
เชียงราย – การเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 7 จังหวัดเชียงราย ในวันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน 2568 ไม่ใช่แค่การเติมเต็มตำแหน่งที่ว่างลงเท่านั้น หากแต่เป็น “สนามทดสอบอารมณ์ทางการเมือง” ของภาคเหนือ และเป็นเครื่องชี้วัดว่าประชาชนจะเลือกพลังของรัฐบาลที่ดำรงตำแหน่ง หรือโอกาสของแนวคิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในสภาไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศนี้ด้วย โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งยืนยันวันหย่อนบัตรและกำหนดช่วงรับสมัครไว้ชัดเจนแล้ว ระหว่าง 13–17 สิงหาคม และลงคะแนนจริง 14 กันยายน เวลา 08.00–17.00 น. ตามประกาศอย่างเป็นทางการของ กกต. และสื่อกระแสหลักหลายสำนักที่รายงานตรงกัน
จุดเริ่มต้นของศึก เก้าอี้ที่ว่างจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
เก้าอี้ ส.ส. เขต 7 ว่างลงภายหลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ให้ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส. และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี จากกรณีเกี่ยวข้องกับการเสนอและแปรญัตติงบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร อันเข้าข่ายฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 เหตุการณ์นี้สั่นสะเทือนสมดุลการเมือง และเปิดฉากศึกเลือกตั้งซ่อมในทันทีตามกลไกกฎหมายของไทย
สนามจริงอยู่ตรงไหนแผนที่การเมืองของ “เขต 7”
กกต. ระบุขอบเขตของ “เขต 7” ครอบคลุมพื้นที่หลายอำเภอชายแดนและลุ่มน้ำโขง ได้แก่ อำเภอแม่จัน (เฉพาะ ต.จันจว้า และ ต.จันจว้าใต้), อำเภอเชียงแสน, อำเภอดอยหลวง, อำเภอเชียงของ (เฉพาะ ต.ครึ่ง, ต.ศรีดอนชัย, ต.ริมโขง, ต.เวียง, ต.สถาน และ ต.ห้วยซ้อ) และอำเภอเวียงแก่น ข้อมูลนี้สะท้อนภูมิทัศน์ที่หลากหลาย ทั้งเมืองชายแดน เกษตรกรรม และการค้าชายแดน ที่จะมีน้ำหนักต่อประเด็นหาเสียงของผู้สมัครทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจน
ผู้ท้าชิงตัวจริง“สง่า พรมเมือง” ปะทะ “สุทัศน์ ยาละ”
สมรภูมิครั้งนี้มีผู้สมัครเด่นสองคนที่ประกาศตัวชัดเจนแล้ว การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้เป็นการปะทะกันของสองแนวทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยมีผู้สมัครทั้งสองเป็นตัวแทนของกระแสความคิดหลักสองขั้วในสังคม
ตัวเลขที่สะท้อนอดีตภาพรวมผลเลือกตั้งปี 2566 ในเชียงราย
เมื่อมองย้อนกลับไปในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 ทั้งจังหวัดเชียงรายมีผู้มาใช้สิทธิสูงกว่า 77% ขณะที่การจัดสรรที่นั่งแบบแบ่งเขตตกเป็นของพรรคเพื่อไทย 4 เขต และพรรคก้าวไกล 3 เขต ค่าสัดส่วนคะแนนรวมทั้งจังหวัดของสองพรรคใหญ่สะท้อนการแข่งขันที่สูสีและพลิกผันได้ในหลายเขต ตัวเลขดังกล่าวช่วยให้เห็น “พื้นฐาน” ที่ผู้สมัครต้องคำนวณยุทธศาสตร์หาเสียงในสนามซ่อมครั้งนี้อย่างละเอียดรอบคอบ
เสียงประชาชนในพื้นที่กำลังถามอะไร
เมื่อโฟกัสลงพื้นที่ “เขต 7” จะพบโจทย์ร่วมของชุมชนชายแดนหลายประการ ได้แก่ รายได้เกษตรกรจากพืชเศรษฐกิจ เสถียรภาพราคาสินค้า การค้าชายแดนกับ สปป.ลาว และเมียนมา โครงสร้างพื้นฐานถนนและสะพาน รวมถึงบริการสาธารณสุขในพื้นที่ภูเขาและลุ่มน้ำโขง ประเด็นเหล่านี้แม้ไม่ใช่ชุดนโยบายใหม่ทั้งหมด แต่เป็น “ความคาดหวังเดิมที่ต้องแก้ให้เห็นผล” ผู้สมัครจึงต้องตอบด้วยโรดแมปที่จับต้องได้ ไม่ใช่คำมั่นลอยๆ เท่านั้น
คำถามที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเริ่มขบคิดคือ
คำถามสองชุดนี้จึงเป็นเหมือนเครื่องชั่งน้ำหนักทางการเมืองของเขตชายแดนภาคเหนือในห้วงเวลาที่ซับซ้อน
ยุทธศาสตร์ที่ปะทะกัน “ฝากรัฐ” vs “การเปลี่ยนแปลง”
พรรคเพื่อไทย เดินเกมตามจุดแข็งดั้งเดิมของพรรคใหญ่ คือเครือข่ายท้องถิ่น เน็ตเวิร์กนักการเมืองฐานราก และศักยภาพการเป็นรัฐบาลกลางที่เชื่อมงบประมาณและนโยบายสาธารณะลงพื้นที่ได้รวดเร็ว รายงานข่าวชี้ว่าทีมยุทธศาสตร์ส่วนกลางเริ่มจัดทัพลงพื้นที่แล้ว เพื่อหนุนการรณรงค์ของผู้สมัครอย่างเป็นระบบตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
พรรคประชาชน วางตัวเป็น “ทางเลือกใหม่” ใช้กลยุทธ์สื่อสารตรงกับประชาชนในพื้นที่ ผสานแพลตฟอร์มออนไลน์และการพบปะขนาดย่อม สร้างมาตรวัดผลตอบรับแบบเรียลไทม์ พรรคประกาศชัดว่าจะเสนอวิธีทำงานสภาที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และยึดโยงกับข้อมูลสาธารณะให้มากที่สุด เพื่อจับฐานคนรุ่นใหม่และผู้ที่ผิดหวังกับการเมืองแบบเดิม ซึ่งสอดรับกับกระแสข่าวเปิดตัวผู้สมัครที่สื่อระดับชาติและท้องถิ่นนำเสนอในสัปดาห์นี้
โครงเรื่องทางการเมืองที่ “เขต 7” ต้องแบก
สนามซ่อมครั้งนี้มีหลังฉากเป็นคำวินิจฉัยระดับประเทศที่ลากเส้น “มาตรฐานจริยธรรมงบประมาณ” อย่างชัดเจน กรณีของอดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎรทำให้สังคมตั้งคำถามเรื่องการใช้งบสาธารณะเพื่อสร้างความนิยมในพื้นที่ เมื่อมาตรฐานถูกย้ำด้วยเสียงข้างมากของศาล 6 ต่อ 3 ผลทางการเมืองย่อมกว้างไกลกว่าเขตเดียว และสะเทือนภาพลักษณ์ของพรรคแกนนำรัฐบาลในเชิงสัญลักษณ์ด้วยตามการวิเคราะห์ของสื่อการเมืองหลายสำนัก
ดังนั้น “เขต 7” จึงเป็นเวทีที่พรรคเพื่อไทยต้องแสดงให้เห็นว่า ฐานเสียงเดิมยังเหนียวแน่น และประชาชนยังไว้ใจให้พรรคขับเคลื่อนนโยบายระดับพื้นที่ต่อไป ขณะเดียวกัน พรรคประชาชนต้องพิสูจน์ว่าความไม่พอใจทางการเมืองสามารถแปลงเป็น “คะแนนจริง” ได้ในฐานที่มั่นของฝ่ายรัฐบาล
กระดานคะแนนเริ่มขยับไทม์ไลน์สำคัญที่ต้องรู้
บทเรียนจากสถิติ ทำไม “อัตราไปใช้สิทธิ” จึงชี้ขาด
ข้อมูลปี 2566 ระบุว่าจังหวัดเชียงรายมีผู้มาใช้สิทธิมากกว่า 77% ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยประเทศ หากเขตชายแดนที่มีการเดินทางยากลำบากอย่าง “เขต 7” รักษาอัตรานี้ไว้ได้ ผลจะสะท้อนเจตจำนงประชาชนอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกัน โครงสร้างผู้มีสิทธิวัยทำงานและเกษตรกรที่พึ่งพาราคาพืชผล จะเป็นตัวกำหนดจุดชนะเชิงยุทธศาสตร์ของผู้สมัครแต่ละฝ่ายอย่างมีนัยสำคัญ เพราะการเลือกตั้งซ่อมมักชี้วัดด้วย “การเคลื่อนพลของฐาน” มากกว่ากระแสลมบนเพียงอย่างเดียว
มุมมองเชิงนโยบายประเด็นที่ควรถูกถามบนเวทีหาเสียง
เหตุผลเชิงกลยุทธ์อะไรคือ “ตัวแปรชี้ผล” ในสนามซ่อม
เส้นทางสู่วันเลือกตั้งบริบทที่ต้องเก็บตกรายวัน
ในเชิงข่าว กกต. รายงานความพร้อมด้านงานจัดการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง ทั้งระดับประเทศและระดับจังหวัด รวมถึงการย้ำปฏิทินและขั้นตอนร้องเรียนผิดกฎหมายเลือกตั้ง เพื่อให้การหย่อนบัตรเป็นไปอย่างสุจริตเที่ยงธรรม ข่าวเครือข่ายสื่อหลักระบุสอดคล้องกันถึงจำนวนผู้สมัครในแต่ละวัน และการขยับของทีมยุทธศาสตร์พรรคใหญ่ ซึ่งสะท้อนความเข้มข้นที่จะพุ่งขึ้นต่อเนื่องจนถึงวันโค้งสุดท้าย
“เชียงราย เขต 7” เป็นมากกว่าการทดแทนเก้าอี้
การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้เป็นบททดสอบว่า ประชาชนให้ความสำคัญกับ “ผลลัพธ์เร่งด่วนจากพลังรัฐบาล” หรือ “มาตรฐานใหม่ของการเมืองไทย” ที่ยกระดับกลไกถ่วงดุลและความโปร่งใส ผลลัพธ์ที่ออกมาจะส่งสัญญาณถึงทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจน หากพรรคเพื่อไทยชนะ จะยืนยันพลังฝ่ายรัฐบาลในฐานที่มั่นเดิม และเพิ่มทุนทางการเมืองสำหรับขับเคลื่อนนโยบายระดับประเทศ แต่หากพรรคประชาชนคว้าชัย จะเป็นสัญลักษณ์ว่าพื้นที่ดั้งเดิมพร้อมเปิดทางให้ความเปลี่ยนแปลง และบังคับให้พรรคใหญ่ต้องปรับยุทธศาสตร์สู้ศึกใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งใน “เขต 7” จึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในวันที่ 14 กันยายนนี้ เสียงของท่านจะบอกประเทศว่าควรเดินไปทิศทางใด ระหว่างการบริหารเชิงประสิทธิภาพที่ต่อยอดได้ทันที กับการปฏิรูปมาตรฐานการเมืองที่ยั่งยืนในระยะยาว—และคำตอบนั้นจะสะท้อนผ่านบัตรเลือกตั้งใบเดียวของทุกคน
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.