
เชียงราย, 10 ตุลาคม 2568 – ในขณะที่ตลาดค้าปลีกชาทั่วโลกยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าสูงถึง 51,470 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 แต่พลวัตการค้าระหว่างประเทศกลับแสดงการหดตัวในกลุ่มชาดั้งเดิมอย่างน่าตกใจ แต่กระแสของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างนี้ ภูมิปัญญาของกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อแห่งบ้านหาดบ้าย ตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ได้ถูกนำมาผนวกเข้ากับนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ เพื่อยกระดับ “ชาดอกซ้อ” ซึ่งเป็นพืชพื้นถิ่นที่ออกดอกเพียงปีละครั้ง ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่มีคุณค่าสูง (Functional Tea) ถือเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญของการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Creation) ให้กับสินค้าเกษตรเฉพาะถิ่นของไทย เพื่อตอบสนองอุปสงค์ของตลาดพรีเมียมโลกที่กำลังมองหาสินค้าที่มี “เรื่องราว” และ “คุณสมบัติที่เหนือกว่า”
การเดินทางของดอกซ้อจาก “ขนมประจำเทศกาล” สู่ “ชาสุขภาพไร้คาเฟอีน” ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความยืดหยุ่นทางวัฒนธรรมของชาวไทลื้อ แต่ยังเป็นการก้าวเข้าสู่สนามแข่งขันระดับโลกได้อย่างถูกจังหวะ ตามข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์ที่ระบุว่า ประเทศไทยควรเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชาเพื่อสุขภาพเพื่อรักษาและขยายความได้เปรียบทางการค้า
จากต้นไม้พื้นบ้านสู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ
ดอกซ้อ (Dok Sor) เป็นต้นไม้พื้นถิ่นทางภาคเหนือที่เป็นไม้ใหญ่ยืนต้น ซึ่งทุกส่วนของต้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย เนื้อไม้นำมาทำเครื่องเรือน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ครก เขียง ซึ่งเป็นที่นิยมเนื่องจากมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ไม้ซ้อ ตัวใบใช้เป็นสมุนไพรในการต้มอาบหรือแก้ผดคัน ส่วนผลสุกสามารถนำมาขยี้แล้วกินกับข้าวเหนียว ซึ่งเป็นความรู้ด้านการใช้ประโยชน์ที่บรรพบุรุษชาวไทลื้อได้ส่งต่อกันมาเป็นเวลานาน
เดิมที ดอกซ้อมีบทบาทสำคัญทางวัฒนธรรมสำหรับชาวไทลื้อบ้านหาดบ้าย คือการนำดอกมาทำเป็น “ขนมดอกซ้อ” ซึ่งเป็นขนมที่รับประทานเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์หรือปีใหม่เมืองเท่านั้น การทำขนมดอกซ้อเพื่อถวายพระในวันสงกรานต์นั้นเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นปีใหม่ สัญญาว่าทั้งปีจะมีความเจริญรุ่งเรือง แต่ความคิดริเริ่มของชาวบ้านกลับพลิกเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ของพืชพื้นถิ่นนี้ให้ไปไกลกว่าขนมดั้งเดิม
นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญว่า “เริ่มแรกเกิดจากความคิดที่ว่า หากดอกซ้อสามารถนำมาทำขนมได้ ไฉนจึงไม่สามารถนำมาทำเป็นเครื่องดื่มได้บ้าง” ความพยายามในการนำมาแปรรูปเป็นชาเริ่มต้นด้วยการลองผิดลองถูกหลายปี ก่อนที่จะได้รับความร่วมมือครั้งสำคัญจากคณะวิทยาการจัดการและคณะสังคมศาสตร์ สาขาคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ภายใต้โครงการนวัตกรรมการพัฒนาและเล่าเรื่องชาดอกซ้อตามแนวทางอาหารปลอดภัย
“ครั้งแรกที่เอามาทำเป็นน้ำดอกซ้อ เราก็ลองผิดลองถูกนานมาก เพราะไม่มีใครเคยทำมาก่อน ก็เลยต้องศึกษาจากภูมิปัญญาบ้านเรา แล้วก็ลองคิดคิดได้อะไรขึ้นมา เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่คุณภาพ” นางสนองเล่าให้ฟัง ตั้งแต่นั้นมา ความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาได้นำมาซึ่งการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมาตรฐาน การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สื่อถึงเรื่องราว และการสร้างแบรนด์ที่สะท้อนตัวตนของชุมชน
การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ และคุณสมบัติที่ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพโลก
ชาดอกซ้อไม่ได้เป็นเพียงเครื่องดื่มทั่วไป แต่มีคุณสมบัติที่แตกต่างจากชาสมุนไพรอื่นในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายได้เสริมสร้างจุดเด่นของชาดอกซ้อในมิติทางวิทยาศาสตร์ นอกเหนือจากความหายากและมีกลิ่นเอกลักษณ์ ข้อค้นพบทางวิทยาศาสตร์ได้เผยให้เห็นความแตกต่างพื้นฐานของผลิตภัณฑ์นี้
ประการแรก คือกลิ่นและรสชาติเฉพาะตัว ชาดอกซ้อมีกลิ่นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เกิดจากกระบวนการหมักโดยธรรมชาติ (Fermentation) ซึ่งเกิดขึ้นอย่างทีเป็นธรรมชาติผ่านการตากแดด กลิ่นของมันจะหอมคล้าย “น้ำผึ้งป่า” และดอกไม้ ซึ่งเป็นกลิ่นที่ไม่พบได้ทั่วไปในชาสมุนไพรทั่วไป และมีรสหวานอ่อน ๆ ในตัวชาเอง ที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือกลิ่นอโรมา (Aroma) นี้ ผู้เชี่ยวชาญจากกรมป่าไม้ได้ตั้งข้อสังเกตว่า อาจเกี่ยวข้องกับผึ้งป่าที่ไปตอมต้นซ้อแล้วนำกลิ่นเนกตาร์มาสู่ดอกซ้อ เป็นเหตุให้ชาดอกซ้อมีลักษณะเฉพาะตัว
คุณสมบัติด้านสุขภาพที่โดดเด่น ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภิสรา กฤตาวาณิชย์ หัวหน้าโครงการนวัตกรรมการพัฒนาและเล่าเรื่องชาดอกซ้อตามแนวทางอาหารปลอดภัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ระบุว่า ชาชนิดนี้ไม่มีคาเฟอีน ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้คาเฟอีน เนื่องจากไม่กระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ความไม่มีคาเฟอีนนี้เองทำให้ชาดอกซ้อกลายเป็นตัวเลือกที่มีศักยภาพสูงสำหรับบุคคลที่ต้องการลดการบริโภคสารกระตุ้นระบบประสาท
นอกจากนั้น ชาดอกซ้อยังช่วยผ่อนคลายและส่งเสริมการหลับสบาย เนื่องจากไม่มีคาเฟอีน และมีกลิ่นอโรมาคล้ายดอกไม้ป่า นักโภชนาการจึงแนะนำว่า ชาชนิดนี้เหมาะสำหรับการดื่มก่อนนอน ชาดอกซ้อมีสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มที่เรียกว่า “ฟลาโวนอยด์” (Flavonoids) ซึ่งเป็นสารที่พบได้ในชาสมุนไพรทั่วไป แต่จากการส่งตรวจในห้องแล็บ พบว่าในปริมาณชา 500 กรัม มีสารฟลาโวนอยด์อยู่สูงถึงประมาณ 600 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงมากเมื่อเทียบกับชาสมุนไพรอื่นในตลาด สารกลุ่มนี้ช่วยลดไขมันในเลือด ต้านการเกิดอักเสบในร่างกาย
ความท้าทายในการผลิต และนวัตกรรมที่เปลี่ยนเกม
ความท้าทายหลักที่ขวางกั้นไม่ให้ชาดอกซ้อขยายตัวในตลาดคือ ข้อจำกัดด้านการเก็บวัตถุดิบและการรักษาคุณภาพ ดอกซ้อเป็นพืชพิเศษที่ออกดอกในช่วง ธันวาคมจนถึงเดือนเมษายน เท่านั้น ที่ยิ่งไปกว่านั้น ดอกซ้อที่เก็บมานั้นเน่าเสียง่ายมาก และต้องเก็บและนำเข้าสู่กระบวนการแปรรูป ภายใน 1 วัน มิฉะนั้นดอกจะเหี่ยวในตอนเย็น ซึ่งทำให้การผลิตมีข้อจำกัดด้านปริมาณและคุณภาพ
ไม่เพียงแต่เวลาการเก็บหรือระยะเวลาการรักษาความสด พื้นที่ปลูกดอกซ้อก็มีข้อจำกัด ต้นซ้อบางต้นใช้เวลาปลูกหลายปีกว่าจะเติบโตและออกดอกได้ การออกดอกเพียงปีละครั้งเท่านั้นนี้ ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ด้านการบริหารจัดการวัตถุดิบเพื่อให้สามารถจัดจำหน่ายได้ตลอดทั้งปี
เพื่อแก้ไขปัญหาด้านคุณภาพ ปริมาณ และความปลอดภัย ทีมวิจัยจึงนำ “ตู้ตากพลังงานแสงอาทิตย์” เข้ามาใช้ ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนเกมในการผลิตชาดอกซ้อ
ด้าน ผศ.กนกวรรณ ปลาศิลาและอาจารย์ธงชัย ลาหุนะ คณะสังคมศาสตร์ สาขาคหกรรมศาสตร์ คณะวิจัยผู้พัฒนาชาดอกซ้อตามแนวทางอาหารปลอดภัย อธิบายว่า หากตากแบบทั่วไปข้างนอก ต้องใช้เวลาประมาณ 3 วัน ซึ่งทำให้เกิดการหมัก (Fermentation) มากเกินไป และมีความเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อราและสิ่งปนเปื้อน เมื่อนำตู้ตากพลังงานแสงอาทิตย์เข้ามาใช้ ระยะเวลาการตากลดลงเหลือเพียง 1-2 วัน ซึ่งเป็นการเร่งให้ชาแห้งเร็วที่สุดโดยยังคงไว้ซึ่งคุณค่าของชา
นวัตกรรมนี้มีประโยชน์หลากหลาย ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มปริมาณการเก็บสต็อกให้จำหน่ายได้ตลอดปี แต่ยังช่วยรักษาคุณค่าทางโภชนาการ โดยเฉพาะกลิ่นต่างๆ ของชาดอกซ้อให้คงอยู่ และยังช่วยป้องกันความไม่ปลอดภัยที่อาจเกิดจากการตากภายนอก เช่น ฝุ่นละออง สัตว์ แมลง หรือเศษหญ้า ทำให้กระบวนการจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
มาตรฐาน GHP และกระบวนการผลิตที่เข้มงวด
เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าชาดอกซ้อมีกระบวนการผลิตที่ถูกสุขอนามัย ทางโครงการได้ให้ความรู้และส่งเสริมเรื่อง GHP (Good Hygiene Practice) หรือสุขลักษณะที่ดีในการผลิตอาหาร ซึ่งเป็นมาตรฐานการควบคุมคุณภาพอาหารรูปแบบหนึ่งที่รับรองโดยหน่วยงานสาธารณสุข
ผู้ช่วยศาสตราจารย์กนกวรรณ ปลาศิลา และอาจารย์ธงชัย ลาหุนะ จากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เป็นผู้นำร่องในการให้ความรู้เรื่องนี้ พวกเขาได้ยกตัวอย่างขั้นตอนสำคัญที่ได้เข้าไปปรับปรุงและควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อให้ชาดอกซ้อถูกผลิตตามมาตรฐานการอาหารปลอดภัย
ขั้นตอนแรก คือการคัดแยกเบื้องต้นและการทำความสะอาด เนื่องจากดอกซ้อร่วงลงพื้นก่อนจึงมีการเก็บ จึงมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อน ขั้นตอนแรกคือการคัดแยกดอกที่เสีย ดอกที่ไม่สมบูรณ์ หรือดอกที่มีการปนเปื้อนแมลงออกไปก่อน หลังจากนั้นต้องทำความสะอาดด้วยการล้างเพื่อขจัดฝุ่นละอองและเศษต่างๆ
ขั้นตอนที่สอง คือการควบคุมอุณหภูมิและการฆ่าเชื้อ การใช้ตู้ตากพลังงานแสงอาทิตย์ นอกจากจะช่วยให้ชาแห้งเร็วแล้ว ยังช่วยในการควบคุมอุณหภูมิและความร้อนจากแสงแดด เพื่อฆ่าเชื้อโรคบางชนิด เช่น เชื้อความชื้นและจุลินทรีย์ที่อยู่ในชา ซึ่งช่วยลดการเกิดเชื้อราและสิ่งปนเปื้อน
ขั้นตอนที่สาม คือการจัดการสินค้าคงคลังและการแปรรูปขั้นสุดท้าย มีการวางระบบ First in First Out (FIFO) ในการจัดเก็บ ก่อนการบรรจุลงถุงเล็กๆ ทางกลุ่มจะนำชามาผ่านกระบวนการทำความสะอาดอีกรอบ คือ การอบด้วยลมร้อน (Hot Air Oven) โดยใช้เตาอบขนาดเล็ก การอบด้วยเตาเล็กๆ มีเหตุผลสำคัญ คือ เพื่อป้องกันไม่ให้ชาดอกซ้อเสียความหอม หากอบปริมาณมากและทิ้งไว้นาน กลิ่นจะหายไป ขั้นตอนนี้เป็นการควบคุมคุณภาพขั้นสุดท้ายก่อนการแพ็ค
นอกจากนี้ ยังรวมถึงการควบคุมสุขอนามัยส่วนบุคคล เช่น การสวมเสื้อผ้า ใส่ถุงมือ และการแบ่งโซนการผลิตที่ชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนข้าม (Cross Contamination) ซึ่งอาจเกิดจากการสัมผัสของเชื้อจุลินทรีย์หรือสิ่งแปลกปลอม
ซึ่งเราได้วางแผนกระบวนการพัฒนาชาดอกซ้อให้ได้มาตรฐานความปลอดภัยและการควบคุมคุณภาพชาดอกซ้อ เพื่อเข้าสู่มาตราฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน(มผช) และการขอเลขสารบบขององค์การอาหารและยา(อย.) ในลำดับต่อไป
กลยุทธ์การเล่าเรื่องราว Storytelling และการสร้างแบรนด์
โครงการวิจัยไม่ได้มุ่งเน้นเพียงด้านวิทยาศาสตร์และการผลิตเท่านั้น แต่ยังใช้กลยุทธ์การ “เล่าเรื่อง” (Storytelling) เพื่อนำเสนออัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวไทลื้อบ้านหาดบ้ายผ่านผลิตภัณฑ์ชาดอกซ้อ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภิสรา กฤตาวาณิชย์ อธิบายว่า กลยุทธ์ในการสื่อสารเรื่องราวนี้คือการนำอัตลักษณ์ของบ้านหาดบ้ายมานำเสนอผ่านบรรจุภัณฑ์ โดยดึงเอาองค์ประกอบสำคัญของวิถีชีวิตไทลื้อมาใช้ในการออกแบบ
อย่างเช่น ผ้าทอไทลื้อบ้านหาดบ้าย มีความโดนเด่นด้านภูมิปัญญาหัตถกรรมการทอผ้า และยังเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรม ลวดลายต่างๆ สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เช่น ลายแมงปอ ลายตาไก่ ลายขอใหญ่ ลายขอเล็ก โดยเราได้นำผ้าทอไทลื้อมาสื่อสารผ่านการออกแบบบนบรรจุภัณฑ์เพื่อทำเป็นของที่ระลึก ซึ่งเป็นการส่งเสริมการนำวัสดุในชุมชนมาต่อยอด สร้างสรรค์เป็นบรรจุภัณฑ์ไม่เพียงเพิ่มมูลค่า แต่ยังกระจายรายได้สู่ชุมชนและส่งเสริม Soft Power ไทย
ตลาดชาโลกและไทย ในปี 2567 สะท้อนการเปลี่ยนจากวัตถุดิบสู่สินค้ามูลค่าเพิ่ม
ความสำเร็จนี้สอดคล้องกับพลวัตตลาดชาโลกและไทย ในปี 2567 การส่งออกชาดำหดตัว -3.0% ชาเขียว -7.3% แต่ผลิตภัณฑ์ชาแปรรูป (HS 210120) เติบโต +11.9% สะท้อนการเปลี่ยนจากวัตถุดิบสู่สินค้ามูลค่าเพิ่ม ประเทศไทยสวนทางโลก โดยส่งออกชาและผลิตภัณฑ์เติบโต +13.6% (70.2 ล้านเหรียญสหรัฐ) ชาเขียว +65.2% และใน 8 เดือนแรกปี 2568 เติบโต +21.4% (53.3 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในประเทศ ตลาดชาพร้อมดื่ม (RTD) มีมูลค่า 16,834.7 ล้านบาท (+6.8%) ชา Specialty ร้านใหม่ +205% ใน 3 ปี มัทฉะฟีเวอร์ ยอดสั่งซื้อ 5 ล้านแก้ว (+78%) ชาดอกซ้อจึงมีโอกาสเติมช่องว่าง โดยเฉพาะการนำเข้าผลิตภัณฑ์ชาแปรรูปที่เพิ่ม +13.4% (22.9 ล้านเหรียญสหรัฐ) ขณะที่การส่งออกกลุ่มนี้หด -2.5%
การต่อยอดไม่ได้หยุดแค่ชา ทีมวิจัยวางแผนขยายสู่ผลิตภัณฑ์อื่น เช่น คุกกี้ชาดอกซ้อ ขนมปังสังขยาชาดอกซ้อ น้ำพริกผั่วทรายชาดอกซ้อ และกัมมี่ชาดอกซ้อสำหรับเด็ก อาจารย์ธงชัย กล่าวว่า “จริงๆ ทำอยู่นะ ได้นำแนวคิดในโครงการวิจัยครั้งนี้ เอาไปเป็นโปรเจ็กต์ให้กับนักศึกษา แล้วก็ได้มีการทดลองทำ ก็คือเป็นอาหารเป็นขนม จะมีขนมที่เกี่ยวกับเบเกอรี่ อย่างเช่น คุกกี้ชาดอกซ้อ ขนมปังชาดอกซ้อ ขนมปังสังขยาชาดอกซ้อ อันนี้ก็จะเป็นอีกทางเลือกที่เป็นแบบสมัยใหม่หน่อยก็คือเป็นอาหารแบบเบเกอรี่ น้ำพริกผั่วทราย ชามะนาวชาดอกซ้อน้ำชามะนาวจะเป็นแบบทานเย็นหรือร้อน อีกอันหนึ่งก็คือจะมีกัมมี่ชาดอกซ้อ ก็คือใช้ประโยชน์ที่เป็นตัวของมันด้วย ซึ่งมันก็บาง เด็กมันไม่ชอบกินเรื่องของผักแล้วก็เอาตัวใยอาหารที่มันอยู่ในดอกซ้อเอามาทำเป็นกัมมี่ มันก็เด็กมันก็กินได้ เพราะถ้าเป็นชาปกติทั่วไปเด็กมันไม่ค่อยกินกัน มันก็สามารถตอบโจทย์ให้กับเด็กได้ด้วย” การขยายเครือข่ายรับซื้อดอกซ้อจากชุมชนใกล้เคียงยังกระจายรายได้ ส่งเสริมการปลูกต้นซ้อซึ่งเป็นไม้ยืนต้น ช่วยสร้างพื้นที่สีเขียวและความยั่งยืน
เอกลักษณ์ ดอกซ้อ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำผึ้ง
นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย กล่าวถึงจุดเปลี่ยนว่า “ตอนแรกที่เอามาทำเป็นดอกซ้อก็คือเอามาทำผ่านกระบวนการการแห้งเอาตากแห้งทำความสะอาดล้างตากแห้งอะไรต่างๆ พอเรามาทำเป็นน้ำดอกซ้อแรกๆ ก็มีหลายที่ก็ เอ๊ะ ทำไมชั้นก็ไม่เคยเห็น เหมือนเหมือนตอนนั้นว่าทำไมดอกซ้อมาทำเป็นน้ำดื่มได้เหรอ คือคนในพื้นที่เขาจะมองว่ามันมันไม่น่า แต่พอเราลองเอามาทำ เออก็กลายเป็น มันได้ผลตอบรับที่น่าภูมิใจ ก็คือนักท่องเที่ยวที่มา เขาบอกว่า เอ๊ะ ชิมแล้วมันแปลก แล้วก็มันกลิ่นหอมของดอกซ้อ มันเป็นเอกลักษณ์ ชงมันจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำผึ้ง จุดเปลี่ยนอย่างหนึ่งที่สำคัญมากก็คือ เมื่อมีหน่วยงานทางมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายเข้ามาสนับสนุนในเรื่องของการให้ความรู้ในเรื่องของชาดอกซ้อ โดยมีโครงการวิจัย ซึ่งตอนนั้นเราก็คิดอยู่เหมือนกันว่ามันจะได้ไหม เพราะหนึ่งเรายังไม่ได้มีมาตรฐานอะไรรับรองตอนนั้นตอนที่ทำใหม่ๆ เราทำเป็นแค่น้ำดอกซ้อเฉยๆ แต่พอเราทำไปทำมากลายเป็นว่าผลตอบรับที่เราได้จากนักท่องเที่ยว แล้วผู้คนที่มาเที่ยวบ้านเรา ลองชิมแล้วก็มาลองเราลองเอามาต้อนรับนักท่องเที่ยว กลายเป็นว่ามันเป็นผลตอบรับที่น่าภูมิใจ แล้วก็พอมีทางมหาวิทยาลัยเข้ามาสนับสนุนให้เรามั่นใจมากขึ้นในตัวผลิตภัณฑ์”
สำหรับการผลักดันให้ชาดอกซ้อเป็น “ของดีที่ต้องแวะชิม” นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย กล่าวว่า “การที่เราแนะนำนำเสนอในส่วนของดอกซ้อตัวผลิตภัณฑ์ของดอกซ้อเองก็คือหนึ่งอันดับแรกก็คือการทำขนมแน่นอนอยู่แล้ว อันนี้เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิม มรดกที่บรรพบุรุษเขามอบให้เรามาเรามาสานต่อในเรื่องของการนำเสนอ ให้ให้แขกผู้มาเยือนได้ลองชิมทำขนมบ้างทำน้ำบ้าง ซึ่งเราจะใช้ในการต้อนรับแขกนักท่องเที่ยวที่มาจัดเบรกบ้าง ให้ต้อนรับทำเป็นนะคะ อันนี้ก็คือหลังจากที่เราทำท่องเที่ยวก็กลายเป็นว่าทำให้ดอกซ้อกลายเป็นมีชื่อเสียงขึ้นมา และก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าต่อไปในอนาคต ดอกซ้อจะสามารถทำอะไรได้หลายอย่างมากกว่านี้โดยเฉพาะทางมหาวิทยาลัยตอนนี้เริ่มเอา คิดค้นในเรื่องเมนูต่างๆ ขนม จากในไม่ว่าขนมแบบโบราณ หรือว่าขนมที่สากลแบบขนมแบบเค้กทำกัมมี่อะไรพวกนั้นเยอะแยะขึ้นไป อันนี้ก็จะเป็นแล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือ เราอยากเราเราทำให้เราให้นักท่องเที่ยวมาทำกิจกรรมเกี่ยวกับดอกซ้อด้วยเกี่ยวกับเรื่องอาหาร”
ผสานภูมิปัญญา วิทยาศาสตร์ และตลาด เพื่อยกระดับสินค้าเกษตรไทย
ในบทสรุป ชาดอกซ้อบ้านหาดบ้ายเป็นตัวอย่างชัดเจนของการผสานภูมิปัญญา วิทยาศาสตร์ และตลาด เพื่อยกระดับสินค้าเกษตรไทย ท่ามกลางตลาดชาโลกที่กำลังเปลี่ยนสู่ Functional Teas รัฐบาลควรสนับสนุนนโยบายการลงทุนในเทคโนโลยีแปรรูป เพื่อลดการพึ่งพานำเข้าและขยายส่งออก HS 210120 ซึ่งเติบโต +11.9% ชาดอกซ้อไม่ใช่แค่เครื่องดื่ม แต่เป็นสะพานเชื่อมวัฒนธรรมไทลื้อสู่โลก หากรัฐและชุมชนเดินหน้าต่อยอด ศักยภาพนี้จะสร้างรายได้ยั่งยืนและกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนได้อย่างมหาศาล คิดดูสิว่า พืชหายากปีละครั้งจะเปลี่ยนชีวิตชุมชนได้อย่างไร หากได้รับการสนับสนุนที่ถูกต้อง
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.