เชียงรายเดินหน้า “โล้ชิงช้า” สู่ Soft Power ชนเผ่า ฟื้นพลังชุมชน–ยกระดับท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 13 กันยายน 2568 – ท้องฟ้าแม่จันยามบ่ายคล้อยโปรยฝนบางเบา ลานวัฒนธรรมบ้านแสนสุข ตำบลศรีค้ำค่อยๆ แน่นขนัดด้วยผู้คนในชุดพื้นเมืองหลากสีสัน ชายหญิงอาข่าประดับหมวกเงิน กลิ่นอาหารพื้นถิ่นลอยคลุ้ง เสียงกลองไม้ดังประสานกับเสียงหัวเราะ – บรรยากาศทั้งหมดพาให้พิธีเปิดงานประเพณีโล้ชิงช้า “บ่อง ฉ่อง ตุ๊” ปี 2568 กลับมามีชีวิตอีกครั้ง พร้อมสัญญาณที่ชัดเจนว่าจังหวัดเชียงรายกำลังเปลี่ยน “ทุนทางวัฒนธรรม” ให้เป็น Soft Power ชนเผ่า อย่างมีทิศทาง

งานครั้งนี้จัดโดย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนตำบลศรีค้ำ โดยมี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธี และสนับสนุนงบประมาณ 100,000 บาท เพื่อฟื้นฟูประเพณีสำคัญของชาวอาข่าให้กลับมาโดดเด่นในปฏิทินท่องเที่ยวชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม เป้าหมายไม่ใช่เพียงจัดงานปีละครั้ง แต่ต้องการต่อยอดให้กลายเป็น จุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวมาได้ “ทั้งปี” ภายใต้สโลแกนที่ผู้บริหาร อบจ. ย้ำชัด “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ

จากพิธีบูชาฝนสู่เวที Soft Power เรื่องเล่าที่จับใจและจับต้องได้

โล้ชิงช้า หรือที่ชาวอาข่าเรียกว่า “บ่อง ฉ่อง ตุ๊” เป็นประเพณีศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนบนพื้นที่สูง จัดในช่วงฤดูฝนเพื่อขอพรให้ ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล พืชผลอุดมสมบูรณ์ และเป็นวาระที่ชาวอาข่าซึ่งกระจายอยู่หลายหมู่บ้านจะ กลับมาพบปะสังสรรค์ ซ่อมแซมความสัมพันธ์ข้ามรุ่น ระหว่างผู้อาวุโสกับเยาวชน ประเพณีจึงทำหน้าที่มากกว่านิทรรศการกลางแจ้ง – มันเป็น โครงสร้างทางสังคม ที่ทำให้ชุมชนแข็งแรง

ปีนี้เวทีถูกออกแบบให้เห็น “กระดูกสันหลัง” ของพิธีอย่างครบถ้วน ตั้งแต่การตั้งเสาชิงช้าแบบอาข่า การแต่งกายตามจารีต การละเล่นและการเต้นประกอบจังหวะที่สืบทอดกันมา ขณะเดียวกันก็เปิดพื้นที่ให้ผู้มาเยือนเรียนรู้ความหมายภายในของพิธีโดยไม่ล่วงล้ำ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ของชุมชน – แนวทางที่สะท้อนวุฒิภาวะด้านการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (cultural tourism) ที่เคารพเจ้าของมรดกโดยตรง

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ กล่าวว่า “งบประมาณ 100,000 บาทเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เราย้ำเสมอว่าเป้าหมายไม่ใช่ ‘จัดงานให้มีคนมา’ เพียงครั้งเดียว แต่เป็นการ คืนความภาคภูมิใจ ให้ชุมชน และทำให้ประเพณีอยู่ได้ด้วยตนเองในระยะยาว เชียงรายต้องเติบโตบนรากของเราเอง”

ทำไม “โล้ชิงช้า” ตอบโจทย์เชียงรายเวลานี้

  1. ตรงกับแนวโน้มการท่องเที่ยวโลก – ผู้เดินทางหลังโควิด-19 มองหาประสบการณ์ จริงแท้ (authentic) และ เรียนรู้ (learning-based) มากขึ้น ประเพณีโล้ชิงช้าตอบโจทย์ทั้งสองข้อ เพราะเปิดให้สัมผัสวิถีชนเผ่าที่มีบริบท–พิธีกรรม–อาหาร–งานช่างฝีมือครบวงจร
  2. กระจายผลประโยชน์ได้กว้าง – ค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไหลเข้าสู่ชุมชนโดยตรง ตั้งแต่โฮมสเตย์ มัคคุเทศก์ท้องถิ่น ร้านอาหารพื้นถิ่น ไปจนถึงสินค้าหัตถกรรมโบราณ–ร่วมสมัย เศรษฐกิจฐานรากหมุนเวียนเพิ่มทวีคูณ
  3. ต่อยอด Soft Power เชียงราย – จังหวัดนี้มีแบรนด์วัฒนธรรมเข้มแข็งอยู่แล้ว (ศิลปะร่วมสมัย วัดร่องขุ่น ขัวศิลปะ กาแฟบนดอย) เมื่อเชื่อมกับ ประเพณีชนเผ่า จะยิ่งสร้างภาพจำที่แตกต่างจากจังหวัดท่องเที่ยวอื่นในภาคเหนือ
  4. เกื้อกูลความมั่นคงทางสังคม – งานประเพณีทำให้เยาวชนรู้สึก “ภูมิใจในรากเหง้า” ลดแรงดึงดูดของพฤติกรรมเสี่ยง และสร้างบทสนทนาใหม่ระหว่างคนเมืองกับคนดอยบนฐานของความเข้าใจ ไม่ใช่ความเหมารวม

จาก “งานวัฒนธรรม” สู่ “ผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยว” 6 ยุทธศาสตร์ให้ถึงฝั่งยั่งยืน

ผู้สื่อข่าวสรุปประเด็นจากเวทีและการพูดคุยรอบงาน กลั่นเป็น 6 ยุทธศาสตร์ ที่ทำให้โล้ชิงช้าเดินหน้าอย่างมีคุณภาพและเคารพเจ้าของวัฒนธรรม

1) พิทักษ์แก่นพิธี ก่อนโปรโมต

หัวใจคือ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ และลำดับพิธี ต้องกำหนด เขตถ่ายภาพ–เขตห้ามเข้า คู่ไปกับการบอกเล่าความหมายที่ถูกต้อง ชุมชนเป็นผู้กำกับ (community-led) เพื่อไม่ให้พิธีถูก “ทำให้ดูง่าย” จนหลุดจากบริบทเดิม

2) ยกระดับประสบการณ์ผู้มาเยือน

จุดบริการนักท่องเที่ยวควรมี ป้ายสองภาษา (ไทย–อังกฤษ เพิ่มภาษาจีน/เกาหลีตามตลาดเป้าหมาย) QR Code สำหรับอ่านเรื่องราว–เส้นทางเรียนรู้, เจ้าบ้านอาสา คอยต้อนรับ, และ แพ็กเกจครึ่งวัน/เต็มวัน เชื่อมกิจกรรมเรียนรู้อื่น (ผ้าปักอาข่า, ครัวชนเผ่า, เดินป่าศึกษาพืชวัฒนธรรม)

3) ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม

ตั้งระบบ ความปลอดภัยชิงช้า (ตรวจเสา–เชือก–โครงสร้างตามรอบ), ทำ แผนฝนฟ้า–ไฟฟ้า–การแพทย์ฉุกเฉิน, ใช้ แนวคิดงานสีเขียว (Green Event) ลดพลาสติกครั้งเดียวทิ้ง ตั้งจุดคัดแยกขยะ และจัดการน้ำเสียจากครัวชุมชน

4) ประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เป็นธรรม

กำหนด อัตราค่าบริการมาตรฐาน สำหรับไกด์ท้องถิ่น–โชว์วัฒนธรรม–โฮมสเตย์ พร้อม ระบบแบ่งปันรายได้ ที่โปร่งใสระหว่างกลุ่มอาชีพ/กองทุนชุมชน เพื่อให้คนในหมู่บ้าน “รู้สึกได้” ว่าการท่องเที่ยวคุ้มค่าและควรร่วมดูแลต่อ

5) การตลาดบนเรื่องเล่าจริง (Story-driven Marketing)

สร้าง สตอรี่ไลน์ เช่น “กลับบ้านหน้าโล้ชิงช้า”, “เมล็ดกาแฟ–เมล็ดข้าว–เมล็ดรอยยิ้ม” ผลิตคอนเทนต์สั้นที่เล่าผ่านผู้เฒ่า–เยาวชน–แม่ค้า–ช่างฝีมือ แล้วเชื่อมกับ ปฏิทินเที่ยวทั้งปีของเชียงราย ให้ผู้มาเยือนวางแผน “เที่ยวทั้งอำเภอ” ไม่ใช่แค่แวะถ่ายรูป

6) ข้อมูลและการประเมินผล

หลังจบงาน ควรมี ชุดตัวชี้วัด ที่ชุมชนและท้องถิ่นร่วมกันเก็บ เช่น จำนวนผู้มาเยือน ระยะเวลาพำนัก รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือน ความพึงพอใจของเจ้าบ้าน–ผู้มาเยือน และตัวชี้วัดพิทักษ์วัฒนธรรม (เช่น จำนวนเยาวชนที่เข้าร่วมพิธี) เพื่อปรับปรุงในปีถัดไป

บทบาทร่วมของรัฐ–ชุมชน–เอกชน

แม้ในพิธีเปิดจะเน้นบทบาทของ อบจ. แต่เบื้องหลังคือ ทีมสามประสาน ที่เดินหน้าไปด้วยกัน

  • ท้องถิ่น (อบต.ศรีค้ำ) ทำหน้าที่ประสานงานชุมชน จัดการจราจร จุดบริการ–จุดปฐมพยาบาล และดูแลความเรียบร้อยโดยเคารพขนบธรรมเนียม
  • ชุมชนอาข่า เป็นเจ้าภาพพิธี ตัดสินใจเรื่องเขตศักดิ์สิทธิ์ ลำดับพิธี และคัดเลือกตัวแทนเล่าเรื่อง (culture docents) เพื่อให้เสียงของชุมชนเป็นศูนย์กลาง
  • เอกชนท่องเที่ยว–วิสาหกิจชุมชน ร่วมออกแบบแพ็กเกจ รับ–ส่งนักท่องเที่ยวอย่างเหมาะสม สนับสนุนอุปกรณ์เสียง–แสงอย่างพอดีไม่รบกวนพิธี

โมเดลนี้ทำให้งานครั้งนี้ ไม่ใช่งาน “ของใครคนหนึ่ง” แต่เป็นสินทรัพย์ร่วมของเมือง – เมื่อทุกฝ่ายมีส่วนได้ส่วนเสียอย่างเป็นธรรม ความร่วมมือก็พร้อมเดินระยะยาว

เชื่อมโยงเครือข่าย จากแม่จันสู่เส้นทางชนเผ่าทั้งจังหวัด

เชียงรายมีเครือข่ายหมู่บ้านชนเผ่าหลากหลาย ทั้งอาข่า ลาหู่ เมี่ยน ไทลื้อ กะเหรี่ยง ฯลฯ กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานวิชาการเคยชี้ชวนให้พัฒนา เส้นทางวัฒนธรรมชนเผ่า” (Ethnic Culture Route) ที่ไม่ใช่การจัดแสดงแบบจำลอง แต่คือการพาผู้มาเยือน เข้าไปเรียนรู้ในพื้นที่จริง ด้วยกติกาที่ชุมชนกำหนดเอง โล้ชิงช้าแม่จันจึงสามารถเป็น จุดตั้งต้น ของเส้นทางดังกล่าว เชื่อมต่อไปยังบ้านสันติคีรี (แม่สลอง) บ้านจะแล บ้านเทอดไทย หรือพื้นที่กาแฟ–ชา–ผ้าปักที่ผู้มาเยือนอยากสัมผัส

หากบูรณาการร่วมกับ เทศกาลศิลปะร่วมสมัยของเชียงราย ที่ได้รับความนิยมอยู่แล้ว เมืองจะมี จังหวะท่องเที่ยว” ที่ไหลลื่นตลอดปี – หน้าฝนเที่ยวโล้ชิงช้า หน้าหนาวชมศิลปะ–กาแฟ หน้าร้อนท่องวัฒนธรรมริมโขง – ทำให้สโลแกน “เที่ยวได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” มีความหมายมากกว่าแคมเปญประชาสัมพันธ์

ประเด็นที่ต้องระวังความนิยมต้องไม่กลบคุณค่า

เมื่อ Soft Power เริ่มทำงาน ความนิยม (popularization) ย่อมไหลตามมา ความเสี่ยงสำคัญมี 3 ประการที่จังหวัดและชุมชนต้องรับมืออย่างรอบคอบ

  1. การฉวยใช้สัญลักษณ์ – การผลิตสินค้าที่ “เลียนแบบ” ลวดลายอาข่าโดยไม่ขออนุญาตหรือไม่แบ่งปันประโยชน์ อาจสร้างบาดแผลทางวัฒนธรรม จำเป็นต้องมีแนวทาง สิทธิในทรัพย์สินทางวัฒนธรรม ของชุมชนอย่างชัดเจน
  2. ความแออัดและแรงกดดันต่อทรัพยากร – หากจำนวนผู้มาเยือนพุ่งสูงโดยไม่มีระบบจัดการ อาจกระทบทั้งพิธีและวิถีชีวิต ต้องกำหนด เพดานผู้เข้าชม ในบางช่วง และชี้ทางไปยังกิจกรรม–หมู่บ้านอื่นเพื่อกระจายตัว
  3. ภาพจำที่ทำให้ตายตัว (stereotype) – การนำเสนอชนเผ่าควรสะท้อน ชีวิตจริงที่มีหลายมิติ ไม่ใช่โรแมนติไซส์เฉพาะชุดพื้นเมืองหรือการเต้น ต้องเปิดพื้นที่ให้เยาวชนเล่าเรื่องชีวิตร่วมสมัยของตนเองควบคู่กับพิธีกรรม

การรับมือความท้าทายเหล่านี้จะทำให้ Soft Power ของเชียงรายแข็งแรง – เป็นพลังที่ ยกชุมชนทั้งยวง ไม่ใช่พลังที่ผลักให้บางคนยืนหน้าเวทีและบางคนถอยไปเป็นเพียงฉากหลัง

เส้นชัยที่ชื่อว่า “ยั่งยืน” สิ่งที่เชียงรายพิสูจน์ให้เห็น

ภาพรวมของงานปี 2568 สะท้อน 3 หลักคิดที่ชัดเจน

  • เคารพรากเหง้า – ชุมชนเป็นศูนย์กลางของการตัดสินใจ
  • ทำให้เข้าถึงง่าย – ใช้ภาษา/สื่อ/แพ็กเกจที่ผู้มาเยือนเข้าใจได้โดยไม่ทำลายพิธี
  • เชื่อมเศรษฐกิจฐานราก – รายได้กระจายถึงครัวเรือนและกองทุนชุมชนอย่างเป็นธรรม

ทั้งหมดคือองค์ประกอบของ ความยั่งยืน ที่ไม่ใช่คำสวยหรู หากแต่เป็นแนวทางปฏิบัติที่เกิดขึ้นจริงในลานโล้ชิงช้าแม่จัน เชียงรายจึงไม่ได้เพียง “จัดงาน” แต่กำลัง ออกแบบระบบนิเวศการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ที่คนในและคนนอกเดินไปด้วยกันได้

เมื่อชิงช้าแกว่ง – เศรษฐกิจชุมชนและหัวใจเมืองก็แกว่งตาม

เสาชิงช้าสูงตระหง่านกลางลานคือสัญลักษณ์ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ทุกครั้งที่มันแกว่ง คนดูยิ้ม เด็กหัวเราะ ผู้อาวุโสยืนมองอย่างปลื้มใจ นี่คือภาพของ ความหวัง ที่เคลื่อนไหวได้ – ความหวังว่าประเพณีบรรพชนจะไม่เลือนหาย ความหวังว่าลูกหลานจะภูมิใจในรากของตนเอง ความหวังว่าผู้มาเยือนจะพกเรื่องเล่าดีๆ กลับบ้าน และแน่นอน ความหวังว่ารายได้จะหมุนเวียนในหมู่บ้านอย่างเป็นธรรม

เชียงรายกำลังบอกประเทศทั้งประเทศว่า Soft Power ไม่ได้อยู่แค่บนเวทีใหญ่หรือจอใหญ่ แต่อยู่ในลานดินกลางหมู่บ้าน อยู่ในมือของผู้เฒ่าที่ส่งไม้ต่อให้เด็ก อยู่ในรอยยิ้มของนักท่องเที่ยวที่ได้เรียนรู้บางอย่างใหม่ๆ เกี่ยวกับเพื่อนร่วมแผ่นดิน เมื่อ วัฒนธรรมได้รับความเคารพ—เศรษฐกิจจะเติบโต และเมื่อ เศรษฐกิจเติบโต—ชุมชนจะเข้มแข็ง โล้ชิงช้าแม่จันจึงไม่ใช่เพียงประเพณี หากเป็น โมเดลการพัฒนา ที่แกว่งไปข้างหน้าอย่างสมดุล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนตำบลศรีค้ำ อำเภอแม่จัน
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (กระทรวงวัฒนธรรม)
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News