โรงไฟฟ้าขยะ “พาน–ป่าหุ่ง” ศึกใหญ่ระหว่าง “วาระแห่งชาติ” กับ “สิทธิชุมชน” เมื่อเทคโนโลยีระบบปิดต้องพิสูจน์ความไว้ใจต่อหน้าแหล่งน้ำ–โบราณสถาน

เชียงราย, 31 ตุลาคม 2568 — ความพยายามแก้ปัญหาขยะเชิงโครงสร้างด้วย “โครงการบริหารและจัดการขยะมูลฝอยชุมชนเป็นพลังงานไฟฟ้า ระบบปิดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” (Waste-to-Energy: WTE) ขององค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ป่าหุ่ง กำลังเดินทางสู่จุดตัดสินเชิงนโยบายครั้งสำคัญ หลังเวที “รับฟัง–ทำความเข้าใจ” เมื่อ 24 กรกฎาคม 2568 เปิดข้อเท็จจริงและตัวเลขที่ตรงไปตรงมาว่า แม้ “เสียงเห็นด้วย” จะเป็นข้างมาก แต่ “ความวิตก” ต่อผลกระทบด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และพื้นที่อ่อนไหว กลับยังสูงและยังต้องการคำตอบที่ชัดเจนกว่านี้จากรัฐและผู้ลงทุน (เวทีจัดที่โรงเรียนบ้านร่องคตสันปูเลย อ.พาน จ.เชียงราย เวลา 08.30–12.00 น.)

สาระสำคัญเชิงนโยบาย

  1. อย่าข้ามขั้นตอนกฎหมาย: พิสูจน์พื้นที่ “ไม่ขัด CoP–กกพ.–สธ.–มติ ครม.” ด้วยแผนที่/เอกสารโต๊ะเดียวกัน
  2. ทำให้ความโปร่งใส “จับต้องได้”: CEMs เปิดสาธารณะ–Trigger Alarm–Protocol หยุดเครื่อง–เผยแพร่ผลไดออกซิน/โลหะหนัก
  3. คืนประโยชน์ชุมชนอย่างยุติธรรม: กองทุนสิ่งแวดล้อม–ตรวจสุขภาพ–สิทธิการร่วมกำกับ–มาตรการคุ้มครองจุดเปราะบาง

จาก “จุดตั้งเดิม” ติดโบราณสถาน สู่การ “ย้ายพื้นที่” ริมทางหลวงหมายเลข 1

โครงการ WTE ของ อบต.ป่าหุ่งถูกผลักดันในฐานะกลไกหลักของ “คลัสเตอร์ 3” เพื่อรองรับขยะรวม 428.63 ตัน/วัน จาก อปท.ร่วมเครือข่าย 51 แห่ง และเปลี่ยนเป็นไฟฟ้าขนาด 9.9 เมกะวัตต์ (ขายเข้าระบบได้ 8 เมกะวัตต์) โดยใช้ขยะอย่างน้อย 500 ตัน/วัน โครงการออกแบบให้ก่อสร้างบนที่ดินเอกชนไม่น้อยกว่า 45 ไร่ และมีกรอบลงทุน ไม่ต่ำกว่า 1,900 ล้านบาท ระยะสัญญา 25 ปี ภายใต้นโยบายรับซื้อไฟฟ้าพลังงานทดแทน (VSPP ≤10 MW)

เดิม สถานที่ดำเนินการได้รับความเห็นชอบที่ หมู่ 12 บ้านห้วยประสิทธิ์ ต.ป่าหุ่ง แต่ถูก “เบรก” หลังสำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ยืนยันการมีอยู่ของ โบราณสถานสันกู่ และ กู่หัวแมน ในรัศมีที่กฎหมายและระเบียบห้ามตั้งโรงไฟฟ้า ส่งผลให้ อบต.ป่าหุ่งต้อง “ย้ายพื้นที่” ไปยังตัวเลือกใหม่ 3 แห่ง ได้แก่ ม.4 บ้านท่าหล่ม ต.ทานตะวัน, ม.6 บ้านสันไม้ฮาม และ ม.9 บ้านสุขสันติ ต.แม่เย็น ซึ่งทั้งหมดอยู่ใกล้ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 และจุดเชื่อมโยงไฟฟ้าไปสถานีไฟฟ้าพานวงจร PAN01/PAN02 ได้ภายในรัศมีขยายเขตไม่เกิน 5 กม.

กติกาก่อนเดินหน้า เพดานกฎหมาย “CoP–กกพ.–สธ.” กำหนดเส้นที่ห้ามข้าม

การพิจารณาพื้นที่ใหม่ถูกออกแบบให้ สอดคล้องประมวลหลักปฏิบัติ (Code of Practice: CoP) ปี 2565 สำหรับโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงเผาไหม้กำลังติดตั้งต่ำกว่า 10 MW ซึ่งกำหนดชัดว่า “สถานที่ตั้งต้องไม่ขัดกฎหมายผังเมือง สิ่งแวดล้อม โบราณสถาน และมติ ครม.” และ ต้องไม่ตั้งอยู่ “ใน” หรือ “ใกล้” เขตอ่อนไหวในระยะ 1 กิโลเมตร เช่น อุทยาน/เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า/โบราณสถาน เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น “แบบรับรองตนเองที่ตั้งโครงการ” ของ กกพ. ยังระบุว่า ห้ามตั้งในพื้นที่ชุ่มน้ำตามมติ ครม. และ ลุ่มน้ำชั้น 1–2 ซึ่งเชื่อมโยงกับข้อกังวลเรื่อง “หนองฮ่าง” พื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญของชุมชนในอำเภอพานโดยตรง (แม้โครงการประกาศ “ระบบปิด–Zero Discharge” แต่เพียงคำประกาศยังไม่เพียงพอต่อการตัดความเสี่ยงเชิงพื้นที่ ต้องพิสูจน์ด้วยผังและมาตรการบริหารจัดการน้ำเสียเชิงประจักษ์)

 

ด้าน หลักเกณฑ์สาธารณสุขเรื่องการฝังกลบกากเถ้าจากการเผา ยังย้ำ “ห้าม” ใช้พื้นที่ชุ่มน้ำระดับชาติ/นานาชาติ ลุ่มน้ำชั้น 1–2 เขตอนุรักษ์ หรือพื้นที่เสี่ยง และต้องคำนึงถึงสภาพธรณีที่มั่นคง (ในทางปฏิบัติ เท่ากับบังคับให้ผู้ออกแบบกำหนด “ปลายทางเถ้าหนัก–เถ้าลอย” ที่ปลอดภัย นอกเหนือจากการว่าจ้างผู้รับกำจัดที่ได้รับใบอนุญาต)

เวที “รับฟัง–ทำความเข้าใจ” เสียงส่วนใหญ่ “ยินดี” แต่ “ความกังวล” ยังไม่ตกเกณฑ์ปลอดภัยทางสังคม

เวทีรับฟัง–ทำความเข้าใจ เมื่อ 24 ก.ค. 2568 มีผู้เข้าร่วมจาก 3 ตำบลในรัศมี 3 กม. 1,552 คน (ไม่นับรวมหัวหน้าส่วนราชการ 34 คน) และส่งคืนแบบประเมิน 1,446 ฉบับ ตัวเลข “เห็นควร” ให้จัดการขยะเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 57.26% และ 56.85% “ยินดีให้ดำเนินโครงการ” ขณะที่ 23.17% ไม่ยินดี ทั้งนี้ เมื่อถาม “ความวิตกกังวลภาพรวม” มี 42.95% วิตกเล็กน้อย และ 20.54% วิตกมาก (ตัวเลขนี้สะท้อนโจทย์ด้าน “สังคมยอมรับ” โดยตรง: แม้เสียงสนับสนุนเป็นข้างมาก แต่ความไว้วางใจยังไม่ “ล็อกอิน”) ที่มา: รายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและทำความเข้าใจฯ ของ อบต.ป่าหุ่ง (ภาคผลการประชุมและแบบประเมิน)

ประเด็นกังวลหลัก จากห้องประชุมคือ

  • มลพิษอากาศ โดยเฉพาะ ไดออกซิน/ฟิวแรน, ก๊าซกรด (HCl/SOx/NOx) และ ฝุ่น PM2.5
  • น้ำชะขยะ ต่อ หนองฮ่าง (พื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญตามมติ ครม.)
  • ความเสี่ยงฉุกเฉิน หากเกิดเหตุ emergency breakdown ในรัศมีที่มีโรงพยาบาล–อนามัย–ศูนย์เด็กเล็ก

คำถามจาก นพ.ตรีวัตน์ วงศ์ขุนสุวรรณ ตัวแทนชุมชน ตอกย้ำโจทย์ กรณีเลวร้ายสุด” (worst case) ว่า รัศมีประเมินผลกระทบและมาตรการฉุกเฉิน เผื่อ” พอสอดคล้องกับความจริงของภูมิประเทศและชุมชนรอบข้างแล้วหรือไม่ (บันทึกคำถาม: ส่วน Q&A เวที 24 ก.ค. 2568 ในรายงานฯ)

คำตอบจากฝั่งโครงการ “ระบบปิด + เตาเผาตะกรับ + CEMs + Zero Discharge” คือกลไกคุมเสี่ยง

ฝั่ง อบต.ป่าหุ่ง และทีมที่ปรึกษาอธิบาย “เทคโนโลยีระบบปิด” โดยใช้ เตาเผาแบบตะกรับเคลื่อนที่ (Moving Grate) ควบคุมอุณหภูมิในเตา 800–1,200°C โดยถือหลัก >850°C นาน ≥2 วินาที เพื่อทำลาย ไดออกซิน/ฟิวแรน ก่อนส่งก๊าซไอเสียผ่าน หม้อไอน้ำ–กำจัดมลพิษ หลายชั้น (ถ่านกัมมันต์–bag filter ฯลฯ) และติดตั้ง ระบบติดตามมลพิษปล่องแบบต่อเนื่อง (CEMs) รวมถึงการออกแบบอาคารรับขยะให้เป็น ความดันต่ำ เพื่อกันกลิ่น/ฝุ่นฟุ้งกระจาย

 

ส่วน น้ำเสีย–น้ำชะขยะ โครงการยืนยันแนวทาง “Zero Discharge” คือรวบรวม–บำบัด (ชีวภาพ/RO) แล้ว หมุนเวียนใช้ภายในโครงการทั้งหมด เช่น ล้างล้อรถ/รดน้ำพื้นที่สีเขียว ไม่ปล่อยสู่แหล่งน้ำสาธารณะ” (อย่างไรก็ดี สำหรับชุมชน คีย์เวิร์ดคือ “หลักฐานเชิงพื้นที่–เส้นทางน้ำ–ความหนาแน่นการกันน้ำ” ไม่ใช่คำประกาศเพียงอย่างเดียว)

กากเถ้า จะแยกเป็น เถ้าหนัก (~15%) และ เถ้าลอย (~3%) จัดส่งบริษัทกำจัดกากที่ได้รับใบอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ประเด็นนี้ผูกกับกฎกระทรวงสาธารณสุขเรื่อง “ที่ตั้งแหล่งฝังกลบ” ซึ่งห้ามพื้นที่ชุ่มน้ำ/ลุ่มน้ำชั้น 1–2 ฯลฯ ดังอ้างข้างต้น)

เส้นบาง ๆ” ระหว่าง โครงการสาธารณะจำเป็น กับ ความชอบธรรมทางสังคม

ในเชิงนโยบาย โครงการ WTE ของคลัสเตอร์ 3 ถูกออกแบบเพื่อแก้ปัญหา “ขยะล้น/เผากลางแจ้ง–control dump” ที่กดทับคุณภาพอากาศ–น้ำ–ดินมานาน และเพื่อบูรณาการขยะใหม่ 428.63 ตัน/วัน รวมถึง ขยะสะสม 168,265 ตัน ให้เข้าสู่ระบบกำจัดที่ถูกต้อง และสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นไฟฟ้า 9.9 MW ขายเข้าระบบ 8 MW ซึ่งเป็นแนวทางที่หลายจังหวัดเดินหน้าอยู่ (ข้อเท็จจริงนี้สะท้อน “เหตุผลและความจำเป็น” ตามเอกสารรายงาน)

แต่อีกด้าน เส้น “ความชอบธรรมทางสังคม” ถูก กฎหมาย–ระเบียบ กำหนดไว้ชัด ทั้ง CoP 2565, ประกาศ กกพ. 2564, และ กติกาสาธารณสุข ว่าห้ามตั้งในเขตอ่อนไหว และต้องพิสูจน์ ไม่กระทบพื้นที่ชุ่มน้ำตามมติ ครม.” ข้อนี้ทำให้ ผังระบบน้ำ–แนวกันน้ำ–ความสูงท่อปล่อง–ผลแบบจำลองแพร่กระจายมลพิษ กลายเป็น “หลักฐาน” ที่ชุมชนต้องได้เห็น ก่อน ตัดสินใจยินยอมร่วมกัน (free, prior and informed consent ในทางสิทธิชุมชน)

วิเคราะห์ “ความเสี่ยงสาระสำคัญ” ที่ยังต้องตอบให้จบ

  1. ความเสี่ยงเชิงพื้นที่ (Sensitive Receptors)
    พื้นที่เป้าหมายรายล้อมด้วยชุมชน–วัด–โรงเรียน–พื้นที่เกษตรและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การประเมินผลกระทบต้อง “ทำแผนที่ความเสี่ยง” (risk mapping) แสดงบ้านเรือน/โรงเรียน/ศาสนสถาน/ศูนย์เด็ก/สถานพยาบาล และเส้นทางลม–ทางน้ำ ตลอดจนระยะเผื่อกรณีฉุกเฉิน (ข้อกำหนด กกพ.เรื่องระยะห่างสาธารณสถาน 100 เมตร และข้อยกเว้น/ผ่อนผัน หากมี)
  2. คุณภาพอากาศ–ปล่อง–CEMs
    แม้เทคโนโลยีตะกรับ + ถ่านกัมมันต์ + bag filter + CEMs จะเป็นมาตรฐานโลก แต่ความเชื่อมั่นเกิดจาก ข้อมูลเปิดเผยแบบเรียลไทม์ (near-real time) ให้ชุมชนเข้าถึงค่ามลพิษปล่องอย่างต่อเนื่อง พร้อม Trigger Alarm ที่ต่ำกว่ามาตรฐาน (pre-alarm/critical alarm) รวมถึง protocol หยุดเดินเครื่อง อัตโนมัติเมื่อค่าเกินเกณฑ์ (ข้อเท็จจริง: รายงานโครงการระบุถัง–อุปกรณ์ควบคุมหลายชั้นและ CEMs ที่ปากปล่อง)
  3. น้ำชะขยะ–Zero Discharge
    คำว่า “ศูนย์การระบาย” ต้องลงรายละเอียด เส้นทางท่อ–ขีดความสามารถบำบัด–การสำรองไฟ–การสำรองบ่อ–การบริหารกรณีฝนสุดขั้ว ตลอดจน การทดสอบเชิงสภาวะเลวร้ายสุด (stress test) ที่รับประกันว่า “น้ำเสียไม่หลุด” สู่หนองฮ่างและคลองชลประทาน (สัมพันธ์กับข้อจำกัดพื้นที่ชุ่มน้ำตามกฎหมาย)
  4. กากเถ้า–ปลายทาง
    ต้องประกาศ คู่สัญญากำจัดกาก ที่ได้รับอนุญาต, เส้นทางขนส่ง, ใบกำกับ/Manifest, จุดฝังกลบ ที่ไม่ขัดประกาศสาธารณสุข (ห้ามลุ่มน้ำ 1–2, ห้ามพื้นที่ชุ่มน้ำ ฯลฯ) และ ผลทดสอบคุณลักษณะกาก (TCLP) เป็นระยะ เพื่อปิดความเสี่ยงการรั่วไหลในห่วงโซ่
  5. การมีส่วนร่วม–ความเป็นธรรม 절차 (Procedural Justice)
    จากบทเรียนย้ายจุดตั้งเดิมเพราะโบราณสถาน การสื่อสารครั้งใหม่ต้อง “เขย่าความไว้ใจ” ด้วย การเชิญทุกครัวเรือนในรัศมี 3 กม. ให้เข้าถึงข้อมูล ทางเลือกหลายฉากทัศน์ (ทำ/ไม่ทำ/ทำแต่ออกแบบเสริม) พร้อม มาตรการชดเชย–กองทุนสิ่งแวดล้อม–สวัสดิการสุขภาพ ที่คำนวณจาก ปริมาณขยะจริง–โหลดมลพิษจริง ไม่ใช่ตัวเลขประมาณการลอย ๆ (รายงานเวที 24 ก.ค. 2568 ระบุขอบเขตกลุ่มเป้าหมาย–ขั้นตอนประชาสัมพันธ์–กำหนดการประชุมไว้อย่างเป็นทางการ)

ข้อเสนอเชิงนโยบาย “สามชั้นป้องกัน” เพื่อคลี่คลายความเสี่ยงและสร้างฉันทามติ

ชั้นที่ 1: พิสูจน์ความสอดคล้องกฎหมาย–ผังพื้นที่ (Compliance by Design)

  • เผยแพร่ แผนที่ข้อจำกัดกฎหมาย: เส้น 1 กม. จากโบราณสถาน/ศาสนสถาน/สาธารณสถาน, แนวเขตพื้นที่ชุ่มน้ำตามมติ ครม., ลุ่มน้ำชั้น 1–2, เขตคุ้มครองสิ่งแวดล้อม—ซ้อนทับกับผังโครงการให้ประชาชนตรวจสอบได้เอง (สอดคล้อง CoP/กกพ./สธ.)
  • ทำ Micro-Siting Study เปรียบเทียบตัวเลือก 3 พื้นที่ (ท่าหล่ม/สันไม้ฮาม/สุขสันติ) ด้วยดัชนีความเสี่ยงต่ออากาศ–น้ำ–เสียง–การจราจร–สังคม–โบราณสถาน–พื้นที่ชุ่มน้ำ แล้วเปิดผลเปรียบเทียบทางเลือก (รวม “ทางเลือกศูนย์” คือไม่ดำเนินการ)

ชั้นที่ 2: คุมมลพิษแบบโปร่งใส (Performance with Transparency)

  • ติดตั้ง CEMs + ป้ายจอหน้าประตูโรงไฟฟ้า แสดงค่ามลพิษปล่องแบบเรียลไทม์และย้อนหลัง พร้อม แดชบอร์ดออนไลน์ ให้ชุมชนเข้าถึงได้ 24 ชม. และ ระบบเตือนภัยชุมชน เมื่อค่าเข้าโซนเฝ้าระวัง
  • เปิด ผลตรวจไดออกซิน/โลหะหนัก รายไตรมาสจากห้องปฏิบัติการอิสระ พร้อม Protocol หยุดเดินเครื่อง หากค่าพุ่ง และ มาตรการทางปกครอง–สัญญา กรณีฝ่าฝืน
  • ทำ Stress Test น้ำเสีย เผยแพร่ผลทดสอบระบบกัก/บำบัด–สำรองไฟ–สำรองบ่อ รองรับเหตุฝนสุดขั้ว (AR5/AR6) และแผนซ้อมฉุกเฉินกับ รพ.–อนามัย–รพ.สต.–ศูนย์เด็กเล็ก

ชั้นที่ 3: ประโยชน์คืนชุมชน (Benefit-Sharing & Health Safeguard)

  • จัดตั้ง กองทุนสิ่งแวดล้อม–สุขภาพชุมชน บริหารร่วม โดยคิดจาก ตันขยะจริง–ชั่วโมงเดินเครื่องจริง ใช้ตรวจสุขภาพกลุ่มเสี่ยง/ติดตามมลพิษสิ่งแวดล้อม/พัฒนาพื้นที่สีเขียว
  • ทำ Community Monitoring สร้าง “อาสาสมัครเฝ้าระวัง” ที่ผ่านการอบรม เข้าถึงพื้นที่–ข้อมูล–ห้องควบคุม–จุดตรวจมลพิษได้ตามสิทธิ
  • กำหนด มาตรการชดเชย เฉพาะพื้นที่เปราะบาง (โรงเรียน/ศูนย์เด็ก/สถานพยาบาล/แหล่งน้ำชุมชน) เช่น ติดตั้งฟอกอากาศ, ระบบน้ำสะอาดสำรอง, เขตกันชนเขียว

ภาพใหญ่เศรษฐกิจ–สิ่งแวดล้อม “ขยะ” เป็นทั้งวิกฤติและโอกาส — แต่ “ความไว้วางใจ” คือใบอนุญาตตัวจริง

ข้อเท็จจริงจากรายงานชี้ว่า เป้าหมายของโครงการไม่ใช่เพียง “ผลิตไฟฟ้า” แต่เพื่อ หยุดวงจรเผากลางแจ้ง/เทกอง ที่ก่อมลพิษเรื้อรัง พร้อมยกระดับการจัดการขยะของทั้ง อำเภอพาน–พื้นที่รอบข้าง สู่มาตรฐานสากล (Waste-to-Energy แบบระบบปิด) และเพิ่มความมั่นคงพลังงานท้องถิ่น แต่ในโลกความจริง ใบอนุญาตทางสังคม (Social License) คือสิ่งที่ “ซื้อไม่ได้” ต้องใช้ความโปร่งใส–การมีส่วนร่วม–ข้อมูลเชิงประจักษ์แลกมาเท่านั้น

เกมยาวที่ต้อง “ชนะด้วยหลักฐาน”

ตัวเลขบนเวที 24 ก.ค. 2568 ทำให้เห็นว่า “สังคมพร้อมคุย” แต่ ยังไม่พร้อมเชื่อ โครงการ WTE พาน–ป่าหุ่งจึงต้อง ขยับจาก “คำอธิบาย” ไปสู่ “หลักฐาน”—ผังพื้นที่ชัดเจน, แบบจำลองแพร่กระจายมลพิษ, แผน Zero Discharge ที่ทดสอบได้, แผนฉุกเฉิน worst-case ที่ฝึกซ้อมจริง, และระบบ CEMs ที่เปิดเผยต่อสาธารณะ พ่วง “สัญญาสังคม” เรื่องกองทุนสิ่งแวดล้อมและสิทธิการกำกับดูแลโดยชุมชน

เพราะในท้ายที่สุด นอกเหนือจากการพิสูจน์ “สอดคล้องกฎหมาย” (CoP–กกพ.–สธ.) คือการพิสูจน์ว่า โครงการพร้อม อยู่ร่วมกับหนองฮ่าง–ชุมชน–โบราณสถาน อย่างเคารพและรับผิดชอบได้จริง หากทำได้ การจัดการขยะตามวาระแห่งชาติจะไม่ใช่ “ภาระ” แต่คือ ภูมิคุ้มกันสิ่งแวดล้อม ของเชียงรายรุ่นถัดไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและทำความเข้าใจกับประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย โครงการบริหารและจัดการขยะมูลฝอยชุมชนเป็นพลังงานไฟฟ้า
  • องค์การบริหารส่วนตำบลป่าหุ่ง 
  • สถาบันที่ปรึกษาด้านพลังงาน/วิศวกรรมของโครงการ
  • คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และประมวลหลักปฏิบัติ (CoP 2565)  
  • กระทรวงสาธารณสุข
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News