
เชียงราย/พะเยา, 31 สิงหาคม 2568 — ปลายฤดูฝนที่ภาคเหนือยังฉ่ำเมฆ ฝุ่นควันอาจดูห่างไกลสายตา แต่ในสมุดบันทึกภารกิจของสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ช่วง 27–29 สิงหาคม 2568 กลับเป็นต้นทางของ “ฤดูกาลเตรียมพร้อม” อันเข้มข้น ทีมงานนำโดย คุณวิลาวรรณ น้อยภา หัวหน้าโครงการ ขยับลงพื้นที่ แนวชายแดน จ.เชียงราย–พะเยา เพื่อพัฒนา “กลไกร่วมเชิงปฏิบัติการ” กับเทศบาล อบต. อุทยานฯ และชุมชนท้องถิ่น ภายใต้กรอบ ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (CLEAR Sky Strategy) ที่เน้นแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ตั้งแต่การลดการเผาในที่โล่ง การจัดการเศษวัสดุการเกษตร ไปจนถึงการออกแบบความร่วมมือ “เมืองคู่ขนาน” ให้ทำงานสอดรับกับพื้นที่เพื่อนบ้านนอกพรมแดน
ภาพแรกของการทำงานคือการ “ฟัง” TEI เปิดวงพูดคุยกับผู้นำชุมชน เกษตรกร และเจ้าหน้าที่ภาครัฐระดับพื้นที่ เพื่อวินิจฉัยต้นทุน–ข้อจำกัดของแต่ละอำเภออย่างละเอียด เป้าหมายไม่ใช่ “แผนใหญ่ฉบับเดียวใช้ได้ทุกที่” แต่คือ แผนย่อยที่จำเพาะกับภูมิประเทศ–ภูมิงาน–ภูมิคนนั้นๆ แล้วค่อยเชื่อมเข้าหากันเป็นระบบเดียวในระดับลุ่มน้ำและแนวชายแดน
เจาะลึก “ต้นทุนพื้นที่” สู่แผนจุดเดียว–ลิงก์หลายจุด
จากการสำรวจและหารือภาคสนาม TEI สรุป “จุดตั้งหลัก” ใน 5 พื้นที่เป้าหมาย ดังนี้
1) เทศบาลตำบลศรีดอนชัย (อ.เชียงของ จ.เชียงราย)
หัวใจคือ ข้าวและฟางหลังเกี่ยว ที่เป็นก้อนปัญหาซ้ำซากทุกปลายปี TEI เห็นศักยภาพการบริหารจัดการร่วม—ตั้งแต่การรวบรวม แยกประเภท และวางระบบขนส่ง–แปรรูป—เพื่อ ลดแรงจูงใจในการเผา และเปลี่ยนภาระเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจในชุมชน แนวทางปฏิบัติจึงย้ำ “ร่วมกันทำ” ระหว่างเทศบาล–กลุ่มเกษตรกร–เอกชนท้องถิ่น
2) เทศบาลตำบลครึ่ง (อ.เชียงของ จ.เชียงราย)
พื้นที่มี ทุนทางนิเวศครบ ทั้งดิน–น้ำ–ป่า และชุมชนเข้มแข็ง สิ่งที่ต้องเร่งคือการ ยกระดับความร่วมมือข้ามตำบล ให้เดินจังหวะเดียวกันจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ เช่น การนัดหมายช่วงไถกลบ/เก็บเศษวัสดุ การทำแนวกันไฟเชื่อมต่อกัน และการแจ้งเตือนก่อนเกิดเหตุในระดับกลุ่มบ้าน
3) เทศบาลตำบลบุญเรือง (อ.เชียงของ จ.เชียงราย)
ป่าชุ่มน้ำบ้านบุญเรือง คือ “ทรัพย์สินส่วนรวม” ที่ชุมชนดูแลได้ดีอยู่แล้ว TEI เสนอการต่อยอดด้วย การประเมินทรัพยากรเชิงระบบ (สำรวจพืช–สัตว์–บริการระบบนิเวศ) ควบคู่แผนจัดการไฟป่าเชิงป้องกัน ให้ป่าชุ่มน้ำทำหน้าที่เป็น buffer ลดไฟแล้ง–ควัน และเป็นแหล่งเรียนรู้ของเยาวชน
4) อบต.ตับเต่า (อ.เทิง จ.เชียงราย)
จุดแข็งคือ ความร่วมมือข้ามแดนที่มีอยู่เดิม ทั้งด้านแนวกันไฟและกิจกรรมวัฒนธรรม TEI มองโอกาส ยกระดับเป็นกลไก 4 อำเภอคู่ขนาน ฝั่งไทยให้ชัดเจนขึ้น เพื่อให้การทำงานในแนวเขตชายแดน “ต่อกันติด” ทั้งข้อมูล จุดเฝ้าระวัง และกำลังอาสาสมัคร อนาคตหากประสานประเทศเพื่อนบ้านแบบจุดต่อจุด จะช่วยลดไฟ–ควันข้ามแดนได้จริง
5) อุทยานแห่งชาติภูซาง (จ.พะเยา)
บทบาทของ อุทยานฯ สำคัญทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงคือ ควบคุมไฟป่าเชิงป้องกัน ด้วยแนวกันไฟ/ลาดตระเวน ทางอ้อมคือ สร้างพื้นที่เรียนรู้กับชุมชนเกษตร รอบนอก—แลกเปลี่ยนวิธีจัดการเศษวัสดุการเกษตรที่ไม่เผา และตั้ง “แนวปฏิบัติที่ดี (Good Practices)” ร่วมกัน ลดโอกาสไฟป่าลามจากพื้นที่เกษตรเข้าสู่พื้นที่อนุรักษ์
ภาพรวมที่ปรากฏคือ “แพตเทิร์นเดียวกันในบริบทต่างกัน”: ถ้าจะแก้หมอกควันแบบยั่งยืน ต้องจัดการตั้งแต่ เศษวัสดุ–ไฟป่า–ข้ามแดน พร้อมกัน และต้องทำให้ หลายวงทำงานเป็นวงเดียว
ทำไมต้องเร่งวันนี้ ทั้งที่วิกฤตหนักสุดอยู่ใน “หน้าแล้ง” พรุ่งนี้
แม้ เดือนกุมภาพันธ์–เมษายน จะเป็น “หน้าวิกฤตฝุ่น” ของภาคเหนือ แต่ งานเตรียมพร้อม ต้องเริ่มตั้งแต่ปลายฤดูฝน–ต้นฤดูหนาว ด้วยเหตุผล 3 ประการ
ด้วยกรอบคิดนี้ TEI จึงเลือก “ลงมือในฤดูกาลที่สงบ” เพื่อ ลดปัญหาในฤดูกาลที่ปะทุ
“เมืองคู่ขนาน” คืออะไร และสำคัญอย่างไรกับควันข้ามแดน
คำว่า เมืองคู่ขนาน (Twin/Parallel Border Towns) ในโครงการนี้หมายถึง กลุ่มพื้นที่ชายแดนฝั่งไทย ที่ทำงาน “เป็นฝั่งเดียวกัน” และเตรียมพร้อมสำหรับการเชื่อมประสานกับ พื้นที่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีระบบเกษตร–ป่า–เส้นทางควันเชื่อมกันอยู่แล้ว จุดแข็งของโมเดลนี้คือ
ในเชิงนโยบาย โมเดลนี้สอดรับ กรอบความร่วมมือด้านหมอกควันข้ามแดนของอาเซียน และแนวคิด One Health/One Air ที่เชื่อมสุขภาพคน–ป่า–การเกษตรเข้าด้วยกัน
กติกาอากาศของไทยเส้น 37.5 µg/m³ ที่ต้องไม่ข้าม
การจัดการ PM2.5 ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือ มาตรฐานคุณภาพชีวิตที่กฎหมายกำหนด โดยประเทศไทยกำหนด ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงของ PM2.5 ที่ 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเข้มขึ้นกว่ามาตรฐานเดิมในช่วงก่อนหน้า การวางแผนเชิงปฏิบัติการจึงต้องมี “เป้าหมายเชิงตัวเลข” ให้วัดผลได้ ทั้งจำนวน วันเกินมาตรฐาน ในช่วงวิกฤต จำนวน จุดความร้อน (hotspot) ในเขตรับผิดชอบ และ พื้นที่เฝ้าระวัง ที่ต้องลดเหตุซ้ำซ้อน
บทเรียนสำคัญจากหลายเมืองคือ: หาก “ย้ายเศษวัสดุ–จัดการไฟ–สื่อสารเตือนล่วงหน้า” ได้ล่วงหน้าก่อน 4–6 สัปดาห์ จำนวนวันเกินมาตรฐานสามารถลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ภูมิอากาศไม่เป็นใจ
แปลแผนให้เป็นงาน 5 วงปฏิบัติการที่ทุกพื้นที่ทำร่วมกันได้
จากข้อสรุปภาคสนาม TEI และภาคีท้องถิ่นเห็นพ้อง 5 วงงาน ที่จะขับเคลื่อนไปพร้อมกัน โดยปรับวิธีตามบริบทพื้นที่
ทุกวงงานมีเงื่อนไขเดียวกัน: ต้องมีเจ้าภาพชัด–กำหนดเวลา–วัดผลได้ และรายงานต่อกันอย่างสม่ำเสมอ
เรื่องเล่าจากพื้นที่เมื่อ “ป่าชุ่มน้ำ” กลายเป็นห้องเรียนอากาศ
ที่ บ้านบุญเรือง ป่าชุ่มน้ำที่ชุมชนดูแลร่วมกันหลายปี ถูกกล่าวถึงในวงคุยว่าเป็น “ตัวกันชนฝุ่น–ไฟ” โดยธรรมชาติ จุดแข็งนี้เปิดโอกาสให้พื้นที่กลายเป็น “ห้องเรียนอากาศสะอาด” ของเด็กๆ ในตำบล—เรียนรู้การวัดคุณภาพอากาศเบื้องต้น แผนที่ลม และการใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ ชาวบ้านบอกตรงกันว่า เมื่อเห็นคุณค่าร่วม “ควัน” ก็ไม่ใช่เรื่องของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของทั้งหมู่บ้าน
แรงจูงใจ–งบประมาณ–พรมแดนที่มองไม่เห็น
การเปลี่ยนจาก “เผาเพราะเร็วและง่าย” ไปสู่ “จัดการอย่างเป็นระบบ” ต้องการ แรงจูงใจที่ชัด ทั้งในรูปแบบความสะดวก (จุดรับ–รถขน–ค่าใช้จ่ายไม่สูงกว่าการเผา) และในรูปแบบ “ผลได้” กับชุมชน ขณะเดียวกัน งบประมาณดูแลระยะยาว เป็นโจทย์สำคัญ—แนวกันไฟ/อุปกรณ์/ค่าดูแล—ต้องไม่ใช่งบปีต่อปีที่กระท่อนกระแท่น ส่วนมิติข้ามแดนคือ เส้นควันไม่มีด่านตรวจ แม้จะทำดีฝั่งไทย หากลมพัดพาเหตุจากข้างนอกเข้ามา ปัญหาก็ยังเกิด การคุย “เมืองคู่ขนาน” จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น เงื่อนไขของความสำเร็จ
จากแผนที่ปักหมุด สู่ระบบที่เดินได้เอง
การลงพื้นที่ของ TEI รอบนี้ ไม่ใช่พิธีเปิดโครงการ หากคือขั้นตอน “วิเคราะห์–ออกแบบ–นัดหมายปฏิบัติ” ที่ยึดเป้าหมายร่วมคือ ลดการเผาและจุดความร้อนในฤดูวิกฤต ให้ได้มากที่สุด ด้วยการทำงานพร้อมกัน 5 วงใน 5 พื้นที่ และยกระดับสู่ เมืองคู่ขนาน ของภาคเหนือ แนวทาง CLEAR Sky Strategy ย้ำหลัก 3 ข้อ
ปลายฤดูฝนปีนี้จึงเป็นมากกว่าช่วงพักหายใจของเมืองเหนือ แต่เป็น หน้าต่างเวลา ที่หน่วยงาน–ชุมชนต้องใช้ให้คุ้มที่สุด เพื่อให้เมื่อฤดูควันวนมาอีกครั้ง เมืองชายแดนจะไม่ยืนอยู่ลำพัง
เช็คพอยต์ความสำเร็จที่ชัด วัดได้ และสื่อสารได้
เมื่อประชาชนเห็น “เข็มวัด” ขยับลงและชีวิตประจำวันดีขึ้น ความไว้ใจต่อระบบก็จะขยับขึ้นตาม
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.