เหมืองทองริมแม่น้ำกกฝั่งพม่า สร้างผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ชาวบ้านหวั่นกระทบน้ำประปาเชียงราย

เชียงราย, 16 มีนาคม 2568 – สำนักข่าวชายขอบรายงานว่า พื้นที่ริมแม่น้ำกกตอนใต้ของรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ใกล้ชายแดนไทย ด้านอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ กำลังเผชิญปัญหาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองทองคำ โดยมีการระบุว่า กลุ่มทุนจีนได้รับอนุญาตจากกองกำลังว้า (United Wa State Army – UWSA) ให้ดำเนินกิจการเหมืองแร่บริเวณนี้กว่า 23 บริษัท ซึ่งส่งผลให้แม่น้ำกกขุ่นข้นและอาจมีสารปนเปื้อนลงสู่ระบบนิเวศ

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น

สต.ทศพร สามหน่อวงศ์ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 14 ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า สภาพน้ำในแม่น้ำกกเปลี่ยนเป็นสีขุ่นผิดปกติ อันเป็นผลมาจากกระบวนการชะล้างแร่ของเหมืองทองคำบริเวณดังกล่าว โดยที่ผ่านมาเคยมีปัญหาสารเคมีจากอุตสาหกรรมยางพาราไหลลงแม่น้ำ ส่งผลให้น้ำมีสีขาวขุ่น และล่าสุดเมื่อเริ่มมีการทำเหมืองทองบริเวณนี้ก็ยิ่งทำให้น้ำขุ่นมากขึ้น

ชาวบ้านจากฝั่งรัฐฉานแจ้งว่า เหมืองทองตั้งอยู่ติดแม่น้ำกก และของเสียจากเหมืองถูกปล่อยลงน้ำโดยตรง ขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานภาครัฐเข้ามาตรวจสอบคุณภาพน้ำเพื่อให้คำตอบแก่ประชาชน ทำให้เกิดความกังวลอย่างมาก” สต.ทศพร กล่าว

ผลกระทบต่อสุขภาพและวิถีชีวิตของประชาชน

ขณะนี้ ประชาชนในพื้นที่ท่าตอนและบริเวณใกล้เคียงได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำกกขุ่น โดยเฉพาะผู้ที่ใช้น้ำกกเป็นแหล่งน้ำอุปโภคบริโภค พบว่าหลายคนเริ่มมีอาการ แพ้ทางผิวหนังและมีผื่นคัน หลังจากลงเล่นน้ำหรือใช้น้ำกกอาบน้ำ นอกจากนี้ ประชาชนบางส่วนต้องปรับเปลี่ยนแหล่งน้ำเพื่อความปลอดภัย โดยหันไปใช้น้ำประปาภูเขาแทน

“ปีก่อนก็เคยมีเหตุการณ์แบบนี้ และพบว่ามีประชาชนที่ลงเล่นน้ำในช่วงสงกรานต์ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจากอาการแพ้ เรากังวลว่า สงกรานต์ปีนี้อาจเกิดปัญหาแบบเดิมอีก ทางการควรเข้ามาตรวจสอบคุณภาพน้ำโดยด่วน” สต.ทศพร กล่าวเพิ่มเติม

ข้อเรียกร้องให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาแก้ไขปัญหา

สต.ทศพรและชาวบ้านในพื้นที่เรียกร้องให้ รัฐบาลไทยและหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมเข้ามาตรวจสอบคุณภาพน้ำ รวมถึงประสานงานกับรัฐบาลเมียนมาเพื่อหาทางออกที่เหมาะสมในการควบคุมการทำเหมืองที่อาจส่งผลกระทบข้ามพรมแดน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่พึ่งพาแม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำหลัก

ทั้งนี้ แม่น้ำกกถือเป็นแหล่งน้ำดิบสำคัญที่ การประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงราย ใช้ผลิตน้ำประปาให้กับประชาชนในอำเภอเมืองเชียงรายและอำเภอใกล้เคียง นอกจากนี้ ในฤดูแล้งบางส่วนของน้ำกกยังถูกนำไปใช้ผลิตน้ำประปาในอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้หลายฝ่ายวิตกกังวลเกี่ยวกับการปนเปื้อนของน้ำที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง

ภาพถ่ายยืนยันน้ำขุ่นจากการทำเหมืองทองคำ

เพจ จัดให้ มีเดีย ได้เผยแพร่ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2568 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า จุดที่แม่น้ำรวกไหลบรรจบกับแม่น้ำโขงบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ น้ำจากแม่น้ำรวกที่มีต้นทางจากแม่น้ำสาย (ในเมียนมา) มีสีขุ่นอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำโขงซึ่งยังคงมีความใสสะอาดตามฤดูกาล ปรากฏการณ์นี้มีความคล้ายคลึงกับปัญหาน้ำกกขุ่นที่กำลังส่งผลกระทบต่อพื้นที่อำเภอฝางและอำเภอเมืองเชียงราย

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายสนับสนุนการตรวจสอบและแก้ไขปัญหา

  • ประชาชนในพื้นที่ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐเร่งดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำกกและเปิดเผยข้อมูลให้ชัดเจน
  • นักสิ่งแวดล้อมเรียกร้องให้มีการดำเนินมาตรการป้องกันและเจรจากับเมียนมาเพื่อแก้ไขปัญหานี้ในระยะยาว

ฝ่ายที่มองต่างมุม

  • ผู้ประกอบการด้านการทำเหมืองมองว่า การทำเหมืองเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจท้องถิ่นในรัฐฉาน และการควบคุมเหมืองที่เข้มงวดอาจกระทบต่อรายได้ของประชาชนบางส่วน
  • เจ้าหน้าที่บางฝ่ายให้ความเห็นว่า การตรวจสอบผลกระทบข้ามพรมแดนเป็นเรื่องซับซ้อน และต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ จึงอาจต้องใช้เวลาในการแก้ไข

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • จำนวนบริษัทที่ดำเนินกิจการเหมืองทองในพื้นที่แม่น้ำกกฝั่งพม่า: 23 บริษัท (ข้อมูลจากรายงานภาคสนามของสำนักข่าวชายขอบ)
  • อัตราการปนเปื้อนของน้ำจากการทำเหมืองในภูมิภาค: รายงานจากหน่วยงานสิ่งแวดล้อมพบว่า 80% ของแม่น้ำที่อยู่ใกล้เหมืองแร่มีระดับตะกอนสูงกว่ามาตรฐาน (ข้อมูลจากองค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเมียนมา)
  • จำนวนประชาชนที่ใช้น้ำกกเป็นแหล่งน้ำประปา: กว่า 200,000 คนในจังหวัดเชียงราย (ข้อมูลจากการประปาส่วนภูมิภาค)
  • สถิติการร้องเรียนปัญหาคุณภาพน้ำในภาคเหนือ: เพิ่มขึ้น 35% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ข้อมูลจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ)

สรุป

ปัญหาการทำเหมืองทองคำในพื้นที่ต้นน้ำกกของเมียนมากำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ แม้ว่าจะยังไม่มีการยืนยันทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับระดับสารปนเปื้อนในน้ำ แต่ความเปลี่ยนแปลงของคุณภาพน้ำที่สังเกตได้ชัดเจนสร้างความกังวลในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องอาศัยการประสานงานระหว่างประเทศ รวมถึงการดำเนินมาตรการที่เหมาะสมทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดความสมดุลและยั่งยืนในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวชายขอบ / จัดให้ มีเดีย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News