ทช.เร่งทางลอด “แยกศูนย์ราชการ เชียงราย” คืบหน้า 26% เดินหน้าคุมงาน-ระบายน้ำ-จัดจราจร หวังแก้คอขวดหน้าสนามบิน หนุนเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยว คาดจบปี 2570

เชียงราย, 21 กันยายน 2568 — เมื่อเช้าวันที่สายหมอกยังเกาะปลายเขา “แยกศูนย์ราชการ” บนถนนทางหลวงชนบทสาย ชร.1023 ดูไม่เหมือนสี่แยกธรรมดาอีกต่อไป พื้นที่ก่อสร้างลึกลงไปใต้ระดับผิวถนน กำแพงดินพยุงด้วยเสาเข็มเรียงตัวเป็นแนว ทางเบี่ยงชั่วคราวพาดผ่าน ชี้ให้เห็นว่าความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าอุโมงค์ทางลอด 4 ช่องจราจร ความยาวกว่า 425 เมตร กำลังคืบไปสู่เส้นชัยร้อยละ 26 ตามแผนของกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ที่ตั้งธงไว้ว่าจะ “ปิดจ๊อบ” ให้ทันปี 2570 เพื่อปลดล็อกปัญหาคอขวดบริเวณหน้าท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เชื่อมเมือง–สนามบิน–ศูนย์ราชการ ให้ลื่นไหลในจังหวะเดียวกัน

ภาพการลงพื้นที่ตรวจงานของผู้บริหาร ทช. นำโดย นายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท สะท้อนน้ำหนักของ “สามคำ” ที่ถูกย้ำซ้ำระหว่างการประชุมเคลื่อนที่ ความปลอดภัยระบายน้ำจัดจราจร เพราะถ้าพลาดแม้ข้อเดียว ความเชื่อมั่นของประชาชนและประสิทธิภาพเมืองทั้งเมืองอาจสะดุดทันที โครงการนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงอุโมงค์ขุดลอด แต่คือเส้นเลือดใหญ่ที่จะเปลี่ยน “จังหวะการเต้นของหัวใจเมืองเชียงราย” ให้สอดรับกับอนาคตการเติบโตด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

โครงสร้าง–ขอบเขตงาน อุโมงค์ 4 ช่องจราจร + สะพานแม่น้ำกก + ปรับถนนรวม 1.635 กม.

สาระของโครงการถูกออกแบบให้แก้ปัญหาที่จุดปะทะหลักของการจราจรอย่างตรงจุดสร้าง อุโมงค์ทางลอดขนาด 4 ช่องจราจร ไป–กลับ ความยาวประมาณ 425.50 เมตร ลอดใต้แยก พร้อมยกระดับ “หัว–ท้าย” ของระบบให้สอดรับกัน ตั้งแต่งาน ปรับปรุง–ขยายสะพานข้ามแม่น้ำกก ให้มีช่องจราจรกว้างขึ้นตลอดช่วงยาว 410 เมตร ตลอดจน ปรับปรุงผิวทาง–ไฟฟ้าแสงสว่าง–งานสาธารณูปโภค ครอบคลุม ระยะทางรวม 1.635 กิโลเมตร เพื่อให้ทั้งทางตรง ทางเชื่อม และพื้นที่เชิงระบบทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพหลังเปิดใช้จริง

แม้ในวันลงพื้นที่ (21 ก.ย. 2568) ความคืบหน้าอยู่ที่ ร้อยละ 26 แต่เส้นทางปฏิบัติการข้างหน้าถูกวางไว้ละเอียด ก่อสร้างโครงสร้างหลักอุโมงค์ คู่ขนานกับงานปรับสะพานและระบบระบายน้ำ พร้อมแบบแผนจราจรทางเบี่ยงที่ต้อง “ขยับ–เลื่อน–เปิด–ปิด” เป็นรายช่วง โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ ไม่ให้ผลกระทบสะสมจนเกิด “จุดตันใหม่” แทนที่ “จุดตันเดิม” ในสายตาประชาชน

3 โฟกัสของอธิบดี ปลอดภัย–น้ำไม่ท่วม–รถต้องไหล

ความปลอดภัยหน้างาน
อธิบดีมนตรีกำชับเรื่องมาตรการความปลอดภัยทั้งของแรงงานและผู้ใช้ทาง ตั้งแต่รั้วกั้น พื้นที่เสี่ยง การติดตั้งสัญญาณเตือน การตรวจสอบเครื่องจักร–อุปกรณ์ ไปจนถึงการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉิน เพราะพื้นที่ก่อสร้างแบบ “ลึก–แคบ–ยาว” อย่างทางลอดมีความเสี่ยงเชิงโครงสร้างสูง ต้องทำงานตามบล็อกงานและวิศวกรรมควบคุมอย่างเคร่งครัด

การบริหารจัดการน้ำ
เชียงรายเข้าสู่ฤดูฝน ระบบระบายน้ำจึงเป็น “เส้นป้องกันด่านหน้า” ไม่ให้ไซต์งานกลายเป็นแหล่งน้ำท่วมขัง อธิบดีจึงสั่งการให้ติดตั้งบ่อพัก–ท่อชั่วคราว–ปั๊มน้ำสำรอง และจัดแผนระบายน้ำขณะฝนตกหนัก ตรวจสอบทางน้ำเดิม–ทางน้ำใหม่ และเชื่อมต่อกับท่อเมนของเทศบาลอย่างต่อเนื่อง เพื่อเลี่ยง “น้ำปิดจราจร” และ “น้ำพัดพังดินเข็ม”

การจัดการจราจรระหว่างก่อสร้าง
จราจรหน้าแยกศูนย์ราชการไม่ใช่ “รถท้องถิ่น” เท่านั้น แต่รวมถึงผู้โดยสารสนามบิน–รถรับส่ง–ขนส่งสินค้า–รถราชการ–นักท่องเที่ยว แผนจราจรจึงต้อง “เหมาะติดเวลาจริง” มีป้ายชี้นำชัด, ไฟสัญญาณชั่วคราว, เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกช่วงพีก, และสื่อสารล่วงหน้าทุกครั้งที่เปลี่ยนรูปแบบการเดินรถ

สามองค์ประกอบนี้จากคำสั่งหน้างานสอดคล้องกับแนวทางที่ ทช. แถลงไว้ในเอกสารข่าวและการประชุมระดมความพร้อมตั้งแต่ช่วง Kick-off โครงการ ซึ่งย้ำมาตรฐานงานทาง-ความปลอดภัย-และแผนรองรับผลกระทบต่อผู้ใช้ทางเป็นพิเศษในพื้นที่เมืองที่มีสนามบินอยู่ติดแนวโครงข่ายหลัก

จุดตันหนึ่งจุด = เวลาหมื่นชั่วโมง” ทำไมแยกนี้ต้องลอด

ถ้าเฉลี่ยความล่าช้า 5–10 นาที/เที่ยว หน้าสนามบินที่มีไฟลท์บินกระจายทั้งวัน “เวลาที่สูญเสีย” ของผู้โดยสาร–รถรับส่ง–ประชาชน–ภาคธุรกิจ อาจรวมกันเป็น “หมื่นชั่วโมง” ต่อเดือน ยิ่งในช่วงเร่งด่วน เช้า–เย็น–ก่อน/หลังไฟลท์ การรอคอยที่แยกเดียวไป “กัก” แกนเวลาเมืองทั้งแกน

การแก้ด้วย “อุโมงค์ลอด” จึงตอบโจทย์เชิงวิศวกรรมเมือง ลดจุดตัดสัญญาณไฟ, แยกทิศทางหลัก–รอง, รักษาความเร็วเฉลี่ยของกระแสหลักให้คงที่ และเปิดพื้นที่ผิวดินด้านบนให้เป็นทางเชื่อมเสริม–เลี้ยวขวา–วนกลับทั้งหมดนี้เพื่อ “ย้ายความซับซ้อนลงใต้ดิน” แล้วปล่อยผิวทางให้ทำงานแบบเรียบง่ายที่สุด

เชื่อมสนามบิน–ศูนย์ราชการ–ย่านเมือง โครงสร้างเดียว กระทบทั้งระบบ

เมื่ออุโมงค์เสร็จ ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นอย่างน้อย 4 ด้าน

  1. สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เวลาการเข้าถึงสนามบิน “คาดการณ์ได้” มากขึ้น (predictable travel time) ลดความเสี่ยงตกเครื่อง, ลดเวลาสำรองของรถรับส่ง, เอื้อต่อการจัดตารางเที่ยวบิน–งานภาคพื้นดิน
  2. ศูนย์ราชการ–สถานศึกษา–แหล่งท่องเที่ยว ลดเวลารถติดหน้าแยก ทำให้บริการรัฐ–เอกชนเดินหน้าตามเวลามากขึ้น
  3. โลจิสติกส์เมือง รถขนส่งระยะสั้น–รถบริการสาธารณะ “หมุนรอบได้ถี่ขึ้น” ต้นทุนคงที่ต่อเที่ยวลดลง
  4. ความน่าอยู่ของเมือง จราจรที่ลื่นไหลขึ้นหมายถึงมลพิษ–เสียง–ฝุ่นจากรถชะลอ–เร่ง–หยุด ลดลง เป็นผลทางคุณภาพชีวิตที่จับต้องได้

มิติผลลัพธ์เหล่านี้ถูกหยิบย้ำในสื่อสารของ ทช. และสื่อกระแสหลักที่รายงานความคืบหน้าว่า โครงการนี้ตั้งใจ “แก้คอขวดหน้า ‘แม่ฟ้าหลวง’ กับสถานที่ราชการใกล้เคียง” อย่างตรงจุด ควบคู่กับยกระดับมาตรฐานทางเพื่อเชื่อมโครงข่ายคมนาคมทั้งเมืองให้เป็นภาพเดียวกัน

ไทม์ไลน์–งบประมาณ เดินเกมให้ทันปี 2570

จากข้อมูลการประชุม Kick-off ช่วงต้นปี 2568–2569 และการสื่อสารล่าสุดของ ทช. โครงการเดินตามเส้นเวลาหลัก คือ เดินงานโครงสร้างอุโมงค์–งานสะพานคู่ขนานกัน แล้วไล่ปิดงานระบบ–ผิวจราจร เพื่อเปิดใช้อย่างเต็มรูปแบบ ภายในปี 2570 โดยมีกรอบงบประมาณโครงการที่ผ่านการพิจารณาไว้แล้ว (สื่อบางฉบับอ้างตัวเลขวงเงินราว 849 ล้านบาท) ทั้งนี้รายละเอียดงบประมาณ/งวดงานอยู่ภายใต้สัญญาและการกำกับติดตามของ สำนักก่อสร้างสะพาน และ สำนักสำรวจและออกแบบ ของ ทช. ซึ่งรายงานต่อผู้บริหารอย่างต่อเนื่อง

“งานแบบนี้ประชาชน ‘เห็น-ใช้-ตัดสิน’ ในวันเปิดจริง เราจึงต้องทำสองอย่างคู่กันคือ เร่งตามแผน และระวังทุกขั้น ในฤดูฝน น้ำต้องไม่ท่วม ในชั่วโมงเร่งด่วน รถต้องไหล” สรุปหลักคิดหน้างานที่ผู้บริหาร ทช. ย้ำต่อทีมวิศวกรและผู้ควบคุมงาน (ถอดจากสาระการลงพื้นที่ตรวจงาน)

บทเรียนจากเมืองสนามบิน ทำไป–สื่อสารไป ลดผลกระทบระหว่างก่อสร้าง

อุโมงค์เมือง–หน้าแยกสนามบิน มี “ข้อจำกัดเฉพาะ” ที่ต้องบริหารเหมือน “ศัลยแพทย์ผ่าตัดหัวใจ” ได้แก่

  • สายน้ำ ต้องมั่นใจว่าระบบระบายน้ำชั่วคราวรับพายุฤดูฝนได้
  • สายไฟ–ท่อสาธารณูปโภค การย้าย/ป้องกันต้องตามมาตรฐานและกำหนดการหน้างานจริง
  • สายรถ แผนทางเบี่ยงต้องชัด–อ่านง่าย–ปรับทัน และมีคนอำนวยการจราจรช่วงคอขวด
  • สายสื่อสาร ต้องแจ้งเปลี่ยนรูปแบบเดินรถล่วงหน้า และมีช่องทางร้องเรียน–รับเรื่องรวดเร็ว

วิธีคิดนี้สอดคล้องกับแนวทางที่ ทช. ใช้กับโครงการเมืองใหญ่หลายแห่ง ทำไป–สื่อสารไปเพื่อลดผลกระทบ ณ ปัจจุบัน และรักษา “ทุนความเชื่อใจ” ไปจนถึงวันเปิดใช้จริง

เชื่อมใหญ่ ทางลอดนี้สอดรับ “ภาพใหญ่เชียงราย” ที่กำลังขยับ

แม้โครงการทางลอดจะเป็นงานของ ทช. แต่ “ผลพวง” กระทบเชิงบวกจะสะท้อนกับภาพใหญ่ที่เชียงรายกำลังขยับการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว, ไฟลท์บินที่หนาแน่นขึ้น, และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ใกล้สนามบิน เมื่อจุดตันหน้าแยกศูนย์ราชการถูกแก้ ระยะทาง–เวลา–ความคาดการณ์ได้ในการเดินทางจะเพิ่ม “แต้มต่อ” ให้เชียงรายทั้งระบบ ตั้งแต่ผู้โดยสารรายวันจนถึงนักลงทุนระยะยาว

คำถามเชิงยุทธศาสตร์ 3 ข้อ

1) ฝน–น้ำจะเอาอยู่หรือไม่?
คำตอบจากหน้างาน เพิ่มชั้นความปลอดภัยด้วยบ่อพัก–ท่อชั่วคราว–ปั๊มสำรอง พร้อมตรวจทางน้ำร่วมกับท้องถิ่นทุกสัปดาห์ในช่วงฝนหนัก

2) รถติดชั่วโมงเร่งด่วนจะหนักขึ้นหรือไม่ในช่วงก่อสร้าง?
คำตอบจากหน้างาน ทำแผนทางเบี่ยงเป็น “เฟสย่อย” จำกัดพื้นที่ก่อสร้างในแต่ละช่วงเวลา, เพิ่มเจ้าหน้าที่อำนวยการจราจร, และสื่อสารล่วงหน้าทุกครั้งที่เปลี่ยนแบบเดินรถ

3) วันเปิดใช้จะคุ้มค่าหรือไม่?
คำตอบจากข้อมูลแผนงาน เมื่อเปิดเต็มระบบ (อุโมงค์–สะพาน–ผิวทาง–สัญญาณ), เวลาการเดินทางเฉลี่ยผ่านแยกลดลง, ความเสี่ยงอุบัติเหตุจากการตัดกันของจราจรลดลง, สนามบิน–ศูนย์ราชการ–ย่านเมืองทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเป็น “ผลประหยัดเวลา” ที่แปรรูปเป็น “ผลประหยัดเศรษฐกิจ” โดยตรง

องค์ประกอบการกำกับงาน ใครทำอะไร–ที่ไหน–อย่างไร

  • หน่วยงานหลัก กรมทางหลวงชนบท (ทช.)
  • กำกับ–ควบคุมวิศวกรรม สำนักก่อสร้างสะพาน และสำนักสำรวจและออกแบบ
  • ผู้บริหารที่เกี่ยวข้องตามบันทึกประชุม นายลิขิต ทิฐิธรรมเจริญ (รักษาการวิศวกรใหญ่ด้านควบคุมการก่อสร้าง), นายอภิชัย วชิระปราการพงษ์ (ผอ. สำนักก่อสร้างสะพาน), ผู้แทนสำนักกฎหมาย และทีมวิศวกรโครงการ

การประชุม “Kick-off Meeting” เมื่อเดือนมกราคม 2568/2569 มีวัตถุประสงค์รับทราบ ความเป็นมา–รูปแบบโครงการ–รายละเอียดสัญญา–งบประมาณ–ปัญหาอุปสรรค–แผนใช้พัสดุ และจัดวาง “ตารางงาน–ตารางความเสี่ยง” ที่ต้องติดตามเป็นรายงวด เพื่อให้ทีมโครงการขับเคลื่อนไปในทิศเดียวกันทั้งส่วนกลางและพื้นที่ 

“ลำบากวันนี้ เพื่อสบายระยะยาว”

แม้ชาวเมืองจะต้องเผชิญทางเบี่ยง–รถติด–ฝุ่นชั่วคราว แต่ภาพรวมเสียงสะท้อนจากคนพื้นที่จำนวนมากคือ “ยอมลำบากวันนี้ เพื่อสบายระยะยาว” เพราะทุกคนต่างรู้ว่าหน้าแยกศูนย์ราชการคือ “จุดที่ต้องแก้” มานาน การเห็นเครื่องจักรลงมือคือสัญญาณว่าคำสัญญากำลังเปลี่ยนเป็นรูปธรรม

ภาคธุรกิจบริการและขนส่งย้ำว่า “สิ่งที่ต้องการ” ระหว่างก่อสร้างมี 3 ข้อ แจ้งล่วงหน้า, ทางเบี่ยงชัด, เปิดปิดตามเวลาถ้าทำได้ ความรำคาญชั่วคราวจะไม่กลายเป็นความขุ่นเคืองถาวร

หมุดหมาย 2570 เมื่ออุโมงค์เปิด เมืองจะ “หายใจ” คล่องขึ้น

หากยึดกรอบเวลาที่ประกาศไว้ ปี 2570 หลังปิดสุดท้ายและเก็บงานระบบ ทุกลมหายใจของเมืองจะรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง: ไฟลท์เช้าจะ “คาดเดาได้” มากขึ้น, รถขนส่งหมุนรอบได้ถี่ขึ้น, รถพยาบาล–รถฉุกเฉินวิ่งได้คล่องขึ้น, เมืองส่งสัญญาณความพร้อมรับ “คลื่นการเติบโต” จังหวะใหม่

ยิ่งเมื่อจับคู่กับแนวโน้มการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก เชียงรายจะมี “ทางเข้า–ทางออก” ที่สมศักดิ์ศรีเมืองท่องเที่ยว–การค้าชายแดน และศูนย์บริการรัฐระดับจังหวัดอย่างแท้จริง

งานวิศวกรรมที่ตอบคำถาม “เศรษฐกิจเมือง”

โครงการทางลอดแยกศูนย์ราชการ ชร.1023 ไม่ได้ตอบคำถามวิศวกรรมเพียงข้อเดียว แต่มุ่งตอบ “โจทย์เมือง” 3 ชั้น

  1. ชั้นจราจร: ตัดจุดปะทะ–รักษาความเร็วเฉลี่ย–ลดอุบัติเหตุ
  2. ชั้นเศรษฐกิจ: ลดเวลาสูญเสีย–เสริมความตรงต่อเวลา–ลดต้นทุนขนส่งเมือง
  3. ชั้นคุณภาพชีวิต: ลดมลพิษ–เสียง–ฝุ่นจากรถติด–เพิ่มความน่าอยู่

เมื่อชิ้นส่วนทั้งหมดประกอบเข้าที่อุโมงค์ 4 เลน, สะพานแม่น้ำกกที่กว้างขึ้น, ผิวทาง–ไฟ–สาธารณูปโภคที่ได้มาตรฐานเชียงรายจะได้ “เครื่องมือชิ้นใหม่” สำหรับขับเคลื่อนทศวรรษหน้า

สารจากหน้างานวันนี้จึงเรียบง่าย: ทำวันนี้ให้ปลอดภัย–แม่นยำ–ตามแผน แล้วปล่อยให้ผลลัพธ์ในปี 2570 เป็นคำตอบ

ข้อมูลโครงการ (สรุป)

  • ประเภทโครงการ: ทางลอดแยก + ปรับสะพาน + ปรับปรุงถนนและระบบประกอบ
  • ที่ตั้ง: แยกศูนย์ราชการ ถนนทางหลวงชนบทสาย ชร.1023 อ.เมืองเชียงราย
  • โครงสร้างหลัก: อุโมงค์ 4 ช่องจราจร ยาว ~425.50 ม., ขยายสะพานแม่น้ำกก ยาว 410 ม., ปรับปรุงถนน–ไฟ–สาธารณูปโภค รวมระยะ 1.635 กม.
  • ความคืบหน้า (ก.ย. 2568): ~26%
  • กรอบเสร็จ: ภายในปี 2570 (ตามแผนงานที่ ทช. วางไว้และสื่อสารต่อสาธารณะ)
  • หน่วยงานเจ้าของโครงการ: กรมทางหลวงชนบท (ทช.)
  • หน่วยงานกำกับวิศวกรรม: สำนักก่อสร้างสะพาน, สำนักสำรวจและออกแบบ
  • เป้าหมายผลลัพธ์: แก้คอขวดหน้า สนามบินแม่ฟ้าหลวง–ศูนย์ราชการ, เพิ่มขีดความสามารถโครงข่าย, หนุนเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยว

 

ตัวเลขความคืบหน้า “ร้อยละ 26 (ก.ย. 2568)” และกรอบ “แล้วเสร็จปี 2570” ในรายงานชิ้นนี้อ้างอิงจากการลงพื้นที่ตรวจงานและข้อมูลที่ผู้สื่อข่าวได้รับจากการบรรยายสรุปของผู้บริหาร ทช. ณ วันทำข่าว ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางและแผนแม่บทที่ ทช. เผยแพร่ไว้ก่อนหน้าในช่องทางทางการตามแหล่งอ้างอิงข้อ 1–2 ข้างต้น


เส้นทางลอดแยกศูนย์ราชการอาจเป็นเพียง “หนึ่งจุดงานก่อสร้าง” บนผังเมืองเชียงราย แต่ในทางยุทธศาสตร์ มันคือคันโยกที่พร้อมยก “ทั้งระบบการเดินทาง” ของเมืองให้ก้าวข้ามข้อจำกัดเดิม จาก 26% วันนี้สู่ 100% ในปี 2570 เมื่ออุโมงค์เปิด เมืองจะเดินหน้าได้เร็วขึ้น เงียบขึ้น และคาดการณ์ได้มากขึ้น นี่คือวิศวกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และคือคำมั่นที่กำลังคืบหน้ากลางสายฝนของเมืองเหนือสุดแดนสยาม.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมทางหลวงชนบท (ทช.)
  • กรมทางหลวงชนบท
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News