั่นคงผลกระทบต่อประเทศไทย

ความขัดแย้งในรัฐฉานไม่เพียงแต่ส่งผลต่อชุมชนท้องถิ่นในเมียนมา แต่ยังสร้างความเสี่ยงด้านความมั่นคงให้กับประเทศไทย ตามข้อมูลจาก Center for Strategic and International Studies (CSIS) ปี 2567 การค้าทรัพยากรแร่หายากมีส่วนสนับสนุนงบประมาณของกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งอาจนำไปสู่การสู้รบที่รุนแรงขึ้นใกล้ชายแดนไทย

นอกจากนี้ การอพยพของประชากรจากพื้นที่ขัดแย้งในรัฐฉานอาจเพิ่มแรงกดดันต่อระบบสาธารณสุขและโครงสร้างพื้นฐานในเชียงราย โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านการจัดการแรงงานข้ามชาติอยู่แล้ว

เสียงจากชุมชนเชียงรายการลุกขึ้นสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ณ หอศิลป์ร่วมสมัยเมืองเชียงราย ขัวศิลปะ ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย กลุ่มเครือข่ายภาคประชาชนจากจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ รวมตัวกันเพื่อหารือถึงปัญหามลพิษข้ามพรมแดนที่อาจส่งผลกระทบต่อลุ่มน้ำสายและน้ำรวก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของชุมชนในพื้นที่ การประชุมครั้งนี้มีตัวแทนจากหลากหลายองค์กร เช่น มูลนิธิชุมชนและเขตภูเขา นำโดยนางเตือนใจ ดีเทศน์ หรือ “ครูแดง” อดีตสมาชิกวุฒิสภาและนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม, ดร.สืบสกุล กิจนุกร จากสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, มูลนิธิกระจกเงา, สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต, กลุ่มรักษ์เชียงของ รวมถึงนักธุรกิจและผู้นำชุมชนในพื้นที่

การเคลื่อนไหวของชุมชนเหล่านี้สะท้อนถึงพลังของประชาชนในการรับมือกับปัญหาที่อาจดูเหมือนไกลตัว แต่มีผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวัน

เสียงแห่งการเปลี่ยนแปลงในวันสิ่งแวดล้อมโลก

ที่ประชุมมีมติให้จัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อแสดงเจตนารมณ์ในการปกป้องลุ่มน้ำจากมลพิษข้ามพรมแดน ในวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ซึ่งตรงกับวันสิ่งแวดล้อมโลก โดยกิจกรรมจะจัดขึ้นที่ลานหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย ติดกับแม่น้ำกก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแหล่งน้ำสำคัญของจังหวัด กิจกรรมนี้จะรวมถึงการจัดนิทรรศการข้อมูล การแสดงศิลปะสะท้อนปัญหาสิ่งแวดล้อม และการยื่นข้อเรียกร้องต่อหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้มีการตรวจสอบและจัดการมลพิษข้ามพรมแดนอย่างจริงจัง

นอกจากนี้ กลุ่มเครือข่ายยังมีแผนจัดตั้ง “ศูนย์ข้อมูลและสื่อลุ่มน้ำสาย-น้ำรวก” เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของการทำเหมืองแร่หายาก รวมถึงให้ความรู้แก่ชุมชนในพื้นที่เกี่ยวกับวิธีการตรวจสอบคุณภาพน้ำและการป้องกันตนเองจากสารพิษ ศูนย์นี้จะตั้งอยู่ที่อำเภอแม่สาย และจะทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัย องค์กรพัฒนาเอกชน และชุมชนท้องถิ่น เพื่อสร้างความตระหนักรู้และผลักดันนโยบายปกป้องสิ่งแวดล้อม

ทางออกเราควรทำอะไรต่อไป

เพื่อรับมือกับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่หายากในรัฐฉานและปกป้องชุมชนในเชียงราย แนวทางต่อไปนี้สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน:

  • การเฝ้าระวังและตรวจสอบ: หน่วยงาน เช่น กรมทรัพยากรน้ำ และ สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 ควรเพิ่มการตรวจสอบคุณภาพน้ำและดินในพื้นที่ชายแดนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจจับมลพิษที่อาจมาจากการทำเหมืองในเมียนมา
  • การให้ความรู้แก่ชุมชน: ควรมีการจัดอบรมและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของการทำเหมืองแร่หายาก รวมถึงวิธีป้องกันการสัมผัสสารเคมีอันตราย โดยสามารถร่วมมือกับองค์กรพัฒนาเอกชน เช่น มูลนิธิเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมชายแดน
  • ความร่วมมือข้ามพรมแดน: รัฐบาลไทยควรผลักดันความร่วมมือกับเมียนมาในระดับทวิภาคี หรือผ่านกรอบอาเซียน เพื่อกำหนดมาตรการควบคุมมลพิษและปกป้องสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำโขง
  • การสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น: ควรมีการลงทุนในโครงการฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรมที่ได้รับผลกระทบ และพัฒนาอาชีพทางเลือก เช่น การท่องเที่ยวเชิงนิเวศหรือเกษตรอินทรีย์ เพื่อลดการพึ่งพาการทำงานในเหมือง
  • พลังของผู้บริโภค: ผู้บริโภคในไทยสามารถกดดันบริษัทเทคโนโลยีให้เปิดเผยแหล่งที่มาของแร่หายากที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ และสนับสนุนการใช้แร่จากแหล่งที่ยั่งยืน

เทคโนโลยีสีเขียวที่ต้องไม่ทิ้งรอยแผล

การทำเหมืองแร่หายากในรัฐฉานเพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีสีเขียว แม้จะเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน แต่กลับสร้างรอยแผลให้กับสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น เชียงราย ในฐานะพื้นที่ชายแดนที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐฉาน มีบทบาทสำคัญในการรับมือกับผลกระทบข้ามพรมแดน ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องแหล่งน้ำ การจัดการแรงงานข้ามชาติ หรือการผลักดันความร่วมมือในระดับภูมิภาค

การเดินหน้าสู่เทคโนโลยีสีเขียวที่แท้จริงต้องไม่ทิ้งรอยเท้าสีดำไว้ข้างหลัง การรวมพลังของภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่นจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างสมดุลระหว่างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการปกป้องสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ภูเขาและแม่น้ำในรัฐฉานและเชียงรายยังคงเป็นแหล่งชีวิตของคนรุ่นต่อไป

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ปริมาณการผลิตแร่หายาก: ตามข้อมูลจาก U.S. Geological Survey (USGS) ปี 2567 เมียนมาเป็นผู้ผลิตแร่หายากอันดับที่ 3 ของโลก รองจากจีนและออสเตรเลีย โดยผลิตได้ประมาณ 38,000 ตันต่อปี ซึ่ง 80% มาจากรัฐกะฉิ่น (แหล่งอ้างอิง: https://www.usgs.gov/centers/national-minerals-information-center/rare-earths-statistics-and-information)
  2. ผลกระทบต่อพื้นที่ป่า: การทำเหมืองแร่หายากในรัฐกะฉิ่นทำลายพื้นที่ป่ากว่า 10,000 เฮกตาร์ในช่วงปี 2560–2567 (แหล่งอ้างอิง: University of Warwick & Kachinland Research Centre, 2567, https://warwick.ac.uk/fac/arts/schoolforcross-facultystudies/research/projects/rare_earth_mining_myanmar/briefing_paper_5_-_addressing_environmental_impacts.pdf)
  3. มลพิษในแหล่งน้ำ: การตรวจสอบคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำสายและน้ำรวกในปี 2567 โดย กรมทรัพยากรน้ำ พบว่า ระดับโลหะหนัก เช่น ตะกั่วและแคดเมียม สูงกว่ามาตรฐานในบางพื้นที่ถึง 3 เท่า (แหล่งอ้างอิง: รายงานภายในกรมทรัพยากรน้ำ, 2567)
  4. การค้าชายแดน: มูลค่าการค้าชายแดนไทย-เมียนมาผ่านด่านแม่สายในปี 2567 อยู่ที่ 50,000 ล้านบาท (แหล่งอ้างอิง: กระทรวงพาณิชย์, https://www.moc.go.th)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • บทความโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้ง สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ 
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อตั้ง สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ 
  • พิสันต์ จันทร์ศิลป์ 
  • University of Warwick & Kachinland Research Centre. (2567). Addressing the Environmental Impacts of Rare Earth Mining in Kachin State, Myanmar. https://warwick.ac.uk/fac/arts/schoolforcross-facultystudies/research/projects/rare_earth_mining_myanmar/briefing_paper_5_-_addressing_environmental_impacts.pdf
  • University of Warwick & Kachinland Research Centre. (2566). Rare Earth Mining in Myanmar: A Primer. https://warwick.ac.uk/fac/arts/schoolforcross-facultystudies/research/projects/rare_earth_mining_myanmar/briefing_paper_1_rare_earth_mining_in_myanmar_a_primer.pdf
  • Global Witness. (2566). Environmental and Social Impacts of Rare Earth Mining in Myanmar. https://www.globalwitness.org/en/campaigns/environmental-activists/rare-earth-mining-myanmar/
  • Chatham House. (2566). Rare Earth Trade Flows and Myanmar’s Role. https://www.chathamhouse.org/2022/12/rare-earth-trade-flows-and-myanmars-role
  • Center for Strategic and International Studies (CSIS). (2567). Myanmar’s Rare Earth Mining and China’s Green Ambitions. https://www.csis.org/analysis/myanmars-rare-earth-mining-and-chinas-green-ambitions
  • กรมทรัพยากรน้ำ. (2567). รายงานการตรวจสอบคุณภาพน้ำลุ่มน้ำสายและน้ำรวก
  • กระทรวงพาณิชย์. (2567). สถิติการค้าชายแดนไทย-เมียนมา. https://www.moc.go.th
  • สถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News