เชียงราย–เชียงใหม่ชิงธง “Medical Hub เหนือ”  วิเคราะห์โอกาสตั้ง HEI ต่างชาติ–ขยายศักยภาพบริการสุขภาพ เชื่อม GMS

เชียงราย,23 พฤศจิกายน 2568 – จากความสำเร็จที่ไทยขึ้นแท่นผู้นำ Medical & Wellness Tourism ของอาเซียน รัฐบาลเดินเกมต่อด้วยการ “เปิดพื้นที่อีก 4 โซน” ให้สถาบันอุดมศึกษาศักยภาพสูงจากต่างประเทศ (High-Potential Foreign HEIs) เข้ามาตั้งหลักสูตร–วิจัยเชิงลึก ยุทธศาสตร์นี้จับตาพิเศษที่ “ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC)” ซึ่งเชียงใหม่ถูกมองเป็นตัวเต็งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่ “เชียงราย” มีน้ำหนักเชิงยุทธศาสตร์สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งการผลิตแพทย์ MFU–สธ., โครงการโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ที่ผ่าน EIA ส่วนต่อขยาย และบทบาท “ประตูสู่อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS)” หากออกแบบแผนพัฒนาให้ถูกจุด เมืองชายแดนแห่งนี้อาจกลายเป็น “ฐานทดสอบนวัตกรรมสุขภาพและการแพทย์แม่นยำ” ของภาคเหนือในไม่ช้า

วิเคราะห์สถานการณ์  ทำไม “เวลานี้” จึงเป็นหน้าต่างโอกาสของภาคเหนือ

  1. แรงส่งจากตลาดจริง – ปี 2566 ไทยรองรับผู้ป่วย–นักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ต่างชาติหลายล้านคน และตลาดดังกล่าวถูกประเมินว่ามีมูลค่า “หลักหมื่นล้านบาท” ต่อปี โดยนักวิเคราะห์ธุรกิจ–เศรษฐกิจไทยชี้ว่ากลุ่มลูกค้าหลักมาจากตะวันออกกลาง เพื่อนบ้าน และสหรัฐฯ ซึ่งล้วนเป็นฐานลูกค้าที่ต้องการบริการคุณภาพสูง (High-Acuity, High-Value) และสร้างเม็ดเงินต่อหัวสูงกว่าการท่องเที่ยวทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ
  2. นโยบายเชิงรุกของรัฐ – คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ “กำหนดเขตเศรษฐกิจพิเศษอื่น” เพิ่มอีก 4 พื้นที่ เพื่อรองรับการจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาต่างชาติศักยภาพสูง ภายใต้แบบจำลองความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยไทย/เอกชนไทย (Partnership Model) เป้าหมายชัด  ยกระดับคุณภาพคน–มาตรฐานหลักสูตร สร้าง Talent Pipeline เข้าสู่อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของประเทศ โดยหนึ่งในพื้นที่ที่ถูกจับตา คือ ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC) ที่เน้นบริการ–ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นแกน
  3. กรอบพัฒนา NEC ที่ “เอื้อสุขภาพ” มาแต่ต้น – เอกสารแผนพัฒนา NEC ระบุชัดว่าอุตสาหกรรมเป้าหมายของภาคเหนือรวม “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” เทคโนโลยีดิจิทัลสร้างสรรค์ และ “เทคโนโลยีการสกัด” ซึ่งเชื่อมโยงตรงกับ Bio-Wellness และ MedTech ที่ภาคเอกชนไทยกำลังก้าวรุก การวางบทบาทมหาวิทยาลัย (CMU, MFU) ให้เป็นหัวรถจักร R&D ภายใต้โมเดล Quadruple Helix ถูกกำหนดไว้แล้วในเชิงนโยบาย

ภาพใหญ่–หลักฐานเชิงประจักษ์–โอกาสที่ “จับต้องได้”

1) กำลังคนแพทย์  ดีล “MFU–สธ.–CPCE รพ.น่าน” เพิ่มกำลังผลิตแพทย์เขตสุขภาพที่ 1

  • กระทรวงสาธารณสุขลงนามกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพื่อผลิตแพทย์เพิ่มเข้าระบบ โดยจัดการเรียนชั้นปี 1–3 ที่ MFU และชั้นปี 4–6 ที่ “ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลน่าน” (นับเป็นศูนย์ที่ 7 ในเขตสุขภาพที่ 1 ต่อจาก รพ.นครพิงค์, เชียงรายประชานุเคราะห์, ลำปาง, แพร่, พะเยา, ลำพูน) นโยบายภาพรวมของ สธ. มุ่งให้อัตราส่วนแพทย์ต่อประชากรไปถึง 1:650 ตามยุทธศาสตร์ 10 ปี
  • ความร่วมมือดังกล่าว เริ่มรับนักศึกษาแพทย์ปีการศึกษา 2570 จำนวน 20 คน และ MFU เดินหน้าพัฒนา “โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง” ให้เป็นสถานฝึกทางคลินิกหลัก สะท้อน “โครงคน” ด้านสุขภาพของเชียงรายที่กำลังขยายฐานอย่างมีทิศทาง

มุมผลกระทบเชิงพื้นที่ การมีฐานฝึกคลินิกกระจายรอบเชียงราย–น่าน ทำให้ clinical rotation เชื่อมโยงชุมชนภูเขา–ชายแดน เกิดกรณีศึกษาโรคเฉพาะถิ่น–เวชศาสตร์ชุมชนจำนวนมาก ซึ่งเป็น “ทุนความรู้” ที่มหาวิทยาลัยต่างชาติสายจีโนมิกส์/เวชศาสตร์เขตร้อนสนใจ หาก HEI ต่างชาติถูกเชิญมาตั้ง “โปรแกรมร่วม” ในเชียงราย งานวิจัยเชิงพื้นที่จะเกิดประโยชน์ร่วม (co-benefits) ทั้งด้านวิชาการ เศรษฐกิจ และสุขภาพประชาชน

2) ขยายโครงสร้างบริการ  “โรงพยาบาลกรุงเทพ-เชียงราย (ส่วนต่อขยาย)” ผ่าน EIA – ก้าวสู่ขนาดใหญ่และบริการซับซ้อน

  • เอกสารจากหน่วยงานกำกับชี้ว่า “รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)” ของ โครงการส่วนต่อขยายโรงพยาบาลกรุงเทพ-เชียงราย ได้รับ “มติให้ความเห็นชอบรายงาน” แล้ว (เลขอ้างอิงตามหนังสือแจ้งมติ) ซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญก่อนเข้าสู่เฟสก่อสร้างเต็มรูปแบบ.

หนังสือแจ้งมติ (ฉบับเจ้าของโครง…

  • แผนพัฒนาโครงการระบุการเพิ่มจำนวนเตียงจากโรงพยาบาลขนาดกลาง ไปสู่ขนาดใหญ่ พร้อมอาคารบริการ 8 ชั้น + ชั้นใต้ดิน และอาคารสนับสนุน (ที่พักแพทย์, ห้องผ้า, ระบบจัดการมูลฝอย) เพื่อรองรับเคสความซับซ้อนสูงมากขึ้น สอดคล้องทิศทางตลาดที่เน้น “หัตถการรายได้สูง” และแพทย์เฉพาะทางในภาคเหนือ.

มุมยุทธศาสตร์เชียงราย

เมื่อโครงสร้างเตียง–ศูนย์เฉพาะทางเอกชนขยาย และ “โครงคน” จาก MFU เติบโต เมืองจะมี “ฐานรองรับ” สำหรับ HEI ต่างชาติ ที่ต้องการตั้ง teaching center/clinical research node นอกเมืองหลวง ด้วยต้นทุนที่แข่งขันได้และ “โจทย์โรค” ที่หลากหลายต่างจากศูนย์กลางอย่างเชียงใหม่

3) เชียงรายในฐานะ “ประตู GMS”  เชื่อมผู้ป่วยข้ามแดน–ทดสอบนวัตกรรมสาธารณสุขพื้นที่สูง

  • เชียงรายเป็นเมืองชายแดนที่เชื่อม เมียนมา–ลาว–จีนตอนใต้ การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยข้ามแดนเพื่อเข้าถึงการรักษาคุณภาพสูงในไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โครงสร้างบริการภาคเอกชนที่กำลังขยาย กับเครือข่าย รพ.รัฐ (รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์) ทำให้เชียงรายเป็น “ฐาน hub-and-spoke” ของบริการเฉพาะทางระดับตติยภูมิที่เหมาะกับ HEI ต่างชาติสาย Global/Border Health อย่างยิ่ง
  • ในเชิงนโยบาย NEC เอง ก็วาง “เทคโนโลยีการสกัด–ดิจิทัลสร้างสรรค์–ท่องเที่ยวสุขภาพ” เป็นแกนขับเคลื่อน หากดึง HEI ต่างชาติด้าน Digital Health & MedTech มาตั้งในเชียงราย จะเกิด sandbox งานบริการ–วิจัยกับชุมชนและประชากรข้ามแดนได้เร็ว เพราะโครงสร้างราชการ–มหาวิทยาลัย–เอกชนพร้อมต่อชิ้นส่วน

เปรียบเทียบกับเชียงใหม่  จุดแข็งและ “ความร่วมมือเชิงภูมิภาค”

เป็นจริงที่ เชียงใหม่ มี “น้ำหนักโครงสร้างพื้นฐานนานาชาติ” เหนือกว่า สนามบินนานาชาติ, ฐานผู้พำนักต่างชาติ, เครือโรงพยาบาลเอกชน, และสถานะ Wellness City ที่ถูกผลักดันในระดับจังหวัดอย่างต่อเนื่อง จึงมักถูกประเมินว่าเป็น “ตัวเต็ง” ของภาคเหนือสำหรับการตั้ง HEI ต่างชาติด้านสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

อย่างไรก็ดี จุดแข็งของเชียงใหม่ ไม่จำเป็นต้องไปทับซ้อน กับบทบาท “เชียงราย” หากออกแบบเป็น เครือข่ายเหนือบน–เหนือล่าง ดังนี้

  • เชียงใหม่ เป็น “ฐานวิจัยกลาง–หลักสูตรนานาชาติ–การเรียนรู้ขั้นสูง” (เช่น หลักสูตรบัณฑิตศึกษาด้าน Digital Health/Integrated Wellness Management ร่วมกับเอกชนและโรงแรมสุขภาพระดับนานาชาติ)
  • เชียงราย เป็น “ฐานคลินิก–ภาคสนาม–นวัตกรรมรับใช้พื้นที่สูงและชายแดน” ของหลักสูตรร่วม (clinical electives, community medicine, cross-border health, field trials ด้าน AI/tele-health)

โมเดลนี้จะเปลี่ยนภาคเหนือจาก “แข่งขันอย่างโดดเดี่ยว” เป็น “ร่วมมือ–เสริมบทบาท” เชื่อมพรมแดน GMS และยกระดับประเทศไทยสู่ Regional Education & Health Hub ตามที่ ครม. ตั้งเป้า

สถิติ–เทรนด์ตลาด  โอกาสเชิงพาณิชย์ที่หนุนการศึกษา–วิจัย

  • ภาพรวมอุตสาหกรรมบริการแพทย์เอกชนและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพถูกประเมินว่าขยายตัวต่อเนื่อง โดยวงเสวนาเศรษฐกิจรายใหญ่ของไทยชี้ยอดมูลค่าตลาด ราว 2.9 หมื่นล้านบาทในปี 2566 และแนวโน้มเติบโตต่อจากดีมานด์ผู้สูงอายุ–ต่างชาติ โดยเฉพาะตะวันออกกลางและสหรัฐฯ ที่เน้นคุณภาพบริการระดับสากล
  • วงวิชาการไทยยังประเมินจำนวน “ผู้ป่วยต่างชาติ” ในระบบบริการสุขภาพไทยระดับ “หลายล้านคน/ปี” ต่อเนื่อง ซึ่งตอกย้ำว่า supply ด้านบุคลากร–ศูนย์เฉพาะทาง–นวัตกรรม จะเป็นคอขวด หากไม่เร่งเพิ่มกำลังผลิตและยกระดับสมรรถนะในภูมิภาค

ข้อเสนอเชิงนโยบาย “เพื่อเชียงราย” (และเหนือทั้งภูมิภาค)

  1. ดึง HEI ต่างชาติที่ตรง pain point ของพื้นที่Digital Health, AI in Healthcare, Tele-medicine, MedTech, เวชศาสตร์ชุมชน–ชายแดน, Bio-Wellness/Extraction Technology (สอดรับ NEC) เพื่อสร้างคน–งานวิจัย–ธุรกิจใหม่ในห่วงโซ่คุณค่าเดียวกัน
  2. ออกแบบ “Campus คู่แฝด” เชียงใหม่–เชียงราย – หลักสูตรเดียวกันแต่สองบทบาท  เชียงใหม่เป็น Global Classroom & Innovation Core, เชียงรายเป็น Clinical-Community Lab ที่ทำวิจัยภาคสนามกับเครือข่าย รพ.รัฐ–เอกชน–หมู่บ้านบนพื้นที่สูง/ชายแดน
  3. เชื่อมเอกชนเข้ามาตั้ง “ศูนย์เฉพาะทาง–Sandbox” – อาศัยการขยายตัวของกรุงเทพ-เชียงราย (หลังผ่าน EIA) สร้างคลัสเตอร์ Spine/Neuro-Intervention–Imaging–Pain Clinic และแพทย์แม่นยำ ร่วมกับศูนย์/สถาบันของ HEI ต่างชาติ เพื่อลดช่องว่างเคสส่งต่อไปกรุงเทพฯ และเพิ่ม case-mix index ในภูมิภาค.
  4. ทุนวิจัยข้ามแดน & ข้อมูลสุขภาพชายแดน – ตั้งกองทุนวิจัยร่วม “TH-GMS Border Health” รองรับโครงการเชิงพื้นที่ (วัณโรค, ไข้มาลาเรีย, non-communicable diseases ในแรงงานเคลื่อนย้าย) และดาต้าพลatformเพื่อการเรียนรู้ของ AI ด้านระบาดวิทยาแบบเรียลไทม์
  5. โครงสร้างจูงใจ HEI – จัดสรรพื้นที่/สิทธิประโยชน์ในโซนเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ พร้อมมาตรการภาษีอุปกรณ์วิจัย–วีซ่าระยะยาวนักวิจัย–อาจารย์ เพื่อเร่งดึง “พันธมิตรระดับโลก” เข้าเครือข่ายเหนือไทยทั้งแพ็กเกจเดียว (Chiang Mai–Chiang Rai package)

บทสรุปเชิงนโยบาย

“เชียงใหม่” อาจเป็น ตัวเต็งด้านโครงสร้างพื้นฐานนานาชาติ สำหรับการตั้ง HEI ต่างชาติในภาคเหนือ แต่ “เชียงราย” คือ ตัวจริงด้านสนามปฏิบัติการเชิงพื้นที่ ที่พร้อมโอบรับงานวิจัย–บริการสุขภาพดิจิทัล–สุขภาพชายแดน–แพทย์แม่นยำ ด้วยแรงส่ง 3 แกน: (1) ความร่วมมือผลิตแพทย์ MFU–สธ. ที่ขยายกำลังคนตรงพื้นที่ (2) โครงการโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ที่ผ่าน EIA และจะยกระดับความสามารถรับเคสซับซ้อน (3) บทบาทเมืองชายแดนเชื่อม GMS ซึ่งเอื้อต่อการเป็น “Clinical-Community Lab” ระดับภูมิภาค

หากรัฐบาล “ล็อกแพ็กคู่เชียงใหม่–เชียงราย” ให้เป็น เครือข่าย HEI ต่างชาติ ที่บทบาทแตกต่างแต่เสริมกัน ไทยจะไม่เพียงรักษาตำแหน่ง Medical & Wellness Tourism ของอาเซียน แต่ยังยกระดับเป็น Regional Education & Health Innovation Hub ที่เชื่อมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับจีนตอนใต้ได้อย่างมีกลยุทธ์ และผลลัพธ์จะตกกับประชาชนเหนือบนอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC)
  • เชียงใหม่ Wellness City – ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่ (ประกาศ/กิจกรรมผลักดัน).
  • กระทรวงสาธารณสุข–มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง” ผลิตแพทย์เขตสุขภาพที่ 1 และศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกโรงพยาบาลน่าน
  •  SCB EIC: Health & Wellness Mega Trend 2023–2024
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News