
เชียงราย, 6 เมษายน 2568 – ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า สทนช. ได้เร่งดำเนินการประสานความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ เพื่อรับมือสถานการณ์คุณภาพน้ำแม่น้ำกก หลังมีรายงานการตรวจพบสารพิษปนเปื้อนในน้ำ บริเวณอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำ สืบเนื่องจากกิจกรรมเหมืองทองคำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ที่ปล่อยสารเคมีลงสู่แหล่งน้ำต้นทาง
การดำเนินการของ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ดร.สุรสีห์ ระบุว่า สทนช. ได้ประสานงานกับหน่วยงานภายในประเทศ เช่น สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) และการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงราย เพื่อตรวจสอบคุณภาพน้ำและกำหนดมาตรการป้องกันผลกระทบต่อประชาชน พร้อมกันนี้ ได้ประสานกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ผ่านกรอบความร่วมมือแม่น้ำโขง-ล้านช้าง (Lancang-Mekong Cooperation: LMC) และสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission Secretariat: MRCS) เพื่อขอข้อมูลและความร่วมมือในการตรวจสอบสาเหตุ รวมถึงหาแนวทางลดผลกระทบข้ามพรมแดน
“สทนช. มุ่งมั่นคุ้มครองสุขภาพประชาชนและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำแม่น้ำกกให้ยั่งยืน โดยเราจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและประสานงานกับทุกฝ่ายเพื่อหาทางออกที่เหมาะสม” ดร.สุรสีห์กล่าว
การตรวจสอบคุณภาพน้ำครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 โดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) พบว่า แม่น้ำกกมีปริมาณสารหนู (Arsenic) และตะกั่ว (Lead) เกินมาตรฐานน้ำผิวดิน โดยผลวิเคราะห์เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 ระบุว่า สารหนูมีค่าเฉลี่ยสูงถึง 0.013-0.015 มิลลิกรัมต่อลิตร (mg/L) ซึ่งเกินมาตรฐานที่กำหนดไว้ 0.01 mg/L และตะกั่วมีค่าสูงถึง 0.06 mg/L เกินมาตรฐานที่ 0.05 mg/L สารพิษเหล่านี้หากสัมผัสหรือบริโภคโดยตรงอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคือง ผื่นคัน ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสีย และในระยะยาวอาจเสี่ยงต่อโรคมะเร็งหรือความเสียหายต่อระบบประสาท
ต้นตอปัญหาและผลกระทบ
แม่น้ำกกมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาดอยผาหม่นในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ไหลผ่านตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เข้าสู่จังหวัดเชียงราย และไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงแสน รวมระยะทางประมาณ 285 กิโลเมตร เป็นแหล่งน้ำสำคัญสำหรับการเกษตร การประมง และการผลิตน้ำประปาในพื้นที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอเมืองเชียงราย
รายงานระบุว่า สาเหตุหลักของการปนเปื้อนเกิดจากกิจกรรมเหมืองทองคำในเมืองยอนและเมืองสาด รัฐฉานใต้ ภายใต้การควบคุมของกองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army: UWSA) ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ประมาณ 30 กิโลเมตร ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา การขุดเหมืองทองคำได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีการใช้เครื่องจักรกลหนักขุดดินและสกัดแร่ตลอด 24 ชั่วโมง ริมฝั่งแม่น้ำกก กระบวนการสกัดทองคำใช้สารเคมี เช่น สารหนูและไซยาไนด์ ซึ่งเมื่อไม่มีการบำบัดน้ำเสียอย่างเหมาะสม สารพิษเหล่านี้ถูกปล่อยลงสู่แม่น้ำโดยตรง
การทำลายป่าและการปรับสภาพภูมิประเทศเพื่อสร้างหนองน้ำสำหรับสกัดแร่ ยังส่งผลให้ไม่มีพืชพรรณคอยซับน้ำ ส่งผลให้น้ำเสียไหลลงสู่แม่น้ำกกอย่างต่อเนื่อง ปัญหานี้ทวีความรุนแรงขึ้นตั้งแต่ปี 2566 เมื่อเหมืองทองคำขยายขอบเขตการดำเนินงานจากเมืองสาดลงสู่เมืองยอน และเริ่มเข้าใกล้ชายแดนไทยมากขึ้น
การตอบสนองของหน่วยงานในจังหวัดเชียงราย
นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวถึงสถานการณ์ว่า “ขณะนี้เรายังรอผลการตรวจคุณภาพน้ำอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากพบว่ามีสารปนเปื้อนเกินมาตรฐานจริง ทางจังหวัดจะแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ทันที และดำเนินการตามขั้นตอน โดยหากสาเหตุมาจากต่างประเทศ จะต้องรายงานไปยังกระทรวงการต่างประเทศผ่านกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ เพื่อประสานความร่วมมือต่อไป”
นายประเสริฐ ยังระบุว่า โดยปกติจังหวัดเชียงรายมีการเก็บตัวอย่างน้ำเพื่อตรวจคุณภาพทุก 3 เดือน ใน 3 สถานีที่อำเภอเมือง และ 1 สถานีที่อำเภอเชียงแสน แต่จากสถานการณ์นี้ อาจต้องเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุมและทันท่วงที
ด้านนายทวีศักดิ์ สุขก้อน ผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาค สาขาเชียงราย เปิดเผยว่า หลังทราบข่าวการปนเปื้อนจากเหมืองทองคำต้นน้ำ ทาง กปภ. ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และปรับเปลี่ยนการตรวจคุณภาพน้ำจากเดิมปีละ 2 ครั้ง เป็นทุกเดือน โดยเฉพาะการตรวจโลหะหนัก “น้ำประปาที่เราผลิตจากแม่น้ำกกในเขตอำเภอเมืองและเวียงชัย มีกระบวนการกรองและกำจัดสารปนเปื้อน รวมถึงสารหนูและตะกั่ว ซึ่งประชาชนสามารถมั่นใจในความปลอดภัยได้ ส่วนอำเภอเชียงแสนใช้น้ำจากแม่น้ำโขงเป็นหลัก จึงไม่ได้รับผลกระทบจากแม่น้ำกก” นายทวีศักดิ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า ชุมชนท้องถิ่นที่อยู่นอกเขตบริการของ กปภ. และไม่มีระบบกรองน้ำที่สามารถกำจัดโลหะหนักได้ อาจยังเสี่ยงต่อการใช้น้ำที่มีสารปนเปื้อน ทาง กปภ. จึงได้เข้าไปให้ความรู้เกี่ยวกับการกรองน้ำเบื้องต้นแก่ชุมชนเหล่านี้
ความเคลื่อนไหวของภาคประชาชน
นางสาวจุฑามาศ ราชประสิทธิ เจ้าหน้าที่อาวุโสมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ภาคประชาชนไม่รอให้รัฐดำเนินการเพียงฝ่ายเดียว โดย 4 องค์กรภาคประชาสังคม ได้แก่ พชภ., มูลนิธิศึกษาพัฒนาประชาชนบนที่สูง, กลุ่มฅนเพื่อการเปลี่ยนแปลง และมูลนิธิร่มโพธิ์ ได้ร่วมกันจัดตั้ง “เครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก” ตั้งแต่ปลายปี 2567 หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่ในอำเภอเมืองเชียงรายเมื่อเดือนกันยายน 2567 ซึ่งเผยให้เห็นถึงข้อจำกัดของระบบเตือนภัยน้ำท่วมของภาครัฐ
“เราได้ติดตั้งเสาวัดระดับน้ำตามชุมชนริมแม่น้ำกกใน 7 พื้นที่ เช่น บ้านโป่งนาคำ ตำบลดอยฮาง, บ้านแก่งทรายมูล และบ้านผาใต้ ตำบลท่าตอน เพื่อให้ชาวบ้านสามารถอ่านค่าระดับน้ำและแจ้งเตือนกันเองผ่านภาพถ่ายและคลิปวิดีโอในเครือข่ายชุมชน ปัจจุบันดำเนินการแล้ว 6 ชุมชน และกำลังจะจัดอบรมอาสาสมัครเพิ่มเติมในฤดูฝนนี้” นางสาวจุฑามาศกล่าว
เธอระบุว่า การดำเนินการนี้ไม่เพียงช่วยลดความเสียหายจากน้ำท่วม แต่ยังเป็นเครื่องมือให้ชุมชนเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดวิกฤตสารพิษปนเปื้อนเช่นนี้
ไทม์ไลน์เหตุการณ์สำคัญ
ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง
ปัญหาคุณภาพน้ำแม่น้ำกกได้สร้างความกังวลในหมู่ประชาชนและหน่วยงานต่างๆ โดยเกิดมุมมองที่แตกต่างกันระหว่างฝ่ายที่มองว่าเป็นวิกฤตเร่งด่วน และฝ่ายที่มองว่าไม่รุนแรงนัก
ฝ่ายที่ 1: วิกฤตที่ต้องแก้ไขทันที
ภาคประชาชนและบางหน่วยงาน เช่น มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา เห็นว่าการปนเปื้อนของสารหนูและตะกั่วเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสุขภาพและวิถีชีวิต โดยเฉพาะชุมชนที่พึ่งพาน้ำจากแม่น้ำกกโดยตรง การที่สารพิษเกินมาตรฐานถึงสองเท่าในบางจุด และมีรายงานการขยายเหมืองทองคำในเมียนมาโดยไม่มีการควบคุม บ่งชี้ถึงความจำเป็นในการดำเนินการอย่างเร่งด่วนทั้งในระดับท้องถิ่นและนานาชาติ
ฝ่ายที่ 2: ปัญหายังไม่รุนแรงมาก
ในทางกลับกัน หน่วยงานบางส่วน เช่น การประปาส่วนภูมิภาค และสำนักงานสิ่งแวดล้อมฯ มองว่าสถานการณ์ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยเฉพาะเมื่อน้ำประปายังปลอดภัยจากการบำบัด และปริมาณสารพิษที่เกินมาตรฐานอยู่ในระดับไม่สูงมากนัก การเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบและการให้ความรู้แก่ประชาชนถือว่าเพียงพอในระยะสั้น โดยไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกเกินเหตุ
ทัศนคติเป็นกลาง
ทั้งสองฝ่ายมีเหตุผลที่สมควรพิจารณา การที่สารพิษเกินมาตรฐานเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ และสมควรได้รับการแก้ไขเพื่อปกป้องประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีทางเลือกในการใช้น้ำประปา อย่างไรก็ตาม การที่หน่วยงานสามารถควบคุมคุณภาพน้ำประปาได้ และผลกระทบต่อสุขภาพยังไม่ปรากฏชัดเจนในวงกว้าง บ่งบอกว่าสถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นวิกฤตฉุกเฉิน การดำเนินการควรเน้นที่การตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง การประสานงานระหว่างประเทศ และการสร้างความตระหนักรู้ โดยไม่ปล่อยให้เกิดความตื่นตระหนกหรือละเลยปัญหา
แนวทางแก้ไขและความท้าทาย
การแก้ไขปัญหานี้มีความท้าทายหลักคือต้นตออยู่ในต่างประเทศ ซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจของหน่วยงานไทย การเจรจาผ่านกรอบ LMC และ MRCS จึงเป็นแนวทางระยะยาวที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากเมียนมา ขณะที่ในระยะสั้น การแจ้งเตือนประชาชน การเพิ่มระบบกรองน้ำในชุมชนท้องถิ่น และการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่สามารถดำเนินการได้ทันที
สถิติที่เกี่ยวข้อง
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.