
เชียงราย, 6 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์คุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งถือเป็นลำน้ำสำคัญในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย เข้าสู่ภาวะวิกฤต หลังมีการตรวจพบสารปนเปื้อนโลหะหนัก โดยเฉพาะ “สารหนูและตะกั่ว” ในระดับที่เกินค่ามาตรฐานต่อเนื่องหลายเดือน กระตุ้นให้รัฐบาลเร่งตั้ง “ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า)” เพื่อบูรณาการการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนในระดับพื้นที่และระดับประเทศ
การเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่จะปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมของประชาชน พร้อมวางระบบรับมือภัยคุกคามด้านสุขภาพจากแหล่งน้ำอย่างเป็นรูปธรรม
วิกฤตเชิงโครงสร้าง – น้ำที่ดื่มไม่ได้ คือความทุกข์ที่ไม่มีเสียง
แม่น้ำกกและแม่น้ำสายไม่เพียงแต่เป็นสายน้ำหลักของจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งหล่อเลี้ยงวิถีชีวิตเกษตรกรรม การประมง และการบริโภคของชุมชนมาหลายชั่วอายุคน ทว่าตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 สัญญาณอันตรายเริ่มปรากฏจากการตรวจวัดน้ำที่แสดงค่า “สารหนู” และ “ตะกั่ว” สูงเกินมาตรฐาน กระทั่งเข้าสู่ปี 2568 สถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้นในหลายจุด
การเฝ้าระวังโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ร่วมกับกรมควบคุมมลพิษ พบว่า “ทุกครั้งที่มีการตรวจวัด ระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน 2568 มีจุดที่พบสารหนูเกินมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง” ส่งผลให้เกิดความกังวลลึกในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ใช้แม่น้ำในการอุปโภคบริโภคโดยตรง
ศูนย์อำนวยการฯ ส่วนหน้า ตอบสนองเร็ว-สื่อสารชัด-แก้ปัญหาจริง
ในวันนี้ (6 มิ.ย.) นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) เป็นประธานการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข และรองผู้ว่าฯ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ ผ่านระบบ Zoom Meeting ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย
การประชุมมีวัตถุประสงค์เพื่อ “วางแนวทางบูรณาการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ” โดยมีหัวข้อเร่งด่วน เช่น
ที่ประชุมได้เสนอให้ “รวมข้อมูลจากทุกหน่วยงานในทิศทางเดียว” เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ทั้งจากหน่วยงานรัฐ นักวิชาการ และภาคประชาชน พร้อมข้อเสนอให้หน่วยงานเฉพาะทาง เช่น กรมประมง กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และเกษตรจังหวัด ตรวจผลแล็บซ้ำเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม 4 จุดหลัก ปูโครงข่ายตรวจสอบในระดับพื้นที่
ขณะเดียวกัน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้เปิดศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ลุ่มน้ำจำนวน 4 จุดหลัก ได้แก่:
แต่ละจุดจะติดตั้งระบบตรวจวัดคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์ พร้อมป้ายแสดงผลต่อสาธารณะ และรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนโดยตรง โดยมีหน่วยงานระดับจังหวัด-อำเภอ-ท้องถิ่น เข้าร่วมปฏิบัติงานประจำศูนย์ฯ อย่างใกล้ชิด
การสื่อสารที่ชัด คือเครื่องมือสร้างความเชื่อมั่น
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้ กรมประชาสัมพันธ์ เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำข้อมูลข่าวสารให้สาธารณชนรับรู้ โดยเน้นการสื่อสารที่ “ตรงความจริง ชัดเจน สม่ำเสมอ และมีภาษาที่เข้าใจง่าย” เพื่อลดความวิตกกังวลจากข่าวลือหรือข้อมูลจากแหล่งที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ พร้อมแนะนำแนวทางการปฏิบัติเมื่อพบเห็นหรือได้รับผลกระทบจากน้ำที่ปนเปื้อน
จากน้ำปนเปื้อน สู่คำถามเรื่องธรรมาภิบาลทรัพยากรน้ำ
กรณีแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาเชิงสิ่งแวดล้อม แต่คือบททดสอบสำคัญของกลไกรัฐไทยในการจัดการวิกฤติระดับภูมิภาค เมื่อประชาชนเริ่มตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงใช้เวลานานเกินไปในการรับรู้ปัญหา เหตุใดข้อมูลที่เปิดเผยจึงแตกต่าง และเหตุใดแม่น้ำที่ควรเป็นแหล่งชีวิตกลับกลายเป็นสิ่งที่สร้างความวิตกในทุกวัน
การจัดตั้งศูนย์ฯ ส่วนหน้า และศูนย์เฝ้าระวังระดับพื้นที่ หากสามารถทำงานอย่างบูรณาการจริงจัง จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ต้องได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณ เครื่องมือ และบุคลากร รวมถึง “เจตจำนงทางการเมือง” ที่จะไม่นิ่งเฉยเมื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งกระทบความมั่นคงด้านสุขภาพของประชาชนทั้งลุ่มน้ำ
สรุป
ปัญหาน้ำปนเปื้อนในแม่น้ำสายและแม่น้ำกก คือสัญญาณชัดเจนว่า ไทยต้องเร่งยกระดับการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและระบบสื่อสารข้อมูลภาครัฐ การบูรณาการที่ดีเพียงพอเท่านั้น จึงจะสามารถนำพาประชาชนข้ามพ้นวิกฤตนี้อย่างมั่นใจ
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.