เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 สำนักข่าวชายขอบรายงานจากห้องประชุมที่ว่าการอำเภอแม่สาย จ.เชียงราย โดยมี พล.ท.ณัฐพงศ์ เพราแก้ว เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร และ นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในการประชุมร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจภูมิประเทศและหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ลำน้ำสาย โดยเฉพาะปัญหาสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำลำน้ำที่ส่งผลกระทบต่อการไหลของน้ำ และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่อำเภอแม่สายในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา

ตรวจพื้นที่และวางแผนป้องกันน้ำท่วมในอนาคต

ในการประชุมครั้งนี้ได้มีการตรวจสอบพื้นที่ตลอดแนวลำน้ำสาย พร้อมหารือแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม โดยรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้นำท้องถิ่น ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนร่วมกันระหว่างประเทศไทยและประเทศเมียนมา เนื่องจากลำน้ำสายถือเป็นเส้นเขตแดนระหว่างสองประเทศ โดยเป้าหมายสำคัญคือการป้องกันไม่ให้อำเภอแม่สายประสบปัญหาน้ำท่วมในปี 2568

วางแผนแนวทางการขยายลำน้ำสาย

ในที่ประชุมได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า จำเป็นต้องมีการกำหนดความกว้างของลำน้ำสายใหม่ โดยได้ข้อเสนอเบื้องต้นว่าควรขยายลำน้ำสายให้มีความกว้างประมาณ 30 เมตร เพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดน้ำท่วมและช่วยให้การไหลของน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งขั้นตอนนี้ต้องได้รับความร่วมมือจากทั้งสองประเทศ เนื่องจากสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำมีทั้งในฝั่งไทยและฝั่งเมียนมา โดยทั้งสองฝ่ายต้องร่วมกันดำเนินการรื้อถอนและปรับพื้นที่ไปพร้อมกัน

“เป้าหมายหลักในปี 2568 คือการป้องกันไม่ให้อำเภอแม่สายประสบปัญหาน้ำท่วมอีก” พล.ท.ณัฐพงศ์ กล่าว โดยเน้นย้ำว่าการแก้ไขปัญหาครั้งนี้ต้องเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างประเทศไทยและประเทศเมียนมา เพื่อหาข้อสรุปที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย

ปัญหาสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำลำน้ำสาย-แม่น้ำรวก

การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การจัดการปัญหาน้ำท่วม แต่ยังเกี่ยวข้องกับ การจัดระเบียบสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำพื้นที่ลำน้ำ ซึ่งเป็นปัญหาที่มีมานานแล้ว โดยย้อนกลับไปเมื่อปี 2561 ทางการเมียนมาเคยเสนอให้มีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกจำนวน 13 พื้นที่ แต่ยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ เนื่องจากแนวลำน้ำได้มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ฝั่งไทยรุกล้ำไปยังฝั่งเมียนมา 6 จุด และฝั่งเมียนมารุกล้ำมายังฝั่งไทย 7 จุด

ปัญหานี้ทำให้เกิดความล่าช้าในการแก้ไขปัญหา เนื่องจากต้องมีการเจรจาระหว่างประเทศเกี่ยวกับการจัดการพื้นที่และการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ดินสาธารณะและที่เช่าของกรมธนารักษ์

เจรจาข้อเสนอแนวทางแก้ไขร่วมกับเมียนมา

จากการประชุมในครั้งนี้ ที่ประชุมได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่าควรจัดการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำสายพร้อมกันทั้งสองฝั่ง เพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างกัน โดยคณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมาเกี่ยวกับเขตแดนในช่วงแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก (ฝ่ายไทย) จะประชุมกันอีกครั้งในวันที่ 9 ตุลาคมนี้ เพื่อกำหนดท่าทีของประเทศไทยและยืนยันแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกันกับทางการเมียนมา

ร่วมกันแก้ไขปัญหาเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

ในการประชุมครั้งนี้ยังมีการเสนอให้มีการทำแผนแม่บทการจัดการน้ำร่วมกันระหว่างประเทศไทยและเมียนมา เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติในระยะยาว โดยจะมีการสำรวจและกำหนดขอบเขตที่ชัดเจน พร้อมทั้งสร้างความเข้าใจร่วมกันในระดับชุมชนและภาคประชาชน เพื่อให้ประชาชนทั้งสองฝั่งตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการลำน้ำและการป้องกันน้ำท่วม

บทสรุป: การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่อำเภอแม่สายเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน การแก้ไขปัญหาครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่การแก้ไขปัญหาด้านกายภาพของลำน้ำ แต่ต้องรวมถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ การปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง การทำความเข้าใจกับชุมชน รวมถึงการสร้างแผนป้องกันน้ำท่วมที่มีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ คณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมาเกี่ยวกับเขตแดนช่วงแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวกจะประชุมกันในวันที่ 9 ตุลาคมนี้ เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับท่าทีและแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป โดยหวังว่าการดำเนินการในครั้งนี้จะสามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในอำเภอแม่สายได้อย่างยั่งยืน และลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวชายขอบ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME