
เชียงราย, 20 พ.ย. 2568 – ความขัดแย้งเรื่องการจัดการขยะในตำบลแม่ยาวปะทุสู่ “วิกฤตศรัทธา” หลังมีข้อกล่าวหาว่าเทศบาลตำบลแม่ยาวนำขยะไป “พัก/ฝังกลบ” ในพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำและโรงน้ำดื่มชุมชน ตั้งแต่ 11 พ.ย. 2568 จนประชาชนขาดความเชื่อมั่น กำนันตำบลแม่ยาว “ปรัตถกร การเร็ว” ทำหนังสือถึงเทศบาล ยื่น 7 คำถามเร่งด่วน ตั้งหลักธรรมาภิบาลและการเยียวยาผู้เสียหาย ขณะที่กรอบกฎหมายไทยชี้ชัด หากการกระทำเข้าข่ายละเมิดหรือทุจริต หน่วยงานรัฐต้องชดใช้–แก้ไข และอาจเรียกคืนความเสียหายจากเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องได้
กลิ่นขยะที่ลอยมากับคำถามเรื่องความรับผิดชอบ
บทเรียนเรื่อง “ขยะ” มักเริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่คนพยายามมองข้าม แต่ผลสะสมกลับใหญ่เกินปล่อยผ่าน เมื่อชุมชนบ้านดอยถูก “ย้ายเขตการปกครอง” จากเทศบาลนครเชียงรายไปสังกัดเทศบาลตำบลแม่ยาว การเปลี่ยนมือ “ผู้รับผิดชอบ” กลายเป็นรอยต่อที่สะดุด จนขยะไม่ถูกเก็บตามรอบ เกิดการกองสุม ส่งกลิ่น และนำไปสู่ข้อกล่าวหาว่ามีการ “นำขยะมาพักหรือฝังกลบ” ในพื้นที่เทศบาลแม่ยาวใกล้แหล่งน้ำและโรงน้ำดื่มของชุมชน
นับจากวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 กระแสวิตกในพื้นที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือ “ศรัทธา” ต่อกลไกท้องถิ่นที่ควรปกป้องสาธารณะ โดยเฉพาะเมื่อธุรกิจน้ำดื่มชุมชน วิสาหกิจชุมชนน้ำดื่มปกครองตำบลแม่ยาว ถูกลูกค้ายกเลิกออเดอร์จากความกังวลเรื่องคุณภาพน้ำ คำถามจึงไม่ใช่เพียง “ทิ้งที่ไหน” แต่คือ “ใครสั่ง ใครทำ และใครรับผิดชอบ”
ไทม์ไลน์ จาก “ย้ายเขต” สู่ “บ่อขยะเถื่อน” และหนังสือ 7 คำถาม
ไทม์ไลน์นี้ชี้ให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้าง การเปลี่ยนผ่าน “ผู้รับผิดชอบ” โดยไม่มีระบบรองรับที่รัดกุมเพียงพอ และการตัดสินใจเชิงปฏิบัติการที่ขาดหลักวิชาการ จนพาไปสู่วิกฤตศรัทธาที่จับต้องได้
จุดแตกหัก ความเสียหายที่มองเห็นและความกลัวที่มองไม่เห็น
ความเสียหายเชิงเศรษฐกิจ เกิดขึ้นทันทีและชัดเจน โรงน้ำดื่มชุมชนซึ่งเป็นแหล่งน้ำบริโภคสำคัญของชาวบ้านต้องเผชิญการยกเลิกออเดอร์ “จากความกังวล” ไม่ว่าผลตรวจจะออกมาว่าอย่างไรในภายหลัง “ความกลัว” ได้ทำงานก่อนแล้ว
ความเสียหายเชิงสังคม คือความเสื่อมถอยของความไว้วางใจต่อรัฐท้องถิ่น ประชาชนตั้งคำถามว่า “เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้ก่อปัญหาเสียเอง” แล้วกลไกไหนจะปกป้องพวกเขา
ความเสี่ยงเชิงสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ แม้ยังรอการยืนยันจากผลตรวจผู้เชี่ยวชาญภายนอก แต่บทเรียนทั่วประเทศชี้ให้เห็นแนวโน้มเดียวกัน การพัก/ฝังขยะโดยไม่ผ่านระบบมาตรฐาน มักนำไปสู่ น้ำชะขยะ (Leachate) ปนเปื้อนลงดินและน้ำ รุกล้ำห่วงโซ่อาหารและสุขภาวะในระยะยาว
7 คำถามของกำนัน แผนที่ทางออกด้วย “ธรรมาภิบาล”
กำนันปรัตถกร การเร็ว ยื่น 7 คำถาม ถึงเทศบาลตำบลแม่ยาว เป็นหมุดหมายสำคัญของการทวงคืนความเชื่อมั่น
คำถามเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการ “ทวงคำตอบ” แต่คือ มาตรวัดธรรมาภิบาล ความโปร่งใส (Transparency) ความรับผิดรับชอบ (Accountability) และการมีส่วนร่วม (Participation) ที่จะพาชุมชนกลับสู่สภาวะไว้วางใจ
กฎหมายว่าอย่างไร เมื่อ “ทิ้งถูก” แต่ “ที่ทิ้งไม่ถูก”
จากข้อมูลเชิงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมักถูกอ้างถึงในคดีลักษณะเดียวกันทั่วประเทศ แนวทางตีความความรับผิดมี 3 มิติ ซ้อนทับกัน
1) อาญา ฐานละเว้น/ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
หากพบว่ามีการ สั่งการ/ยินยอม/รู้เห็น ให้พักหรือฝังกลบขยะในที่ที่ไม่เหมาะสมหรือใกล้แหล่งน้ำ อาจเข้าข่าย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (ปฏิบัติหรือละเว้นหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือโดยทุจริต) และกรณีที่มีพยานหลักฐานเรื่อง ทุจริต ในการจัดซื้อจัดจ้างหรือใช้ดุลยพินิจโดยทุจริต อาจเข้าข่ายกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 172 ได้
2) วินัย ความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
เมื่อ ป.ป.ช. ชี้มูลหรือปรากฏข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ การลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงสามารถดำเนินการได้ แม้เจ้าหน้าที่ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งแล้ว (ภายใต้กรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด)
3) ปกครอง/ละเมิด ชดใช้ความเสียหายให้ประชาชน
ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 หากการกระทำของเจ้าหน้าที่ก่อความเสียหายแก่ประชาชน หน่วยงานรัฐต้องรับผิดชอบชดใช้ก่อน จากนั้น หากเกิดจากเจตนาหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หน่วยงานรัฐมีสิทธิ “เรียกคืน” จากเจ้าหน้าที่ผู้นั้นได้บางส่วน นี่คือ กลไกยับยั้งเชิงการเงิน ที่ทำให้ผู้มีอำนาจต้องระวังต่อการตัดสินใจผิดหลักวิชาการ
บทเรียนจากคดีตัวอย่าง (ตามข้อมูลที่ผู้ให้ข่าวอ้างถึง)
สองกรณีข้างต้น ตามที่ถูกยกเป็นกรอบอ้างอิงในข้อมูล สะท้อนหลักกว้างๆ ว่า หากการกระทำของรัฐ/เจ้าหน้าที่ก่อให้เกิดความเสียหายจริง ศาลสามารถบังคับให้แก้ไข–ชดใช้–และปรับปรุงระบบ เพื่อไม่ให้เกิดซ้ำ
“บ่อขยะเถื่อนใกล้แหล่งน้ำ” ทำไมถึงเสี่ยง? วิทยาศาสตร์ของน้ำชะขยะ
การพัก/ฝังกลบขยะโดยไม่ผ่านระบบป้องกันมาตรฐาน (เช่น แผ่นรองกันซึม, ระบบเก็บน้ำชะขยะ, บ่อบำบัด, แนวกันน้ำท่วม) มีความเสี่ยงอย่างน้อย 3 ชั้น
ด้วยเหตุนี้ มาตรฐานสากลและกฎหมายไทยจึงเข้มงวดต่อที่ตั้งบ่อฝังกลบ ห้ามใกล้แหล่งน้ำ และต้องออกแบบรองรับตั้งแต่วันแรก
ทางออกที่จับต้องได้ 5 ชุดมาตรการ “หยุดเลือด–เยียวยา–ป้องกันซ้ำ”
เพื่อคลี่คลายวิกฤตศรัทธาและกู้ระบบให้เดินต่ออย่างยั่งยืน บทความนี้สรุปทางเลือกเชิงปฏิบัติการจากประสบการณ์พื้นที่อื่นและกรอบกฎหมายที่มีอยู่ ดังนี้
1) มาตรการฉุกเฉิน (ภายใน 7–14 วัน)
2) การเยียวยาเศรษฐกิจท้องถิ่น
3) สัญญาประชาคม–MOU จัดการขยะ
4) ปรับโครงสร้างระยะยาว
5) ธรรมาภิบาลและความรับผิด
เสียงจากพื้นที่ “ปัญหาอาจจบ แต่ความรู้สึกยังอยู่”
สารจากกำนันปรัตถกรสะท้อนความจริงเชิงสังคมที่สำคัญ ความเชื่อใจสร้างยากและพังง่าย แม้การจัดการเชิงเทคนิคจะกลับเข้ารูปเร็วเพียงใด แต่หากไม่มี “สำนึกความรับผิดและการสื่อสารที่โปร่งใส” วิกฤตศรัทธาจะค้างคาและกลายเป็น ต้นทุนความร่วมมือ ที่แพงยิ่งกว่าค่าจัดการขยะเสียอีก
วิกฤตครั้งนี้คือ “โอกาสทบทวนระบบ”
เหตุการณ์ในแม่ยาวไม่ได้ถามเพียงว่า “ขยะอยู่ไหน” แต่ถามลึกไปถึง ระบบรับผิดชอบร่วม ของรัฐท้องถิ่น ตั้งแต่การวางแผน การสื่อสาร การตัดสินใจภายใต้ข้อจำกัด ไปจนถึงการยอมรับความผิดพลาดและการเยียวยา
ทางออกที่ยั่งยืนจึงต้องทำพร้อมกัน 3 ชั้น
สุดท้าย “เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิด ใครรับผิดชอบ” คำตอบในกรอบกฎหมายไทยชัดเจน หน่วยงานรัฐต้องรับผิดชอบต่อสาธารณะก่อน และหากพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากเจตนาหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หน่วยงานมีสิทธิ เรียกคืนจากเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ได้ นี่คือหลักความเป็นธรรมที่ต้องเดินคู่กับหลักวิชาการและหัวใจของชุมชน
วิกฤตศรัทธาในแม่ยาว จึงอาจกลายเป็น จุดพลิกระบบ หากทุกฝ่ายยืนอยู่บนความจริง กล้ารับผิด แก้ไขอย่างโปร่งใส และให้ชุมชนเป็นเจ้าของข้อมูลและอนาคตร่วมกัน
ภาคผนวก 7 คำถามของกำนันตำบลแม่ยาว (สรุปสาระ)
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by Nakorn Chiang Rai News Limited Partnership (L.P.). All Rights Reserved.