ฝุ่น PM2.5 พุ่งสูง! กรุงเทพฯ-เชียงรายวิกฤต สสจ.เตือนงดกิจกรรมกลางแจ้ง

เชียงราย, 24 มีนาคม 2568 – สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในประเทศไทยทวีความรุนแรง โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครที่ทำสถิติสูงสุดในรอบปี 2568 ด้วยระดับฝุ่นที่อยู่ในเกณฑ์อันตรายต่อสุขภาพ (สีแดงถึงสีม่วง) ติดต่อกันนานถึง 38 ชั่วโมง ขณะที่จังหวัดเชียงรายและภาคเหนือ รวมถึงภาคอีสาน ยังคงเผชิญปัญหาหมอกควันข้ามแดนจากเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจาก สปป.ลาว ที่มีการเผาในภาคเกษตรและป่าไม้เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากังวล

จากข้อมูลล่าสุด ฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ ได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย ทั้งการเผาในภาคเกษตรและป่าไม้ การปล่อยมลพิษจากยานยนต์และโรงงานอุตสาหกรรมที่กลับมาดำเนินกิจกรรมตามปกติ รวมถึงปรากฏการณ์ฝาชีครอบต่ำ (Temperature Inversion) ซึ่งทำให้ฝุ่นไม่สามารถระบายออกได้ นอกจากนี้ ฝุ่นพิษที่ตีกลับจากอ่าวไทยยังเพิ่มความรุนแรงของสถานการณ์ในกรุงเทพฯ ขณะที่ภาคเหนือและอีสานได้รับผลกระทบจากหมอกควันข้ามแดนจากเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะจาก สปป.ลาว และเมียนมา ซึ่งมีการเผาในพื้นที่เกษตรอย่างต่อเนื่อง

ในจังหวัดเชียงราย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ได้ออกประกาศเตือนประชาชนให้ระวังผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 ที่สูงเกินมาตรฐาน โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ AIR4Thai ระบุว่า ค่า PM2.5 ในหลายพื้นที่ของจังหวัดอยู่ในระดับ “มีผลกระทบต่อสุขภาพ” (สีส้มถึงสีแดง) สสจ.เชียงรายแนะนำให้ประชาชนปฏิบัติตามแนวทาง “รู้ – ลด – เลี่ยง” เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ ดังนี้:

  1. รู้: ติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ เช่น Air4Thai หรือ “เชียงรายรู้ทันฝุ่น V2”
  2. ลด: งดกิจกรรมกลางแจ้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นสูงตั้งแต่ระดับสีส้ม สีแดง สีม่วง ไปจนถึงสีน้ำตาล
  3. เลี่ยง: สวมหน้ากากอนามัยชนิด N95 ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด ใช้เครื่องฟอกอากาศ และดูแลกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรังเป็นพิเศษ

นพ.เอกชัย คำลือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า “สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในขณะนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่อาจมีอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก หรืออาการทางระบบทางเดินหายใจ ขอให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด และหากมีอาการผิดปกติให้รีบพบแพทย์ทันที”

การเมืองร้อนระอุ: อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ เรื่องฝุ่น PM2.5

ในวันเดียวกัน ที่อาคารรัฐสภา มีการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 โดยนายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน ได้หยิบยกประเด็นการจัดการปัญหาฝุ่น PM2.5 มาอภิปราย โดยระบุว่านายกฯ ขาดความรู้ ความสามารถ และความเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหานี้

นายภัทรพงษ์ กล่าวว่า “ในเวทีแถลงผลงาน 90 วันของนายกฯ มีการนำเสนอข้อมูลที่ผิดพลาดจากความเป็นจริง ปัญหาฝุ่น PM2.5 ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567 ถึงกุมภาพันธ์ 2568 มีความรุนแรงมากขึ้น แต่รัฐบาลกลับไม่สามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ” เขายังวิจารณ์ถึงข้อสั่งการของนายกฯ ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อเดือนตุลาคม 2567 ที่ระบุ 3 มาตรการหลัก ได้แก่ ห้ามรับซื้อสินค้าเกษตรจากการเผา ตรวจจับควันดำจากรถยนต์ และควบคุมมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม แต่กลับไม่มีการออกมาตรการบังคับที่ชัดเจน เช่น การตรวจสอบห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของผู้ประกอบการนำเข้าข้าวโพด หรือการสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยให้เปลี่ยนไปใช้วิธีการเกษตรแบบไม่เผา

สส.พรรคประชาชน ยังชี้ถึงความล้มเหลวในการอบรมท้องถิ่นเพื่อดับไฟป่า โดยระบุว่า จากเป้าหมาย 2,000 แห่ง รัฐบาลกลับดำเนินการได้เพียง 60 แห่งเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีการขัดแย้งในนโยบายภายในรัฐบาล โดยเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ครม. มีมติให้แต่ละจังหวัดบริหารจัดการเชื้อเพลิงด้วยวิธีชิงเผา แต่เพียง 1 เดือนต่อมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กลับออกคำสั่งห้ามเผาทุกกรณี ซึ่งนายภัทรพงษ์ตั้งคำถามว่า “ความเป็นผู้นำของนายกฯ อยู่ตรงไหน รัฐมนตรีไม่เห็นหัวตระกูลชินวัตรเลย”

นายภัทรพงษ์ ยังวิจารณ์ถึงการจัดการในกรุงเทพฯ โดยระบุว่า นายกฯ สั่งการให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ป้องกันฝุ่น PM2.5 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 แต่กลับไม่ให้อำนาจ กทม. ในการจับรถควันดำอย่างเต็มที่ มาตรการที่ออกมาจึงจำกัดเพียงการประกาศ Low Emission Zone และรถไฟฟ้าฟรีโดยใช้งบกลางเท่านั้น นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังออกประกาศนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปลอดภาษีเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 โดยไม่ระบุเงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อมหรือการเผา ซึ่งขัดแย้งกับนโยบายของนายกฯ

ในประเด็นการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน นายภัทรพงษ์ ระบุว่า การเจรจาในเวที ASEAN Summit ที่ลาวเมื่อเดือนตุลาคม 2567 ไม่มีเรื่องฝุ่น PM2.5 ในปฏิญญาเลยสักฉบับ แสดงถึงความล้มเหลวในการผลักดันวาระนี้ในระดับภูมิภาค เขายังยกตัวอย่างกรณีการซ้อมรบของกองทัพในจังหวัดพะเยาเมื่อวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งก่อให้เกิดไฟป่า โดยอ้างข้อมูลจากดาวเทียม NASA และ Sentinel-2 ว่าจุดความร้อนมาจากกระสุนที่ตก แม้ว่านายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะชี้แจงว่าไฟป่าไม่ได้รุนแรงและไม่ได้เกิดจากกระสุนของกองทัพ

นายภัทรพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ทั้งหมดนี้คือความวิบัติของประเทศที่มีผู้นำอย่างแพทองธาร ซึ่งขาดความรู้ ความสามารถ ความจริงใจ และความเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 สุดท้ายผู้ที่ได้รับผลกระทบคือประชาชน”

รัฐบาลโต้กลับ: ยุทธศาสตร์ฟ้าใสและความร่วมมืออาเซียน

ด้านนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ลุกขึ้นชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยยืนยันว่ารัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในมิติของความร่วมมือระหว่างประเทศ นายมาริษ ระบุว่า รัฐบาลได้ผลักดัน “ยุทธศาสตร์ฟ้าใส” (CLEAR Sky Strategy) ร่วมกับ สปป.ลาว และเมียนมา ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 โดยมีเป้าหมายลดหมอกควันข้ามแดนอย่างยั่งยืน ผ่านการจัดทำแผนที่พื้นที่เสี่ยง การเฝ้าระวังไฟป่า การเปิดสายด่วนประสานงาน และการพัฒนาเทคโนโลยีแก้ไขปัญหา

นายมาริษ ยังชี้แจงถึงความร่วมมือในกรอบอาเซียน โดยระบุว่ารัฐบาลได้ผลักดันประเด็นฝุ่น PM2.5 ผ่านการประชุมสุดยอดอาเซียนที่เวียงจันทน์ และการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่เกาะลังกาวี มาเลเซีย รวมถึงจัดงานสัมมนาแนวทางการแก้ไขหมอกควันข้ามแดน โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญจากจีน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย องค์การอนามัยโลก ธนาคารโลก และองค์กรระหว่างประเทศ เช่น GIZ และ ADPC มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ นอกจากนี้ ยังมีการผลักดันความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาของอาเซียน เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา และแคนาดา

ในระดับทวิภาคี กระทรวงการต่างประเทศได้ร่วมกับสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ในการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ สปป.ลาว เพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 รวมถึงการประชุมกับกัมพูชาเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2567 เพื่อจัดตั้งช่องทางการสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลจุดความร้อนและความร่วมมือดับไฟ โดยทั้งสองฝ่ายเตรียมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในวันที่ 23-24 เมษายน 2568 ระหว่างการเยือนของนายกรัฐมนตรี

30 ปีแห่งความพยายาม: ความร่วมมืออาเซียนแก้หมอกควันข้ามแดน

ปัญหาหมอกควันข้ามแดนในอาเซียนมีมานานกว่า 30 ปี โดยเริ่มต้นจากไฟป่าในอินโดนีเซียที่ส่งผลกระทบต่อบรูไน สิงคโปร์ มาเลเซีย และภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะในปี 2537 ซึ่งนำไปสู่การร่างแผนปฏิบัติการหมอกควันระดับภูมิภาค (Regional Haze Action Plan: RHAP) ในปี 2538 ต่อมาในปี 2545 อาเซียนได้ลงนามในข้อตกลงว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน (ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution: AATHP) และจัดทำโรดแมป ASEAN Transboundary Haze Free Roadmap by 2020 เพื่อทำให้อาเซียนปลอดหมอกควันภายในปี 2563

อย่างไรก็ตาม แผนดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากขาดมาตรการบังคับและการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม ส่งผลให้เกิดแผนงานฉบับที่สองในปี 2566-2573 (Second ASEAN Haze-Free Roadmap 2023-2030) ซึ่งเปิดตัวในปี 2567 นอกจากนี้ ยังมีแผนย่อย เช่น แผนปฏิบัติการเชียงราย 2017 ที่มุ่งลดจุดความร้อนในอนุภูมิภาคแม่โขง และยุทธศาสตร์ฟ้าใสในปี 2567 ที่เน้นความร่วมมือระหว่างไทย สปป.ลาว และเมียนมา

มุมมองทั้งสองฝ่าย: ความท้าทายและความพยายาม

จากมุมมองของฝ่ายค้าน นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ ชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐบาลในการจัดการปัญหาฝุ่น PM2.5 ทั้งในระดับนโยบายภายในประเทศและการเจรจาระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการขาดความเป็นผู้นำของนายกฯ ที่ไม่สามารถผลักดันนโยบายให้เกิดผลเป็นรูปธรรม รวมถึงการขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงาน เช่น กรณีคำสั่งขัดแย้งระหว่างกระทรวงมหาดไทยและครม. รวมถึงการซ้อมรบของกองทัพที่ก่อให้เกิดไฟป่า

ในทางกลับกัน รัฐบาลโดยนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ ยืนยันถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหา ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี ผ่านยุทธศาสตร์ฟ้าใสและความร่วมมือในกรอบอาเซียน รวมถึงการผลักดันเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว รัฐบาลยังเน้นย้ำถึงการทำงานร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านและพันธมิตรระหว่างประเทศ เพื่อลดหมอกควันข้ามแดนอย่างยั่งยืน

ทั้งสองฝ่ายมีข้อโต้แย้งที่สมเหตุสมผล ฝ่ายค้านชี้ให้เห็นถึงช่องว่างในนโยบายและการดำเนินการที่ยังไม่เพียงพอ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง ขณะที่รัฐบาลแสดงถึงความพยายามในระดับนานาชาติ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 จึงยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งในและนอกประเทศ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ค่า PM2.5 ในกรุงเทพฯ: วันที่ 24 มีนาคม 2568 ค่า PM2.5 เฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ 75-100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (μg/m³) ซึ่งอยู่ในระดับอันตรายต่อสุขภาพ (สีแดงถึงสีม่วง) ติดต่อกัน 38 ชั่วโมง (ที่มา: Air4Thai)
  • จุดความร้อนในอาเซียน: ระหว่างปี 2565-2566 จุดความร้อนในกัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา สิงคโปร์ เวียดนาม และไทย เพิ่มจาก 704,892 จุด เป็น 1,130,626 จุด (ที่มา: สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ – GISTDA)
  • การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์: ปี 2566 ไทยนำเข้าข้าวโพดจากเมียนมา ลาว และกัมพูชา 1,331,428 ตัน เพิ่มเป็น 2,012,117 ตัน ในปี 2567 (ที่มา: กรมศุลกากร)
  • จุดความร้อนในพื้นที่ปลูกข้าวโพด: 1 ใน 3 ของจุดความร้อนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงอยู่ในพื้นที่ปลูกข้าวโพด (ที่มา: รายงานของกรีนพีซ, 2558-2563)

สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ยังคงเป็นปัญหาที่ต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่สภาพอากาศปิดและมีการเผาเพิ่มขึ้นทั้งในและนอกประเทศ การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • Air4Thai
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ
  • กรมศุลกากร
  • รายงานของกรีนพีซ, 2558-2563
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News