เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญในการเร่งสร้างและพัฒนากำลังคนของประเทศไทยในด้านต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศด้วยอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (S-Curve & New S Curve) และทันกับการเปลี่ยนแปลงและทิศทางการพัฒนาของโลก โดยเฉพาะเรื่องของเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ เช่น สมาร์ทโฟน แทบเล็ต ยานยนต์สมัยใหม่ ตลอดจนอุปกรณ์อัจฉริยะต่าง ๆ ที่ต้องอาศัย AI และคาดว่าความต้องการเซมิคอนดักเตอร์ยังจะเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้ แม้ประเทศไทยมีการลงทุนด้านเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในส่วนการประกอบและทดสอบ (assembly and testing) และเริ่มมีในส่วนของการออกแบบ (IC Design) บ้าง แต่ยังขาดในส่วนการผลิต ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในห่วงโซ่อุปทานของเซมิคอนดักเตอร์ ดังนั้น รัฐบาลโดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จึงได้มีการแสวงหาความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศและภาคอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำทั้งในและนอกประเทศ เพื่อให้เกิดการผลิตกำลังคนด้านนี้ให้รวดเร็วและมีปริมาณมากเพียงพอสำหรับการพัฒนาขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคตตามเป้าหมายที่กำหนดไว้

นายอนุชาฯ กล่าวว่า ล่าสุดข้อมูลของ อว. ระบุว่า ขณะนี้ มีมหาวิทยาลัยไทย 9 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ม.เกษตรศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ม.ขอนแก่น ม.สงขลานครินทร์ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ม.เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ให้ความสนใจในการทำหลักสูตรในการผลิตกำลังคนด้านเซมิคอนดักเตอร์ โดยได้มีการร่วมหารือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำ 6 แห่งของไต้หวัน ที่มีการเรียนการสอนและทำวิจัยร่วมกับภาคเอกชนในด้านเซมิคอนดักเตอร์ รวมถึง Taiwan Semiconductor Manufacturing Company หรือ TSMC ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อร่วมมือกันในการผลิตกำลังคนและงานวิจัย โดยในการผลิตกำลังคนจะมีการจัดทำหลักสูตรในระดับ ปริญญาตรี ปริญญาโท ด้าน Semiconductor ร่วมกัน โดยมหาวิทยาลัยไทยจะใช้วิธีการ Higher Education Sandbox ในการพัฒนาหลักสูตร ที่ไม่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานอุดมศึกษา เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการผลิตบัณฑิตให้ตอบสนองต่อการผลิตคนที่มีคุณภาพ ที่มีปริมาณมากและรวดเร็ว โดยตั้งเป้าให้มีนักศึกษาที่มีศักยภาพสูงในโปรแกรมไม่น้อยกว่า 200 คน/ปี ในสาขาที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ด้านเครื่องมือ ด้านวัสดุ ด้านการออกแบบ IC ด้านกระบวนการผลิต ด้านการทดสอบและแพ็กกิ้ง เป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปีต่อเนื่อง ทั้งนี้ นอกจากหลักสูตรในระดับปริญญาแล้ว มหาวิทยาลัยไต้หวันบางแห่งจะช่วยในการดำเนินการจัดฝึกอบรมระยะสั้นให้แก่บุคลากรและนักศึกษาของมหาวิทยาลัยไทย เพื่อเพิ่มพูนทักษะในด้านอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ การส่งเสริมให้นักศึกษาไทยได้มีโอกาสในการฝึกปฏิบัติงานใน บริษัท Semiconductor ชั้นนำของโลกที่ไต้หวัน รวมถึงส่งเสริมให้นักวิจัยไทย ได้ทำวิจัยร่วมกับนักวิจัยของไต้หวันทางด้าน Semiconductor เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งในการวิจัยและพัฒนาในด้านนี้ด้วย 

“การดำเนินการและความร่วมมือดังกล่าวที่เกิดขึ้น รัฐบาลเชื่อมั่นว่าจะสร้างความพร้อมให้กับประเทศไทยในการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่เป็นอุตสาหกรรมขั้นสูงและมีความสำคัญในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน และพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การพัฒนาอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนด้วยอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (S-Curve & New S Curve) เช่น เครื่องมือแพทย์ ยานยนต์ไฟฟ้า หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เศรษฐกิจชีวภาพ และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ซึ่งอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตของประเทศไทยด้วย” นายอนุชาฯ กล่าว 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME