วิกฤตการณ์ข้ามพรมแดน แม่น้ำกก-โขงปนเปื้อนพิษเหมืองแร่หายากเมียนมา ภัยคุกคาม 1.3 พันล้านบาท และคำถามถึงความรับผิดชอบในห่วงโซ่อุปทานโลก

เชียงราย, 21 ตุลาคม 2568 –  ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและพลังงานสะอาด ที่ขับเคลื่อนด้วย ‘แร่หายาก’ (Rare Earth Minerals) ซึ่งเป็นวัตถุดิบยุทธศาสตร์สำคัญ ภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ การเร่งรัดการทำเหมืองแร่หายากอย่างขาดการควบคุมดูแลในรัฐฉานและรัฐกะฉิ่นของประเทศเมียนมา ได้ส่งผลให้แม่น้ำสายหลักของชาติ อาทิ แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ปนเปื้อนด้วยสารพิษและโลหะหนักในระดับอันตราย สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจแก่ประเทศไทยแล้วกว่า 1.3 พันล้านบาท (40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และนำมาซึ่งความกังวลอย่างยิ่งยวดต่อความมั่นคงทางสุขภาพและความมั่นคงทางอาหารของชุมชนปลายน้ำในประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม

รายงานข่าวเชิงลึกฉบับนี้ จะพาไปสำรวจถึงความรุนแรงของวิกฤตการณ์ที่กำลังคุกคามชีวิตและระบบนิเวศในอนุภูมิภาค พร้อมทั้งวิเคราะห์ถึงแรงกดดันจากภาคประชาชนต่อรัฐบาลไทยที่ยังคง “ไร้ความคืบหน้า” ในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

การขยายตัวของภัยพิบัติที่พุ่งสูง 513 แหล่งเหมืองที่คุกคามลุ่มน้ำโขง

ข้อมูลล่าสุดจากศูนย์วิจัย Stimson Center ซึ่งเป็นคลังสมองที่ไม่แสวงหาผลกำไร เผยให้เห็นภาพความรุนแรงของการขยายตัวของการทำเหมืองแร่หายากในเมียนมาอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมระบุว่า ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการค้นพบ แหล่งเหมืองแร่หายากมากถึง 513 แห่ง กระจายตัวอยู่ในลุ่มน้ำสาขาที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขง แม่น้ำสาละวิน และแม่น้ำอิรวดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 เพียงปีเดียว มีการประเมินว่ามีแหล่งเหมืองใหม่เปิดเพิ่มขึ้นถึง 40 แห่ง ตัวเลขดังกล่าวถือว่าสูงกว่าที่เคยมีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้อย่างมาก และสะท้อนถึงความเสี่ยงของการปนเปื้อนข้ามพรมแดนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

การขยายตัวของเหมืองแร่เหล่านี้มีปัจจัยหลักมาจากความต้องการแร่หายากของโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้นของรัฐบาลจีนต่อเหมืองภายในประเทศ ทำให้เมียนมาซึ่งอยู่ภายใต้ภาวะความขัดแย้งและการกำกับดูแลที่หย่อนยานนับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2564 กลายเป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญในการเติมเต็มช่องว่างในห่วงโซ่อุปทานของจีน

ต้นทุนที่มองไม่เห็น ของเสียพิษ 2,000 ตันต่อแร่ 1 ตัน

กระบวนการสกัดแร่หายากในรัฐฉานและรัฐกะฉิ่นของเมียนมานั้น ส่วนใหญ่ใช้วิธีที่เรียกว่า การชะล้างเฉพาะที่ (in-situ leaching) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการทำแฟรกกิง (fracking) คือการฉีดสารละลายเคมีเข้มข้นลงไปใต้ดินผ่านบ่อชะล้าง เพื่อละลายแร่ธาตุที่ผสมอยู่ในดินให้กลายเป็นสารละลายแล้วจึงสูบขึ้นมาเก็บไว้

กระบวนการนี้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงอย่างไม่อาจยอมรับได้

  • มีรายงานที่น่าตกใจว่า การสกัดแร่หายากทุก 1 ตัน จะก่อให้เกิดของเสียที่เป็นพิษโดยเฉลี่ย 2,000 ตัน ซึ่งรวมถึงน้ำเสียที่เป็นกรดประมาณ 200 ลูกบาศก์เมตร (ราว 53,000 แกลลอน) หรือ 75 ลูกบาศก์เมตร (เกือบ 20,000 แกลลอน) และกากของเสียที่ปนเปื้อนกัมมันตรังสีได้ถึง 1–1.4 ตัน
  • เมื่อการทำเหมืองในภูเขาลูกหนึ่งเสร็จสิ้นลงในระยะเวลาประมาณสามปี บ่อเก็บน้ำเสียที่เต็มไปด้วยสารเคมีอันตรายเหล่านี้ก็จะถูกทอดทิ้งไว้ ในช่วงฤดูมรสุม ปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้น้ำเสียล้นออกจากบ่อและไหลเข้าสู่ลำธารและแม่น้ำสายหลักในบริเวณด้านล่าง มลพิษเหล่านี้จึงถูกพัดพาข้ามพรมแดนลงสู่พื้นที่ปลายน้ำของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
  • สารพิษที่ถูกตรวจพบ ได้แก่ สารหนู (Arsenic), ไซยาไนด์ (Cyanide), ปรอท (Mercury), ตะกั่ว (Lead), แคดเมียม (Cadmium) และโลหะหนักอื่น ๆ

นายไบรอัน ไอยเลอร์ (Brian Eyler) ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Stimson Center ผู้ทำการวิจัยเรื่องนี้ ได้กล่าวเน้นย้ำถึงอันตรายของการปนเปื้อนในพื้นที่ภาคเหนือของไทยว่า “โคลนเหนียว ๆ ที่ท่วมพื้นที่บางส่วนของภาคเหนือของไทยหลังฝนตกหนัก คือสิ่งแรกที่ทีมของผมพบว่ามีการปนเปื้อนในแม่น้ำกก” และเสริมว่า แม่น้ำสายมีระดับมลพิษที่รุนแรงที่สุดเมื่อเทียบกับแม่น้ำกก

แผลพุพองและปลาตาย ผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพในเชียงราย

ผลกระทบทางนิเวศวิทยาจากเหมืองเมียนมาได้แปรเปลี่ยนเป็นวิกฤตสาธารณสุขและความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจที่รุนแรงในชุมชนไทย

วิกฤตน้ำอุปโภคบริโภค ชุมชนในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ต้องพึ่งพาแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นแหล่งน้ำดิบหลักในการผลิตน้ำประปาเพื่อการบริโภคและใช้ในครัวเรือน การปนเปื้อนที่เกิดขึ้นสร้างความหวาดกลัวอย่างลึกซึ้งให้กับประชาชน อาจารย์ ดร. สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจจากการตรวจสอบน้ำเมื่อช่วงต้นปี 2568 ว่า ผลการทดสอบพบว่ามีการปนเปื้อนของ สารหนูในระดับที่เกินกว่าค่ามาตรฐานสูงสุดตามกฎหมายในทุกจุดที่เก็บตัวอย่าง โดยบางจุดเกินกว่าค่ามาตรฐานถึง 19 เท่า แม้ว่าภายหลังโรงงานผลิตน้ำประปาในเชียงรายหลายแห่งจะต้องหันไปใช้น้ำจากแหล่งน้ำภายในประเทศที่สะอาดกว่าเพื่อหลีกเลี่ยงแม่น้ำกก แต่ชุมชนที่ไม่ได้อยู่ในเขตประปาหลักยังคงต้องใช้น้ำจากแหล่งน้ำที่ปนเปื้อนเพื่อดื่ม ล้าง และว่ายน้ำ ซึ่งนำไปสู่รายงานการเกิด ผื่นคันตามผิวหนัง รวมถึงมีรายงาน ปลาตาย และปลาในแม่น้ำกกมีบาดแผลตามผิวหนัง

ภัยเงียบต่อสุขภาพระยะยาว ดร. สืบสกุล ยังได้เน้นย้ำถึงประเด็นที่ทางการอาจมองข้าม นั่นคือ การสะสมของสารพิษในร่างกายมนุษย์ “ทางการไทยยึดตามค่าสูงสุดที่อนุญาตให้มีสารหนูและโลหะหนักอื่น ๆ ในน้ำได้ หากค่าต่ำกว่าก็ถือว่าปลอดภัย แต่สารหนู ปรอท และตะกั่ว สามารถสะสมในร่างกายและในระยะยาวอาจนำไปสู่โรคมะเร็งและโรคอันตรายอื่น ๆ ได้”

การทำลายฐานเศรษฐกิจท้องถิ่น มลพิษได้สร้างผลกระทบอย่างตรงไปตรงมาต่อเสาหลักทางเศรษฐกิจของภาคเหนือ

  • อุตสาหกรรมการประมง นายเดช นวลใส (Det Nuansai) ชาวประมงวัย 57 ปีในบ้านปากอิง ริมแม่น้ำโขง กล่าวด้วยความท้อแท้ว่า “ผมอาจจะพูดได้ว่า ‘ผมเคยขายปลาของเขา’ ปลาแม่น้ำโขงเคยเป็นปลาที่คนต้องการมากที่สุดและแพงที่สุด แต่ ไม่มีใครอยากซื้อปลาจากแม่น้ำสายนี้อีกแล้ว ทุกคนกลัวว่าปลาจะเต็มไปด้วยสารหนูและสารเคมี”
  • ความมั่นคงทางอาหารและการเกษตร สารเคมีได้ไหลเข้าสู่พื้นที่เกษตรกรรมกว่า 100,000 ไร่ในจังหวัดเชียงราย ที่ทำการเกษตรโดยใช้น้ำจากแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก มีความกังวลว่าโลหะหนักจะปนเปื้อนในผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะ ข้าวนาปี ที่กำลังจะเก็บเกี่ยวในช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนนี้
  • ผลกระทบต่อการส่งออก ญี่ปุ่นได้ดำเนินการสั่งห้ามนำเข้า ถั่วแระญี่ปุ่น (Edamame) ที่มาจากพื้นที่นี้เนื่องจากพบการปนเปื้อนสารเคมี และ พริกแดง ก็กำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกห้ามนำเข้าเช่นกัน

ภาครัฐกับความนิ่งเฉย เสียงเรียกร้อง 10 ข้อที่ยังไร้การตอบสนอง

ท่ามกลางวิกฤตที่ทวีความรุนแรงขึ้น ภาคประชาชนโดยการนำของ เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก โขง ได้ก้าวเข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่รัฐบาลยังคงตอบสนองต่อปัญหาอย่างล่าช้าและขาดการสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายหลังจากที่รัฐบาลชุดใหม่ได้รับทราบปัญหาอย่างเป็นทางการแล้ว

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 อาจารย์ ดร. สืบสกุล กิจนุกร ได้ยื่นหนังสือเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล และรองนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยมีเนื้อหาสำคัญคือการวิพากษ์วิจารณ์ถึง “ความนิ่งเฉย” และ “ความไม่คืบหน้า” ในการแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม

ไทม์ไลน์คำสัญญาที่ยังไม่เป็นจริง

เครือข่ายประชาชนฯ ได้ส่งข้อเสนอ 10 ข้อให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการภายใน 4 เดือน ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2568

  1. วันที่ 9 ตุลาคม 2568 นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ลงพื้นที่รับฟังปัญหา พร้อมรับปากว่าจะจัดสรรงบประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อจัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ทดแทนแม่น้ำกกในการผลิตน้ำประปา
  2. วันที่ 11 ตุลาคม 2568 ร.อ. ธรรมนัส พรมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยืนยันว่าจะเจรจากับผู้ประกอบการเหมืองในรัฐฉาน และจะนำประเด็นนี้เข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบัน (21 ตุลาคม 2568) อาจารย์สืบสกุลชี้ว่ายังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังไม่มีการดำเนินการตรวจสอบสารโลหะหนักในผลผลิตข้าวนาปีกว่า 100,000 ไร่ ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญก่อนการเก็บเกี่ยว

นอกจากนี้ การตรวจสอบสารปนเปื้อนของหน่วยงานรัฐยังจำกัดวงแคบเกินไป โดยครอบคลุมเฉพาะพื้นที่ในจังหวัดเชียงราย ทั้งที่ปัญหาแผ่ขยายไปยังจังหวัดเชียงใหม่ด้วย

ข้อเรียกร้องเชิงยุทธศาสตร์ หยุดนำเข้าแร่และเปิดโต๊ะเจรจาจีน

ในบรรดาข้อเสนอ 10 ข้อของภาคประชาชน มีประเด็นเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดน

  1. ยุติการนำเข้าแร่จากเมียนมา (ข้อ 5) เครือข่ายประชาชนเรียกร้องให้ ยุติการนำเข้าแร่ทุกชนิดจากเมียนมา จนกว่าผู้นำเข้าจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าแร่ดังกล่าวไม่ได้มาจากเหมืองที่ก่อให้เกิดมลพิษในแม่น้ำ ข้อเรียกร้องนี้มีความหนักแน่นยิ่งขึ้น เมื่อรายงานจากสำนักงานศุลกากรภาค 3 เผยตัวเลขที่น่าฉงนว่า ในปี 2568 เอกชนไทยกว่า 40 ราย ได้นำเข้าสินแร่ผ่านด่านชายแดนภาคเหนือ 4 จังหวัด รวมมูลค่าสูงถึง 9,825.92 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2567 กว่า 7,714.31 ล้านบาท ขณะที่รัฐบาลกลางเมียนมาอ้างว่าไม่เคยอนุญาตให้มีการส่งออกแร่ในรัฐฉานเลย คำถามคือ แร่มูลค่าเกือบหนึ่งหมื่นล้านบาทนี้มาจากเหมืองที่ก่อมลพิษข้ามพรมแดนหรือไม่ และผู้นำเข้ามีหน้าที่ต้องแสดงแหล่งกำเนิดที่ชัดเจน
  2. เจรจาระดับภูมิภาค (ข้อ 8) เรียกร้องให้รัฐบาลไทย เปิดเวทีเจรจาอย่างเป็นทางการกับประเทศเมียนมาและจีน เพื่อเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศตระหนักและรับผิดชอบต่อมลพิษที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในประเทศไทย

“ยุทธศาสตร์ย้อนรอยห่วงโซ่อุปทาน” เพื่อกดดันมหาอำนาจโลก

นักวิชาการหลายฝ่ายต่างชี้ตรงกันว่า กุญแจสำคัญในการแก้ปัญหานี้อยู่ที่ ประเทศจีน เนื่องจากจีนครอบงำตลาดแร่หายากของโลกอย่างเบ็ดเสร็จ โดยเป็นผู้สกัดแร่แรร์เอิร์ธร้อยละ 60 และเป็นผู้แปรรูปหรือกลั่นแร่ขั้นสุดท้ายถึง ร้อยละ 87 ของปริมาณแรร์เอิร์ธทั่วโลก

มีการเสนอแนะให้รัฐบาลไทยใช้ ยุทธศาสตร์ย้อนรอยห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Traceability) เพื่อใช้เวทีการเจรจาระดับภูมิภาค เช่น การประชุมผู้นำความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (MLC Leaders’ Meeting) ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ปลายปี 2568 นี้ ในการกดดันจีนให้ตรวจสอบความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทานแร่หายากในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

แม้จีนจะปฏิเสธการเกี่ยวข้องโดยตรงในพื้นที่เหมืองที่ไร้การควบคุมของเมียนมา แต่ข้อเท็จจริงทางยุทธศาสตร์คือ แร่แรร์เอิร์ธจำนวนมหาศาลที่ถูกขุดจากเมียนมานั้น จำเป็นต้องถูกส่งกลับไปกลั่นขั้นสุดท้ายในประเทศจีน เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่ยังไม่มีศักยภาพทางเทคนิคในการแปรรูปแร่ให้กลายเป็นออกไซด์ที่พร้อมใช้งานได้

ความพยายามของจีนในการกุมอำนาจในห่วงโซ่อุปทานนี้ถูกตอกย้ำด้วยการที่จีนประกาศห้ามการส่งออกเทคโนโลยีที่ใช้ในการแปรรูปแร่เหล่านี้ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 การใช้ยุทธศาสตร์ที่แข็งกร้าวของไทยในการเรียกร้องให้จีนรับผิดชอบในฐานะผู้ครอบงำตลาด (concentration risk) จึงเป็นแนวทางเดียวที่จะปกป้องสิทธิของประชาชนในการมีชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่ดี

บทสรุปและความเร่งด่วน

วิกฤตมลพิษเหมืองแร่หายากในเมียนมามิใช่เพียงปัญหาท้องถิ่น แต่เป็นโจทย์ทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่ซับซ้อน ซึ่งตอกย้ำถึง “ด้านมืด” ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่โลกต้องพึ่งพา การทำเหมืองแบบไร้การควบคุมได้เปลี่ยนภูมิทัศน์ของรัฐกะฉิ่นให้กลายเป็นพื้นที่ที่ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง และส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงปากท้องและสุขภาพของประชาชนในไทย

นางสาวเพียรพร ดีเทศ (ป้าใฝ่) ผู้อำนวยการองค์กรแม่น้ำและสิทธิ (Rivers & Rights) ได้เตือนว่า สารโลหะหนักที่ปนเปื้อนในระบบนิเวศนั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อย 100 ปี ในการย่อยสลายโดยธรรมชาติ หากรัฐบาลไทยยังคงประวิงเวลาในการดำเนินการตามข้อเรียกร้องของภาคประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ การตรวจสอบผลผลิตเกษตรกรรมกว่าแสนไร่ และการเปิดเวทีเจรจาอย่างจริงจังกับเมียนมาและจีน ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นต้นทุนที่สังคมไทยต้องแบกรับไปอีกหลายชั่วอายุคน และเป็นการยอมจำนนต่อภัยพิบัติข้ามพรมแดนที่คุกคามชีวิตคนหลายล้านคนในลุ่มน้ำโขง

การป้องกันการปนเปื้อนเพิ่มเติมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเหนือกว่าการแก้ไขเยียวยา โดยมีหลักฐานชวนคิดถึงความรุนแรงของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในต่างประเทศ เช่น โรงงานแปรรูปในเมืองเป่าโถวของจีน ที่สร้างมลพิษสะสมมาหลายสิบปี จนเกิดทะเลสาบตะกอนพิษขนาดใหญ่ และส่งผลให้ประชาชนเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งและโรคทางเดินหายใจ บทเรียนเหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงความจำเป็นที่ไทยต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดและเร่งด่วนที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Stimson Center
  • Mongabay
  • อาจารย์ ดร. สืบสกุล กิจนุกร
  •  เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก โขง
  • สำนักงานศุลกากรภาค 3
  • United States Geological Survey (USGS)
  • องค์กร River & Rights (Pianporn Deetes)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News