มทร.ล้านนา เชียงราย ยุติรับน้องถาวร–ตั้งกก.สอบสวน “รุ่นพี่–ผู้กำกับดูแล” เดินหน้าปฏิรูปวัฒนธรรมสถาบัน หลังเหตุร้องเรียนพฤติกรรมรุนแรง

เชียงราย, 15 สิงหาคม 2568 — มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา (มทร.) วิทยาเขตเชียงราย ประกาศ “ปิดฉาก” กิจกรรมรับน้องทุกรูปแบบอย่างถาวร พร้อมขยับยุทธศาสตร์จัดการเชิงระบบ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อร้องเรียนและพิจารณา “ความรับผิดชอบร่วม” ของบุคลากรผู้กำกับดูแล หลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมออนไลน์และข้อร้องเรียนอย่างเป็นทางการต่อ สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) เกี่ยวกับพฤติกรรมที่เข้าข่ายใช้ความรุนแรง ข่มขู่ และนัดหมายทำกิจกรรมนอกเวลาของนักศึกษาบางกลุ่มในช่วงก่อนเปิดภาคการศึกษาใหม่ โดยฝั่งมหาวิทยาลัยตอกย้ำว่า “กรณีคลิป–ภาพ” ที่ถูกแชร์ซ้ำคือเหตุการณ์ก่อนประกาศงดรับน้อง และขณะนี้ได้เดินหน้ามาตรการเชิงวินัยและเชิงปฏิรูปควบคู่กัน

ตัวเลข–ข้อเท็จจริงที่ต้องจับตา

  • 31 ก.ค. 2568: วันที่ประกาศงดรับน้องทุกรูปแบบ เผยแพร่ผ่านเพจทางการของวิทยาเขต และต่อมาถูกสื่อท้องถิ่นเผยแพร่ซ้ำ ยืนยันนโยบายยุติกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการละเมิดในคราวเดียว (หลักฐานตามลิงก์โพสต์ทางการ)
  • 8 ก.ค. 2568: วันเริ่มร้องเรียนผ่านช่องทาง สป.อว. ซึ่งเป็นระบบที่ประชาชน–นักศึกษาสามารถยื่นเรื่องออนไลน์และติดตามผลได้ (อ้างถึงหน้าช่องทางร้องเรียนอย่างเป็นทางการ)
  • พฤติกรรมที่ถูกเปิดโปง: บังคับวิดพื้นกำหมัด–หมอบ–คลาน–กลิ้ง วาจารุนแรง นัดกิจกรรมนอกเวลา–นอกสถานที่ ตามข้อมูลที่เพจภาคประชาชนเผยแพร่ในปีการศึกษา 2568 (ใช้เพื่อประกอบบริบททางสังคม–ไม่ใช่คำตัดสินทางกฎหมาย)

จากร้องเรียน 8 ก.ค. สู่คำสั่งยุติกิจกรรม 31 ก.ค.

เส้นเวลาที่ถูกจับตามองเริ่มจาก 8 กรกฎาคม 2568 เมื่อมีการร้องเรียนผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ของ สป.อว. ให้ตรวจสอบและยุติกิจกรรมรับน้องระบบโซตัสของ มทร.ล้านนา เชียงราย โดยระบุพฤติกรรมที่เข้าข่ายความรุนแรงและเกินขอบเขต ทั้งการบังคับให้ออกกำลังกายหนัก การใช้วาจารุนแรง และการนัดหมายทำกิจกรรมนอกเวลาและนอกสถานที่ ซึ่งเป็น “พื้นที่มืด” ที่ยากต่อการควบคุมตามระเบียบมหาวิทยาลัยช่องทางร้องเรียนของ สป.อว.

ก่อนหนังสือร้องเรียนจะมาถึงมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการ (1 ส.ค. 68) ผู้ปกครองและนักศึกษาบางส่วนได้เข้าพบผู้บริหารเมื่อ 29 ก.ค. 68 เพื่อแจ้งข้อกังวลคล้ายกัน จากนั้นใน 31 กรกฎาคม 2568 เวลา 16:14 น. มทร.ล้านนา เชียงราย ออกประกาศ งดจัดกิจกรรมรับน้องนักศึกษาใหม่ทุกรูปแบบ ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” โดยเผยแพร่ผ่านเพจทางการของวิทยาเขต และต่อมาถูกสื่อท้องถิ่นนำไปเผยแพร่ต่อเนื่อง ยืนยัน “ยุติทุกกิจกรรมรับน้อง” เพื่อป้องกันผลกระทบต่อนักศึกษา บุคลากร และภาพลักษณ์องค์กร พร้อมแจ้งให้ทุกหน่วย–ทุกคณะถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

แม้ประกาศดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้แล้ว กระนั้นเมื่อ 1 ส.ค. มหาวิทยาลัยได้รับหนังสือจาก สป.อว. พร้อมหลักฐานภาพถ่ายประกอบ ทำให้จำเป็นต้องตั้ง “คณะกรรมการสอบสวนและติดตามข้อร้องเรียน” ชุดที่สอง เพื่อทำความจริงให้กระจ่างในรายละเอียดเชิงพฤติกรรมของผู้เกี่ยวข้อง และเพื่อกำหนดมาตรการเชิงวินัย–เชิงระบบที่ครอบคลุมกว่าเดิม โดยการประชุมพิจารณาเกิดขึ้นใน 14 ส.ค. ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ฝ่ายบริหารชี้แจงภาพรวมต่อสาธารณะ

ภาพที่สังคมเห็น คลิป–ภาพพฤติกรรมที่ข้ามเส้น และแรงสั่นสะเทือนของ “โซตัส”

บนโซเชียลมีเดีย มีการเผยแพร่ภาพ–คำบรรยายถึงพฤติกรรมที่เข้าข่ายไม่เหมาะสม ทั้งการให้ “วิดพื้นด้วยกำหมัด”, บังคับให้ “หมอบ–คลาน–กลิ้ง” การตะคอกดุด่า ใช้วาจารุนแรง และกดดันให้น้องปี 1 ทำกิจกรรมที่ไม่อยู่ในกรอบเวลามหาวิทยาลัย ตลอดจนข้อกล่าวหาเรื่อง “บังคับดื่มสุรา” เพื่อ “ทดสอบความอดทน” สะท้อนวัฒนธรรมโซตัสในบางวงการที่ยังคงตีความ “ความผูกพัน” ด้วยวิธีการกดทับรุ่นน้องมากกว่าการโอบอุ้ม ซึ่งถูกสังคมตั้งคำถามอย่างกว้างขวางว่าถูกต้องตามยุคสมัยหรือไม่ มีเพจภาคประชาชนรวบรวมข้อมูลและภาพจากเหตุการณ์ที่อ้างว่าเกิดในปีการศึกษา 2568 ที่เชียงราย

ขณะเดียวกัน เว็บไซต์–เพจทางการของระบบรับนักศึกษาใหม่ของ มทร.ล้านนา ในส่วนกลาง ระบุแนวทางกิจกรรมปรับพื้นฐานเตรียมความพร้อมที่มีคำชี้แจงเชิงนโยบาย “รักน้องสร้างสรรค์ NoS NoL” ในบางวิทยาเขต สะท้อนทิศทางของมหาวิทยาลัยแม่ที่ต้องการกำกับกิจกรรมนิสิต–นักศึกษาให้อยู่ในกรอบที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ แต่การนำไปสู่การปฏิบัติในบางพื้นที่ยังมี “หลุม” ที่ต้องอุดให้สนิทด้วยมาตรการเชิงระบบ

มาตรการของมหาวิทยาลัยลงโทษเชิงวินัย ยุติรับน้องถาวรพร้อมชง “ความรับผิดชอบร่วม” ของผู้กำกับดูแล

มาตรการเชิงวินัยต่อผู้กระทำฝ่ายบริหารยืนยันว่ากลุ่มนักศึกษารุ่นพี่ที่เกี่ยวข้องถูก “ภาคทัณฑ์” และกำหนดทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ โดยจะมีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมหลักเกณฑ์ประเมินผล หากคะแนนวินัย–บำเพ็ญประโยชน์ไม่ถึงเกณฑ์ 50% อาจนำไปสู่ “พักการเรียน” ตามระเบียบ ทั้งนี้ กรณีนี้ไม่มีผู้บาดเจ็บสาหัส จึงยังไม่ถึงขั้น “ไล่ออก” อย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

คำสั่งเชิงระบบ: มหาวิทยาลัยประกาศ “ยุติกิจกรรมรับน้องถาวร” ทั้งหมด ไม่ว่าจะใช้ชื่อใด–จัดที่ใด–เวลาใด เพื่อปิดช่องว่างการตีความ และจะทบทวนกิจกรรม “ประชุมเชียร์–แข่งขัน” ที่มักเป็นแรงกดให้มีการนัดซ้อมนอกเวลา ซึ่งเป็น “บันไดขั้นแรก” ไปสู่พฤติกรรมเกินขอบเขต (ยืนยันจากประกาศทางการ 31 ก.ค. 2568) ความรับผิดชอบร่วมของผู้กำกับดูแล: คณะกรรมการสอบสวนชุดที่สองกำลังพิจารณาหลักเกณฑ์ใหม่ เพราะระเบียบเดิมยัง “ไม่เจาะจง” วิธีลงโทษอาจารย์–บุคลากรกรณีปล่อยปละละเลยให้เกิดการฝ่าฝืน แม้มีสัญญาณเตือนมาก่อน มาตรการใหม่จึงมุ่ง “แบ่งความรับผิดชอบ” ให้ชัดเจนว่า เมื่อมีนโยบายของสถาบันแล้ว ผู้กำกับดูแลต้องถือปฏิบัติจริง มิใช่เพียงแจ้งเป็นพิธี แล้วปล่อยให้วัฒนธรรมรุ่นพี่–รุ่นน้อง “ขยายผลนอกเวลา” จนยากควบคุม

ช่องทางร้องเรียน–คุ้มครองผู้เสียหาย มหาวิทยาลัยย้ำช่องทางรับร้องเรียนโดยตรงถึงผู้บริหารและผู้ดูแลวินัย ผ่านเพจทางการ–แบบฟอร์มออนไลน์ โดยจำกัดผู้เห็นข้อมูลเพื่อคุ้มครองผู้ร้องเรียนและป้องกันการบูลลี่ ซ้ำเติม ทั้งยังสอดคล้องกับช่องทางของ สป.อว. ซึ่งเป็น “ทางด่วน” ระดับกระทรวงเพื่อเรื่องร้องเรียนด้านวินัย–ความปลอดภัยในสถาบันอุดมศึกษา

ใคร “ได้–เสีย” อะไรบ้าง มองให้ลึกกว่าข่าว

นักศึกษาใหม่–ผู้ปกครอง สิ่งที่ได้คือ “หลักประกันเชิงนโยบาย” ว่ากิจกรรมเซนซิทีฟถูกยุติอย่างเบ็ดเสร็จ ผู้ปกครองจึงตัดสินใจได้ด้วยข้อมูลที่ชัดขึ้น ขณะที่ผู้ได้รับผลกระทบเดิมควรเข้าถึงการฟื้นฟูด้านจิตใจ–การเรียน เช่น โอนย้ายสาขา–ย้ายคณะ หรือแม้แต่ย้ายวิทยาเขตในเครือหากจำเป็น โดยมี “มือกลาง” จากส่วนกลางคอยอำนวยความสะดวก

นักศึกษารุ่นพี่–กิจกรรมชมรม ฝั่งที่เห็นด้วยกับโซตัสเชิงวินัย เพื่อยอมรับว่าการปลูกฝังค่านิยม–ความเป็นพี่น้องทำได้โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง มหาวิทยาลัยควรเปิดพื้นที่กิจกรรมสร้างสรรค์ทดแทน เช่น โครงงานบริการสังคม Hackathon ทักษะอาชีพ หรือ Service Learning ที่ให้เครดิตพัฒนาความเป็นผู้นำอย่างเป็นรูปธรรม

มหาวิทยาลัย–บุคลากร ระยะสั้นอาจต้องเผชิญแรงเสียดทานจากศิษย์เก่าบางส่วน แต่ระยะยาวคือ “แบรนด์ความปลอดภัย” ที่แข็งแรงขึ้น การยืนบนมาตรฐานวินัย–ความปลอดภัยที่ตรวจสอบได้คือสินทรัพย์เชิงความเชื่อมั่นของสถาบัน

เสียงของผู้เกี่ยวข้อง โซตัส “สร้างคน” หรือ “ทำร้ายคน”

จากการสังเคราะห์ความคิดเห็นในพื้นที่สาธารณะ พบ “สองขั้ว” ที่ยืนคนละฟากต่อระบบโซตัส

  • ฝ่ายที่เห็นด้วยภายใต้กรอบ ชี้ว่าช่วยสร้างวินัย ความอดทน และความสามัคคี เชื่อมรุ่นพี่–รุ่นน้อง ลดอัตตา–เพิ่มความรับผิดชอบ แต่ยอมรับว่า “ต้องอยู่ในกรอบกติกา–ภายใต้การกำกับดูแลใกล้ชิด และไม่ละเมิดสิทธิ”
  • ฝ่ายคัดค้าน ย้ำว่าโซตัสที่ใช้ความกลัว–ความรุนแรง ล้าสมัย ไม่สอดคล้องโลกการทำงานจริง บ่อนทำลายความเชื่อมั่นของสถาบัน และผลักนักศึกษาบางส่วนออกจากระบบการศึกษา

ข้อเท็จจริงสำคัญคือ มทร.ล้านนา เชียงราย เลือก “ตัดไฟต้นลม” ด้วยคำสั่งยุติรับน้องถาวร ลดพื้นที่ตีความ และโยกน้ำหนักการสร้างวัฒนธรรมองค์กรไปที่กิจกรรมเสริมสร้างคุณภาพ–ความปลอดภัยแทน (ยืนยันด้วยประกาศ 31 ก.ค.)

แกนหลักของการปฏิรูปนโยบาย–กระบวนการ–คน

นโยบายประกาศยุติรับน้องถาวร คือเส้นแดงที่ชัดเจน ลด “เขตเทา” ของกิจกรรมที่มักไหลลื่นออกนอกเวลา–นอกพื้นที่

กระบวนการ ระบบรับเรื่องร้องเรียนต้องเร็ว–ปลอดภัย–คุ้มครองผู้ร้อง โดยมี SLA กำกับเวลา และแดชบอร์ดความคืบหน้าแบบเปิดเผย (เท่าที่กฎหมายข้อมูลส่วนบุคคลอนุญาต) การทำงานประสานกับช่องทางของ สป.อว. จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันเชิงบวกให้เกิดผลลัพธ์จริง

คนพัฒนาบทบาท “Advisor–Mentor” ของอาจารย์ที่ดูแลกิจกรรม เปลี่ยนจาก “อนุญาตแบบเป็นพิธี” เป็น “กำกับแบบมีหลักฐาน” เช่น แผนกิจกรรมที่มี Risk Assessment, รายงานหลังจบกิจกรรม, และการสุ่มตรวจนอกเวลา หากพบฝ่าฝืนต้องมี “โครงสร้างโทษ” ที่ชัดสำหรับทั้งนักศึกษาและผู้กำกับดูแล

เช็คพอยต์สำหรับการติดตามผล (90–180 วัน)

  1. สรุปผลสอบสวน: เปิดเผยผลสอบในประเด็นข้อเท็จจริง–มาตรการวินัย–มาตรการป้องกันซ้ำ พร้อมเส้นเวลา
  2. คู่มือกิจกรรมนักศึกษาใหม่ฉบับยกเครื่อง: ระบุ “ห้าม–ได้–ต้อง” ชัดเจน พร้อมโทษ และกลไกติดตาม
  3. ระบบร้องเรียน–คุ้มครอง: วัดผลด้วยจำนวนเรื่อง–เวลาเฉลี่ยการปิดเรื่อง–ระดับความพึงพอใจของผู้ร้อง
  4. การสื่อสารแบรนด์ความปลอดภัยของสถาบัน: รายงานความก้าวหน้าเป็นระยะ เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของผู้ปกครอง–นักศึกษาใหม่

จาก “ยุติรับน้อง” สู่ “วัฒนธรรมความปลอดภัยที่พิสูจน์ได้”

กรณี มทร.ล้านนา เชียงราย ชี้ชัดว่าการ “ประกาศยุติ” เพียงอย่างเดียวไม่พอ หากไม่ตามด้วย “ระบบรับผิดชอบร่วม” และ “กลไกบังคับใช้” ที่ทำงานจริง การตั้งคณะกรรมการสอบสวนรอบสอง–การกำหนดโทษเชิงวินัย–การออกแบบกิจกรรมสร้างสรรค์ทดแทน และการเชื่อมช่องทางร้องเรียนระดับมหาวิทยาลัย–ระดับกระทรวง คือสี่เสาหลักของการเปลี่ยนผ่าน

ท้ายที่สุด การปฏิรูปวัฒนธรรมองค์กรไม่ใช่เรื่องวันเดียว แต่คือ “ระยะทาง” ที่ต้องเดินต่อเนื่อง สิ่งที่มหาวิทยาลัยทำในวันนี้—ยุติรับน้องถาวร–โยกน้ำหนักไปที่ความปลอดภัย–ความสมัครใจ–ความรับผิดชอบ—คือสัญญาณบวกต่อสังคมอุดมศึกษาไทย และคือคำตอบที่ผู้ปกครอง–นักศึกษา–ผู้เสียหาย ควรได้รับมาตั้งแต่แรกเริ่ม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ประกาศยุติรับน้อง มทร.ล้านนา เชียงราย (31 ก.ค. 2568) — โพสต์เพจทางการวิทยาเขต: ประกาศ… การงดจัดกิจกรรมรับน้องนักศึกษาใหม่”
  • บริบทข้อมูล–ภาพพฤติกรรมที่ถกเถียง — เพจภาคประชาชน “รับน้องสร้างสรรค์ระดับโคตรมหากาฬ” รวบรวมพฤติกรรมที่อ้างว่าเกิดขึ้นในปีการศึกษา 2568 ที่เชียงราย
  • ช่องทางร้องเรียน สป.อว. — เว็บไซต์สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม: หน้าระบบรับเรื่องร้องเรียนอิเล็กทรอนิกส์
  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชไมพร รัตนเจริญชัย ในฐานะผู้บริหารวิทยาเขตเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News