
เชียงราย, 11 พฤศจิกายน 2568 — เมื่อ “ตัวเลขความคืบหน้า” ปะทะ “คุณภาพชีวิตรายวัน” เมืองกำลังขยับสู่เป้าหมายใหญ่อีกครั้ง ผ่านโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐภูมิใจ—โครงการก่อสร้างทางลอดและปรับปรุงถนนบริเวณแยกศูนย์ราชการ (แยก อบจ./ท.6) สายชร.1023 โดยกรมทางหลวงชนบท (ทช.) วงเงิน 849.800 ล้านบาท กำหนดก่อสร้าง ปี 2567–2570 ซึ่งล่าสุด “คืบหน้า ~31% เร็วกว่าแผน” ขณะเร่งทำโครงสร้างทางลอดและผนังคอนกรีตเสริมเหล็ก เพื่อปลดล็อกคอขวดหน้าสนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวงและหนุนเศรษฐกิจการขนส่ง-ท่องเที่ยวภาคเหนือตอนบน
แต่ในอีกฟากหนึ่งของความก้าวหน้า—บนผิวถนนเดียวกัน—คือ “มหาฝุ่น-หลุม-ความมืด-ป้ายไม่ชัด” ที่ผู้ใช้ถนนและผู้ปกครองหน้า รร.เทศบาล 6 ต้องเผชิญทุกวัน เสียงสะท้อนในชุมชนออนไลน์ “จาวเจียงฮาย New.V3” ชี้ชัดว่า ความเดือดร้อนนั้น “เห็นและดมได้” ตั้งแต่เวลารับ-ส่งเด็กจนถึงช่วงค่ำ ซึ่งไฟส่องสว่างไม่เพียงพอและแนวกั้นพื้นที่ก่อสร้างยังสับสน
นี่คือ ความขัดแย้งเชิงนโยบาย ที่ไม่ใช่ “เอา-ไม่เอาโครงการ” หากแต่ถามว่า “อะไรควรทำก่อน อะไรควรหยุดชั่วคราว และใครรับผิดชอบ” เพื่อให้ความเจริญระยะยาวไม่แลกกับสุขภาวะปัจจุบันของพลเมือง โดยเฉพาะเด็ก-คนทำงานที่ต้องผ่านจุดก่อสร้างวันละหลายครั้ง
ภาพรวมโครงการ ขอบเขต-เหตุผล-เส้นตาย
ตามเอกสาร/แถลง ทช. โครงการนี้ออกแบบเป็น อุโมงค์ลอดทางแยก 4 ช่องจราจร ความยาวประมาณ 425.50 เมตร พร้อมงาน ขยายสะพานข้ามแม่น้ำกก ให้กว้างขึ้นตลอดช่วง ~410 เมตร ปรับปรุงถนน ติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างและสาธารณูปโภค รวมระยะทางดำเนินการราว 1.635 กม. เป้าประสงค์หลักคือ แก้คอขวดหน้าสนามบิน และรองรับการเติบโตเมือง-ท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยตั้งธง เสร็จปี 2570 หากคุมงานได้ตามแผนปัจจุบันที่ “เร็วกว่าแผน”
ทช.ระบุด้วยว่า ได้ “กำชับผู้รับจ้าง-ผู้ควบคุมงาน” ให้ติดตั้ง ป้ายเตือน-ป้ายลดความเร็ว-สัญญาณไฟกะพริบ-อุปกรณ์ความปลอดภัย ให้สังเกตเห็นชัดเพื่อความปลอดภัยระหว่างการเดินทางของประชาชนในพื้นที่—ข้อความที่ฟังดู “ครบ” บนกระดาษ แต่ชาวเมืองจำนวนมากบอกว่า “ไม่ครบเมื่อยืนอยู่หน้างานจริง”
เสียงหน้างาน บทเรียนที่กำลังก่อตัวทุกเช้าเย็น
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ใช้ถนนหน้า อบจ./รร.เทศบาล 6 โพสต์รูป-ข้อความลักษณะคล้ายกัน—ฝุ่นลอยหนา, เศษทราย-หิน-เหล็ก, หลุม-ทางต่างระดับ, กรวยไม่พอ, ป้ายไม่ชัด, ไฟไม่พอช่วงกลางคืน บางรายอ้าง “รถตกท่อ” และ “ลื่นเพราะทรายไหลมากอง” พร้อมเรียกร้อง รถน้ำล้างถนน/รถดูดฝุ่นเป็นกิจจะลักษณะ โดยเฉพาะ “ช่วงก่อนเลิกเรียน” เพื่อลดความเสี่ยงเด็กสูดฝุ่นสะสม
“สงสารเด็กๆ รถติดไม่พอมาโดนฝุ่นอีก… ฝุ่นตลบเวลารถลงจากสะพาน… ควรมีรถน้ำล้างถนนทุกครั้งหลังทำเสร็จ เหมือนจังหวัดอื่นๆ… กรวยกั้น-ไฟส่องสว่างให้ชัด โดยเฉพาะกลางคืน” — ความเห็นจากผู้ใช้ถนนรายหนึ่ง
แม้จะเป็นการบอกเล่าจากชุมชนออนไลน์ ไม่ใช่รายงานราชการ แต่ด้วย ความถี่-ความสอดคล้องของประเด็น และ จุดเสี่ยงซ้ำ ๆ (หน้าโรงเรียน-ช่วงลงสะพาน-หน้า อบจ.) ก็เพียงพอให้เกิด “ธงเชิงปฏิบัติ” ว่าหน่วยงานรัฐ-ผู้รับจ้างควร ยกระดับมาตรการหน้างานทันที แยกจากตารางงานเทคโนโลยี/วิศวกรรม
มาตรฐานอากาศ เส้นแบ่งที่ตัวเลขอธิบายได้
ในทางสาธารณสุข “ฝุ่นจากงานก่อสร้าง” เป็นแหล่งกำเนิดสำคัญของ PM10/PM2.5 ที่กระทบระบบหายใจโดยตรง ประเทศไทยปรับมาตรฐาน PM2.5 (24 ชม.) เป็น 37.5 µg/m³ มีผลปี 2566 และปรับเกณฑ์ AQI ให้เข้มขึ้น ขณะเดียวกัน WHO 2021 แนะนำค่าที่เข้มกว่ามากที่ 15 µg/m³ (24 ชม.) เพื่อปกป้องกลุ่มเสี่ยง (เด็ก-ผู้สูงอายุ-ผู้ป่วยเรื้อรัง) ความต่างของมาตรฐานนี้ชี้ว่า “แม้ไม่เกินเกณฑ์ไทย” ก็ยังไม่แปลว่าปลอดความเสี่ยงสุขภาพโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อรับสัมผัสซ้ำทุกวันระหว่างก่อสร้างยาวนานหลายปี
ดังนั้น มาตรการควบคุมฝุ่นหน้างาน เช่น รถน้ำล้างถนนสม่ำเสมอ, รถดูดฝุ่น, ผ้าใบคลุมกองวัสดุ, ล้างล้อรถบรรทุกก่อนออกถนนสาธารณะ, แนวกั้นกันฝุ่น, ทำความสะอาดทางเท้า-ไหล่ทาง ไม่ใช่ “ของสวยงาม” แต่เป็น เส้นแบ่งระหว่างความคืบหน้าโครงการ กับคุณภาพชีวิตที่รับได้ของพลเมือง
ใครควรทำอะไร “ทันที” โรดแมปแก้ปัญหาระยะสั้น
1.ทช./ผู้รับจ้าง (เจ้าของงาน/ผู้ดำเนินการ)
2.จังหวัด-อบจ./เทศบาล (เจ้าบ้าน/ผู้ประสาน)
3.โรงเรียน-ชุมชน (ผู้ได้รับผลกระทบ)
แล้ว “อะไรควรหยุด-อะไรควรไปต่อ” การจัดลำดับในเมืองที่มีงานใหญ่หลายจุด
ความเห็นหนึ่งที่สะท้อนกังวลคือ “เดือนหน้าจะมีงานดอกไม้ริมน้ำกก ใกล้พื้นที่ก่อสร้าง ทำไมจึงจัดซ้อนช่วงรถติดหนัก” นี่ไม่ใช่การคัดค้านกิจกรรมท่องเที่ยว หากเป็นคำถามเรื่อง การจัดลำดับเวลาและทรัพยากร เมืองที่เดินหน้าหลายวาระพร้อมกัน—งานโครงสร้างพื้นฐาน, อีเวนต์ใหญ่, ดันซอฟต์พาวเวอร์—จำเป็นต้องมี “ตัวช่วยชั่งน้ำหนักผลลัพธ์-ต้นทุนสังคม” เช่น
ตัวชี้วัดใหม่ เร็วกว่าแผน ≠ ดีพอ หากยังไม่ “ปลอดภัย–ไร้ฝุ่น”
บทเรียนจากหลายเมืองชี้ว่า KPI งานก่อสร้าง ที่เน้น “%คืบหน้า” เพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพออีกต่อไป เมืองควรผูก “ความเร็ว” เข้ากับ ตัวชี้วัดด้านความปลอดภัยและอากาศ เช่น
การประกาศ “31% เร็วกว่าแผน” จึงควรมี “ดัชนีคู่” ว่า ณ วันเดียวกันนั้น เมือง “ปลอดภัยกว่าเมื่อวาน-อากาศสะอาดกว่าเมื่อวาน” มากน้อยเพียงใด ไม่ใช่แค่ “งานก้าวหน้า” แต่ “คนอยู่ได้”
คำถามสุดท้ายที่เมืองต้องตอบ “เราได้ถามชาวเชียงรายแล้วหรือยัง?”
ผู้สื่อข่าวพบว่า แม้ประชาชนเข้าใจ “ความจำเป็นของโครงสร้างพื้นฐาน” แต่ก็เรียกร้อง สิทธิขั้นพื้นฐาน ระหว่างรอคอย ได้แก่ ถนนที่สะอาด-ปลอดภัย-มีสัญญาณเตือนที่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะหน้าโรงเรียน-หน้า อบจ. ซึ่งเป็น “หน้าบ้านราชการ” เอง
ในเชิงธรรมาภิบาล เวทีสื่อสารรายสัปดาห์ ระหว่าง ทช./จังหวัด/ท้องถิ่น/โรงเรียน/ชุมชน—ที่เปิดเผยตารางงาน, จุดเสี่ยง, งานแก้ไข—จะ ลดช่องว่างความไว้ใจ และทำให้ประชาชนรู้สึกว่า “เสียงของเขาแปรเป็นปฏิบัติการจริง” ไม่ใช่เพียงตัวเลขบนสไลด์
ตรงกลางของ “รัฐ-ชาวเชียงราย” เริ่มต้นที่ “ความปลอดภัย-สุขภาวะ”
รัฐมีเหตุผลเรื่องความเจริญระยะยาว เมืองมีความฝันเรื่องเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว แต่ จุดตั้งต้นเดียวที่ตรงกัน คือ “ประชาชนต้องปลอดภัยและหายใจได้สะดวก” วันนี้—ไม่ใช่รอปี 2570
คำตอบเชิงปฏิบัติจึงไม่ใช่ “หยุดหรือไปต่อ” แบบศูนย์-หนึ่ง หากเป็น “ไปต่ออย่างมีวินัยหน้างาน” โดย
เชียงรายจะ “ผ่าทางตัน” ได้ เมื่อเรา ไม่ปล่อยให้ความเจริญวิ่งแซงคุณภาพชีวิต และกล้ากำหนด KPI ที่ยึดพลเมืองเป็นศูนย์กลาง ควบคู่ ไปกับเส้นตายวิศวกรรม
โครงการทางลอดแยกศูนย์ราชการ (ชร.1023), อ.เมือง จ.เชียงราย
ไม่ปฏิเสธความจำเป็นของโครงสร้างพื้นฐาน แต่ย้ำว่าความเร็วของโครงการต้อง “ล็อกคู่” กับมาตรฐานความปลอดภัย-อากาศสะอาดที่ตรวจสอบได้ หากทำได้ เชียงรายจะไม่ต้องเลือกระหว่าง “ความหวังระยะยาว” กับ “ความเดือดร้อนวันนี้”—เพราะเมืองสามารถทำทั้งสองอย่างได้พร้อมกัน ด้วยวินัยและความโปร่งใส
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.