นักวิจัยเตือนพายุเวียดนามเข้า 13-14 ต.ค. เสี่ยงน้ำท่วมใต้เขื่อน แม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง

วันที่ 10 ตุลาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รศ. ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ผู้อำนวยการแผนงานวิจัยการขับเคลื่อนแนวทางการใช้ประโยชน์ด้านการบริหารจัดการน้ำ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำในปัจจุบันว่า แม้ว่าปริมาณน้ำฝนในภาคเหนือเริ่มลดลง แต่ยังมีความเสี่ยงที่ปริมาณน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นในพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ เนื่องจากคาดการณ์ว่าจะมีพายุลูกใหม่เข้าประเทศเวียดนามในระหว่างวันที่ 13-14 ตุลาคม 2567 และมีโอกาสที่จะส่งผลกระทบถึงประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่ใต้เขื่อนหลักของลุ่มน้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ จังหวัดพิษณุโลก ลงมาถึง จังหวัดนครสวรรค์ และแนวลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ซึ่งอาจทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงขึ้นและมีโอกาสล้นตลิ่งในบางพื้นที่

คาดน้ำจะสูงขึ้นในพื้นที่ริมน้ำเจ้าพระยา

ผลการวิเคราะห์ของทีมนักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่า ขณะนี้ปริมาณน้ำในเขื่อนหลัก ได้แก่ เขื่อนภูมิพล มีปริมาณน้ำเก็บกักอยู่ที่ ร้อยละ 70 ของความจุ เขื่อนสิริกิติ์ ร้อยละ 94 และ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน ร้อยละ 79 ส่วน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำเก็บกักสูงถึงร้อยละ 93 จากปริมาณน้ำทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าหากมีพายุเข้ามาเติมน้ำเพิ่มอีก จะทำให้ปริมาณน้ำในเขื่อนมีความเสี่ยงที่จะล้นและจำเป็นต้องระบายออก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยาและพื้นที่นอกคันกั้นน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่ตั้งแต่จังหวัด ชัยนาท และ พระนครศรีอยุธยา ลงมา

เตือนภัยพื้นที่เสี่ยงน้ำล้นคันกั้นน้ำ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

จากผลการคาดการณ์ พบว่า ในช่วง 10 วันข้างหน้าจนถึงวันที่ 21 ตุลาคม 2567 ปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาจะเพิ่มขึ้น โดยสถานีตรวจวัดน้ำที่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะมีระดับน้ำเพิ่มจาก 1,990 ลบ.ม./วินาที เป็น 2,128 ลบ.ม./วินาที ซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำสูงขึ้นและมีความเสี่ยงที่จะล้นคันกั้นน้ำ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ริมแม่น้ำและลุ่มต่ำ ในขณะที่ระดับน้ำที่ จังหวัดนครสวรรค์ จะลดลงจากระดับสูงสุดในปัจจุบันที่ 2,334 ลบ.ม./วินาที ลงมา

เร่งดำเนินแผนวิจัยมุ่งเป้า ปี 68 มุ่งแก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งใน 10 จังหวัด

รศ. ดร.สุจริต กล่าวว่า ในปี 2568-2569 ทีมวิจัยมีแผนดำเนินการภายใต้เป้าหมาย “น้ำมั่นคง เพียงพอ ไม่แล้ง ไม่ท่วม ใน 10 จังหวัด” โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งในพื้นที่เสี่ยงภัยสูง ซึ่งประกอบด้วย พิจิตร สุโขทัย พิษณุโลก นครสวรรค์ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี และปทุมธานี โดยจะเน้นการสร้างระบบการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพในระดับพื้นที่ พร้อมบูรณาการการทำงานร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้งอย่างยั่งยืน

เสนอระบบการบริหารจัดการน้ำด้วยข้อมูลเชิงลึก

จากการศึกษาของทีมวิจัย พบว่าความสามารถในการจัดการปริมาณน้ำและการคาดการณ์ของแต่ละพื้นที่ยังขาดความเชื่อมโยงกัน จึงได้เสนอให้จัดทำระบบข้อมูลและแผนที่เสี่ยงภัยน้ำแบบบูรณาการ เพื่อให้หน่วยงานหลัก เช่น สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กรมชลประทาน และ สำนักระบายน้ำของกรุงเทพมหานคร สามารถใช้ข้อมูลในการวางแผนป้องกันและบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งสร้างระบบเตือนภัยและกำหนดแนวทางการใช้น้ำอย่างเหมาะสมในพื้นที่เสี่ยงต่าง ๆ โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา

สรุปแนวทางการบริหารจัดการน้ำและการป้องกันน้ำท่วมในอนาคต
  1. การบริหารจัดการน้ำในระดับพื้นที่: วางระบบกักเก็บและระบายน้ำอย่างเหมาะสม
  2. การจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมและภัยแล้ง: เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการจัดการในแต่ละพื้นที่
  3. การเพิ่มประสิทธิภาพของเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ: ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีช่วยบริหารจัดการ
  4. การร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ: เพื่อบูรณาการแผนงานในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ
บทสรุป: เฝ้าระวังพายุลูกใหม่จากเวียดนาม พร้อมรับมือระดับน้ำเพิ่มสูง

นักวิจัยเตือนให้ประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและพื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวังพายุลูกใหม่จากเวียดนามในช่วงวันที่ 13-14 ตุลาคม 2567 นี้ พร้อมเตรียมรับมือระดับน้ำที่จะสูงขึ้นจากการระบายน้ำของเขื่อน โดยเน้นย้ำว่าจำเป็นต้องมีแผนการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น พร้อมทั้งแนะนำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมในทุกมิติ เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่เสี่ยงอย่างทันท่วงที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : แผนงานวิจัยการขับเคลื่อนแนวทางการใช้ประโยชน์ด้านการบริหารจัดการน้ำ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME