อบจ.เชียงรายเร่งซ่อม “คันอ่างเก็บน้ำห้วยสัก” หลังเสียหาย เดินเครื่องนโยบาย “กระจายเครื่องจักรกลสู่ชุมชน” บรรเทาความเดือดร้อนเกษตรกร–ชาวบ้าน ต่อยอดสู่แผนฟื้นฟูเชิงระบบก่อนฤดูแล้ง

เชียงราย, 14 ตุลาคม 2568 — เช้าวันอังคารที่ตำบลท่าสุด อำเภอเมืองเชียงราย จุดรวมสายตาคือ “คันอ่างเก็บน้ำห้วยสัก” ที่ เกิดการขาดและชำรุดบางส่วน จนถูกประกาศให้เป็นพื้นที่เร่งซ่อมทันที หลังองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย รับรายงานสถานการณ์และสั่งการลงพื้นที่ สำรวจ–ประเมิน–แก้ไข แบบ “บูรณาการหน่วยงาน” ตามนโยบาย “7 เรือธง” โดยย้ำหัวใจข้อที่ 1 คือ กระจายเครื่องจักรกลและบุคลากรสู่ชุมชน” เพื่อให้ความช่วยเหลือถึงมือประชาชนอย่างรวดเร็วและตรงจุด

ภาพแรกที่เห็นไม่ใช่เพียงร่องดินแตกร้าวของคันอ่าง หากคือเงาสะท้อนของ “ระบบน้ำ” ที่หล่อเลี้ยง นาข้าว แปลงพืชผักสวนครัว และน้ำอุปโภคบริโภค ของครัวเรือนใกล้เคียง ซึ่งถ้าการชำรุดลุกลามหรือซ่อมล่าช้า อาจกลายเป็น ความเสี่ยงซ้อน ต่อความมั่นคงน้ำในช่วง ปลายฤดูฝน–ต้นฤดูแล้ง ที่กำลังมาถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 “คันอ่างขาด–ชำรุด” และแรงกระทบเชิงพื้นที่

ข้อเท็จจริงจากภาคสนาม ระบุว่า คันอ่างเก็บน้ำห้วยสักเกิดการขาดและชำรุดบางส่วน ส่งผลกระทบต่อการกักเก็บและส่งน้ำสำหรับ พื้นที่การเกษตร รอบอ่าง รวมถึง น้ำเพื่ออุปโภคบริโภค ของชุมชนใกล้เคียง เหตุการณ์นี้ถูกประเมินให้เป็น ภารกิจเร่งด่วน ด้วยเหตุผลสำคัญ 3 ประการ

  1. ลดความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง ถ้ารอยขาด–ชำรุดขยายตัว อาจกระทบเสถียรภาพคันอ่างเป็นวงกว้างขึ้น
  2. ป้องกันการสูญเสียน้ำ ฐานสำคัญต่อฤดูกาลเพาะปลูกถัดไป แม้การรั่วซึมเพียงบางส่วนก็ทำให้เกิดการสูญเสียเชิงปริมาณในระยะยาว
  3. คุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานด้านน้ำ น้ำสะอาดสำหรับครัวเรือนคือบริการสาธารณะ ที่รัฐท้องถิ่นต้องประกันความต่อเนื่อง

ความเสียหายครั้งนี้จึงไม่ใช่ “งานโครงสร้างธรรมดา” แต่คือ “งานคุ้มครองความเป็นอยู่” ของประชาชนแบบเป็นรูปธรรม

สั่งการฉับไว ปฏิบัติการ “กระจายเครื่องจักรกล–บุคลากร” ลงพื้นที่จริง

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้ นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ.เชียงราย นำคณะปฏิบัติการลงพื้นที่ร่วมกับ สำนักช่าง อบจ.เชียงราย, สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย), ผู้บริหารเทศบาลตำบลท่าสุด, ผู้นำท้องที่–ท้องถิ่น และ ตัวแทนประชาชน เพื่อสำรวจจุดชำรุด กำหนดแนวทางแก้ไข และ นำเครื่องจักรกลหนักเข้าพื้นที่ทันที ยืนยันเจตนารมณ์ อยู่เคียงข้างประชาชนในทุกสถานการณ์” โดยเน้น 4 ยุทธวิธีภาคสนามที่ทำคู่ขนานกันอย่างเป็นระบบ

  1. ปักหมุดจุดวิกฤต (Critical Points) ระบุแนวคันอ่างที่เสียหาย จุดเริ่ม–จุดสิ้นสุด ระดับความลึก–ความกว้างของรอยขาด และความเสี่ยงต่อโครงสร้างข้างเคียง
  2. เสริมเสถียรภาพชั่วคราว (Temporary Stabilization) วาง บิ๊กแบ็ก–ดินถมคัดขนาด–หินคลุก ลดแรงน้ำและยึดขอบคันไม่ให้ขยายวง
  3. เชื่อมต่อการใช้งาน (Functional Reconnection) เมื่อคันอ่างกลับมามีเสถียรภาพเบื้องต้น เร่งจัดการ จุดส่งน้ำหลัก ให้สามารถทำงานต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบต่อเกษตรกร
  4. วางแผนซ่อมถาวร (Permanent Repair Plan) เก็บข้อมูลธรณี–อุทกวิทยาหน้างาน เพื่อนำไปออกแบบ คันอ่างเสริม–ระบบระบายน้ำดาดคอนกรีต–ชั้นกรอง ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่

แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับ นโยบาย “7 เรือธง อบจ.เชียงราย” โดยเฉพาะ เรือธงที่ 1 “กระจายเครื่องจักรกลและบุคลากรสู่ชุมชน” ที่มุ่งให้ทีมเครื่องจักร–ช่างเทคนิคของ อบจ. เข้าถึงจุดวิกฤตเร็ว–แก้ปัญหาได้ตรงจุด–และลดเวลาหยุดชะงักของบริการสาธารณะ ในพื้นที่จริง

เหตุใด “ความเร็ว” จึงสำคัญในงานซ่อมคันอ่าง

หนึ่งวันที่ล่าช้า อาจเท่ากับ ปริมาณน้ำที่สูญเสีย หลายหมื่น–แสนลูกบาศก์เมตร ขึ้นกับขนาดรอยรั่วและสภาพภูมิประเทศ ยิ่งในช่วงรอยต่อฤดูกาล ปลายฝน–ต้นแล้ง น้ำทุกลูกบาศก์เมตรมีค่าต่อการเพาะปลูกและการใช้น้ำในครัวเรือน การยื้อเวลาให้ระบบกลับมาทำงาน เร็วที่สุดเท่าที่ปลอดภัย จึงเป็นตัวชี้วัด “ประสิทธิภาพเชิงนโยบาย” อย่างแท้จริง

นอกจากนั้น ความเร็ว ยังมีนัยต่อ ความเชื่อมั่นของประชาชน ยิ่งเมื่อชาวบ้าน “เห็น–ได้ยิน–สัมผัสได้” ว่ามีเครื่องจักรและคนของรัฐท้องถิ่นเข้ามาอยู่หน้างานอย่างจริงจัง ความกังวลย่อมลดลง และการมีส่วนร่วมของชุมชนในการเฝ้าระวัง–แจ้งเตือน–สนับสนุนการทำงานก็จะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ

แจกบท–จับมือ–ทำงานคนละส่วน ลดซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพ

การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ได้มีแต่เครื่องจักรและช่างเทคนิคของ อบจ. หากยังมี สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย) ที่ช่วยประสานข้อจำกัดด้านพื้นที่ป่าและแนวเขต, เทศบาลตำบลท่าสุด ที่สนับสนุนด้านการสื่อสารกับชุมชนและการจัดระเบียบพื้นที่ปฏิบัติการ, ขณะที่ ผู้นำท้องที่–ตัวแทนประชาชน เติมข้อมูลประวัติระดับน้ำ–ทิศทางไหล–พฤติการณ์น้ำหลากในอดีต ซึ่งช่วยให้การวิเคราะห์หน้างาน แม่นยำกว่าอ่านแผนที่ และลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจโดยอิงแบบจำลองอย่างเดียว

รูปแบบการทำงานเช่นนี้สะท้อน ธรรมาภิบาลเชิงปฏิบัติ ทุกหน่วย มีบท–มีข้อมูล–มีอำนาจตัดสินใจเท่าที่จำเป็น เพื่อให้การแก้ปัญหาเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุดกับขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน

จากฉุกเฉินสู่ยั่งยืน แผนซ่อมถาวรและยกระดับ “ความแกร่ง” ของคันอ่าง

แม้การเสริมชั่วคราวจะคืนฟังก์ชันอ่างเก็บน้ำได้ในระดับหนึ่ง แต่ ซ่อมถาวร คือเป้าหมายที่ต้องเดินหน้าโดยเร็ว แกนหลักของงานระยะกลาง–ยาว มีอย่างน้อย 5 ประเด็น

  1. ตรวจโครงสร้างอย่างละเอียด (Detailed Inspection)
    สำรวจชั้นดิน–ชั้นกรวด–ค่าสัมประสิทธิ์การซึมผ่าน (Permeability) และพฤติกรรมฐานรากของคันอ่าง เพื่อออกแบบการซ่อมให้เหมาะสม ไม่ “ซ่อมเฉพาะหน้า” จนปัญหากลับมา
  2. ออกแบบระบบระบายน้ำ (Drainage & Relief)
    ติดตั้งท่อระบายน้ำ (Toe Drain)–ชั้นกรอง (Filter)–หินเรียง (Riprap) เพื่อป้องกัน Piping และการพังทลายจากแรงน้ำและฝนหนักในอนาคต
  3. เสริมคันอ่าง–ผิวดาด (Slope Protection)
    เลือกวัสดุและมุมลาดที่เหมาะกับสภาพฝน–ดินของพื้นที่ บางช่วงอาจใช้ ดาดคอนกรีต/หินเรียง ลดการกัดเซาะ โดยไม่ขัดกับระบอบนิเวศท้องถิ่น
  4. อุปกรณ์ตรวจ–เตือน (Monitoring & Early Warning)
    ติดตั้ง Staff Gauge (ไม้เกาะระดับน้ำ)–จุดสังเกตรอยร้าว–กล้องวงจร–เซนเซอร์น้ำฝนในพื้นที่ชุมชน เพื่อให้ ตาชาวบ้าน” กับ ตาเทคโนโลยี” ทำงานร่วมกัน
  5. คู่มือบำรุงรักษา (O&M Manual)
    ทำตารางตรวจรอบเดือน/ไตรมาส/ก่อน–หลังฤดูฝน พร้อมแบบฟอร์มรายงานที่ลดภาระเอกสาร แต่ส่งสัญญาณไปถึงผู้เกี่ยวข้อง เร็ว–ครบ–ตรวจสอบย้อนกลับได้

แนวทางดังกล่าวจะเปลี่ยน “งานซ่อมครั้งนี้” ให้เป็น “มาตรฐานใหม่” ของการดูแลอ่างเก็บน้ำระดับชุมชนในจังหวัดเชียงราย

มุมเกษตรกร–ชุมชน ทำไม “น้ำ” คือเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจฐานราก

สำหรับเกษตรกรในตำบลท่าสุดและพื้นที่ใกล้เคียง อ่างเก็บน้ำห้วยสักไม่เพียงช่วยให้ ฤดูกาลเพาะปลูกเดินต่อได้ หากยังเป็นหลักประกันต่อ รายได้สม่ำเสมอ ของครัวเรือน ทั้งข้าวและพืชผักสวนครัว รวมถึงปศุสัตว์บางส่วนที่ต้องการน้ำประปากลางจากแหล่งต้นทางที่มั่นคง

เมื่อคันอ่างชำรุด การชะลอส่งน้ำแม้เพียง 1–2 สัปดาห์ อาจแปลเป็น ค่าเสียโอกาส ที่เพิ่มสูงในช่วงรอยต่อฤดู ยิ่งหากเกิด คลื่นความร้อน–ฝนทิ้งช่วง ในปีหน้า การมีน้ำสำรองที่เพียงพอจะลดความเสี่ยงของ ผลผลิตเสียหาย ที่มักเกิดแบบรวดเร็วและยากต่อการเยียวยาทีหลัง

ความเคลื่อนไหวของ อบจ.เชียงราย ที่ ลงมือทันที” จึงไม่ใช่เพียงภาพลักษณ์ของรัฐท้องถิ่นที่คล่องตัว แต่เป็น กันชนทางเศรษฐกิจ ให้ครัวเรือนฐานรากในทางปฏิบัติ

เปิดข้อมูล–เปิดหน้างาน–เปิดการมีส่วนร่วม

วิกฤตโครงสร้างสาธารณะบอกเราว่า ข้อมูลที่ดี” สร้าง พลังร่วม” ได้มากแค่ไหน อบจ.เชียงรายสามารถต่อยอดการลงพื้นที่ครั้งนี้ ด้วยการสื่อสารเชิงรุก 3 ระดับ

  • หน้างาน ป้ายข้อมูลสั้น ๆ ณ จุดซ่อม ระบุ “อะไร–ทำไม–ทำอย่างไร–เสร็จเมื่อใด” เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เข้าใจภาพรวม
  • ออนไลน์ อัปเดตความคืบหน้าเป็นช่วง ๆ ผ่านช่องทางทางการของ อบจ., เทศบาลตำบลท่าสุด และเครือข่ายชุมชน เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียติดตามความคืบหน้าได้
  • เวทีชุมชน เมื่อเข้าสู่ระยะออกแบบซ่อมถาวร จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นเรื่องแนวทาง–ผลกระทบ–มาตรการป้องกันฝุ่น–เสียง–เวลาเข้าพื้นที่ของเครื่องจักร เพื่อให้ชาวบ้านร่วมกำหนดเงื่อนไขการทำงาน

การ “เปิดข้อมูล” จะช่วยลดข่าวลือ–ข้อกังวล และเปลี่ยนชาวบ้านจาก “ผู้รับผล” เป็น “หุ้นส่วน” ของงานซ่อม

สิ่งที่ประชาชนทำได้ทันที เฝ้าระวัง–แจ้งเหตุ–ร่วมดูแล

  1. แจ้งเหตุผิดปกติ เช่น น้ำขุ่นจัด–ตลิ่งกัดเซาะ–เสียงน้ำไหลผิดธรรมชาติ ผ่านช่องทางของ อบจ. หรือเทศบาลตำบลท่าสุด
  2. เว้นระยะปลอดภัย ขณะเครื่องจักรทำงาน ไม่ลงเล่นน้ำ–ไม่จอดรถกีดขวางแนวขนส่งวัสดุ
  3. รณรงค์ขยะต้นทาง หลีกเลี่ยงทิ้งขยะลงลำห้วย–คูน้ำ เพราะจะอุดตันท่อระบาย–รางน้ำ และซ้ำเติมรอยชำรุด

เครือข่ายภาคประชาชนที่เข้มแข็ง คือ ด่านหน้า” ของการดูแลโครงสร้างพื้นฐานน้ำให้คงประสิทธิภาพหลังการซ่อม

เชื่อมโยงนโยบาย “7 เรือธง อบจ.เชียงราย” ในมิติความมั่นคงน้ำชุมชน

แม้ในรายละเอียด “7 เรือธง” ครอบคลุมหลายด้านของการพัฒนาจังหวัด แต่กรณี อ่างเก็บน้ำห้วยสัก ทำให้เห็นภาพชัดเจนของเรือธงที่ 1 ว่า กระจายเครื่องจักรกล–บุคลากร” ไม่ใช่สโลแกน หากเป็น ความสามารถเชิงปฏิบัติการ ที่ย่นระยะจาก “รับเรื่อง” ไปสู่ “ลงมือ” ให้สั้นที่สุด

เมื่อนโยบายระดับองค์รวม แตะพื้นดิน กลายเป็นรถแบ็กโฮ–รถบรรทุก–ทีมสำรวจ–ทีมสื่อสาร และ คู่มือความปลอดภัยหน้างาน ความคาดหวังของสังคมก็จะเปลี่ยนจากคำถามว่า “จะทำไหม” ไปเป็น “ทำอย่างไรให้เร็ว–ปลอดภัย–ยั่งยืน” ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ท้องถิ่นยุคใหม่ต้องไปให้ถึง

จาก “จุดซ่อม” สู่ “แผนจัดการเขตอ่าง” (Basin-Level Thinking)

การซ่อมคันอ่างครั้งนี้ควรถูกใช้เป็น จุดเริ่มต้น ของการมองพื้นที่น้ำแบบ ทั้งระบบ” ได้แก่

  • แผนที่เสี่ยง (Risk Map) ระบุแนวคัน–จุดอ่อน–ทางน้ำล้น–แหล่งตะกอน เพื่อกำหนดลำดับการลงทุนซ่อมบำรุงในอนาคต
  • ดัชนีเตือนภัย (Early Indicators) กำหนดเกณฑ์สีเขียว–เหลือง–แดง สำหรับระดับน้ำ–อัตราการซึม–รอยร้าว เพื่อให้ทีมงานและชุมชน พูดภาษาเดียวกัน
  • ปฏิทินงาน (Seasonal Calendar) ผูกตารางตรวจ–ซ่อม–ลอกตะกอน เข้ากับฤดูกาลฝน–แล้ง และรอบเพาะปลูก เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบซ้ำซ้อน
  • งบประมาณร่วม วางแบบจำลองค่าใช้จ่าย O&M รายปี พร้อม กองทุนชุมชน สมทบเพื่อการดูแลระยะยาว

เมื่อวาง “ภาษา–เครื่องมือ–งบประมาณ” ครบชุด การบำรุงรักษาอ่างเก็บน้ำจะไม่เป็นงานปะทุเฉพาะหน้าอีกต่อไป แต่เป็น ระบบประจำปี ที่เดินได้ด้วยตัวเอง

วิกฤตคือ “แบบฝึกหัด” ของรัฐท้องถิ่นที่ขยัน–คล่องตัว

คันอ่างเก็บน้ำห้วยสักชำรุด ทำให้เห็น ความจำเป็น ของความเร็ว–ความแม่น–ความร่วมมือ ในการจัดการโครงสร้างสาธารณะระดับฐานราก อบจ.เชียงราย ตอบสนองด้วยการ กระจายเครื่องจักรกล–บุคลากรสู่ชุมชน” ตามเรือธงข้อที่ 1 อย่างเป็นรูปธรรม พร้อม บูรณาการหน่วยงาน และวางทางไปสู่การ ซ่อมถาวร–ยกระดับมาตรฐานดูแลน้ำ ในระยะยาว

วิกฤตครั้งนี้จะยุติลงอย่างมั่นคง เมื่อเราเปลี่ยนจากคำถามว่า “ซ่อมเสร็จหรือยัง” เป็น “หลังซ่อมแล้วจะ ดูแลอย่างไร ให้ไม่เกิดซ้ำ—และให้ระบบน้ำแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม” คำตอบมีอยู่แล้วในหน้างานวันนี้ ความร่วมมือ คือคำใบ้แรก และ การจัดการเชิงระบบ คือคำตอบสุดท้าย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย)
  • เทศบาลตำบลท่าสุด อำเภอเมืองเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News