“การศึกษาคือโอกาส” รมช.ศึกษาฯ ลงพื้นที่ ย้ำโมเดล “Co-Learning Space” ยกระดับห้องสมุด–ฟื้นฟู สกร. หลังน้ำท่วม สร้างระบบเรียนรู้ตลอดชีวิตที่เข้าถึงได้จริง

เชียงราย, 23 สิงหาคม 2568 – การลงพื้นที่ของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่จังหวัดเชียงรายครั้งนี้ มีนัยสำคัญเชิงนโยบายอย่างน้อย 3 มิติ ได้แก่ (1) สานต่อกฎหมาย “ส่งเสริมการเรียนรู้” ที่ยกระดับงานการศึกษาตลอดชีวิตจากอดีต กศน. สู่ “กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.)” ทำให้ภารกิจพัฒนาทักษะตลอดชีวิตมีฐานกฎหมายและงบประมาณชัดเจน (2) เร่งแปลง “ห้องสมุดประชาชน” ให้เป็น Co-Learning Space หรือ “พื้นที่เรียนรู้ร่วม” เชื่อมอ่าน-ทำ-อาชีพ ตามแนวคิดห้องสมุดมีชีวิตและเมืองแห่งการเรียนรู้สากล เพื่อยกระดับคุณภาพ (value) แทนการวัดผลด้วยปริมาณผู้ใช้บริการอย่างเดียว และ (3) ฟื้นฟูความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านการเรียนรู้หลังภัยพิบัติ โดยเฉพาะผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2567 ที่กระทบหลายจังหวัดทางเหนือ รวมถึงเชียงราย ซึ่งสะท้อนโจทย์ “ความยืดหยุ่นของระบบการเรียนรู้ (learning resilience)” ที่ต้องรับมือได้ทั้งยามปกติและยามวิกฤต

เมื่อวางเหตุการณ์ลงบนแผนที่นโยบายระดับประเทศ จะเห็นว่าแนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับกรอบสากลของยูเนสโกเรื่อง “เมืองแห่งการเรียนรู้” (Learning Cities) ที่ผลักดันระบบนิเวศการเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านสถานที่เรียนรู้สาธารณะ เช่น ห้องสมุด ศูนย์ชุมชน และพื้นที่สร้างสรรค์ โดยเน้นคุณค่าเชิงทักษะและความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกัน ภูมิศาสตร์สังคมของเชียงราย—จังหวัดชายแดนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และชุมชนภูเขา—ยิ่งทำให้โมเดล Co-Learning Space เป็นเครื่องมือที่ “ตรงโจทย์พื้นที่” มากกว่านโยบายส่วนกลางเชิงเส้น

ห้องสมุดที่ไม่ใช่แค่ชั้นหนังสือ

ยามบ่ายวันเสาร์ แสงแดดลอดกระจกใสของห้องสมุดประชาชนกลางเมืองเชียงราย โต๊ะยาวถูกจัดเป็นเวิร์กช็อปสาธิตอาหารพื้นถิ่น ด้านข้างเป็นโซนงานฝีมือและมุมสื่อดิจิทัลที่ผู้เรียนเปิดดูคลิปวิธีทำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นอย่างตั้งใจ เสียงพูดคุยสลับกับเสียงคลิกเมาส์—ภาพที่บอกว่า “ห้องสมุด” ไม่ได้มีบทบาทแค่ที่เก็บหนังสืออีกต่อไป

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ลิณธิภรณ์ เดินชมผลงานของผู้เรียนภายใต้การดูแลของ กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ระดับอำเภอเมืองเชียงราย ทั้งงานศิลปะ งานฝีมือ และอาหารท้องถิ่นที่ต่อยอดเป็นอาชีพได้จริง ก่อนประชุมมอบนโยบายแก่ผู้บริหาร ครู และบุคลากร สกร. โดยเน้นวิสัยทัศน์ให้ห้องสมุดประชาชนพัฒนาไปสู่ “Co-Learning Space”—พื้นที่ที่คนทุกวัยเข้ามาเรียนร่วมกัน แบ่งปันความรู้ ต่อทักษะเป็นอาชีพ และพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม

“อยากให้ทุกคนที่ได้รับการศึกษาคือคนที่โชคดี และการได้เรียนของ สกร. คือโอกาสที่ได้ทั้งเรียนและทำงาน… การเรียน สกร. คือการสร้างโอกาสอย่างทั่วถึง และทำให้มีทักษะอาชีพเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้”
— ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ กล่าวระหว่างมอบนโยบาย

จาก “กฎหมายส่งเสริมการเรียนรู้” สู่ สกร. เครื่องยนต์การเรียนรู้ตลอดชีวิต

จุดเปลี่ยนสำคัญของระบบการศึกษาตลอดชีวิตไทยคือ พระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 ซึ่งยกระดับงานด้านการศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัยสู่ “กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.)” ในกำกับกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้ภารกิจพัฒนาทักษะประชาชนตลอดช่วงชีวิตมีฐานะทางกฎหมาย โครงสร้าง และพันธกิจที่ชัดเจนกว่าเดิม ทั้งในแง่การจัดหลักสูตรยืดหยุ่น การเทียบโอนผลการเรียนรู้ และการเชื่อมต่อการเรียนกับอาชีพในพื้นที่ โดยเอกสารวิชาการและข้อมูลสาธารณะให้ภาพรวมพัฒนาการของกฎหมายฉบับนี้และทิศทางของหน่วยงานใหม่ไว้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นพื้นฐานของการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ในวันนี้.

ในระดับพื้นที่ เชียงรายมีหน่วยงาน สกร.จังหวัด-อำเภอ และเครือข่ายห้องสมุดประชาชน/ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนทำงานเชิงรุกอยู่แล้ว เอกสารแนะนำหน่วยงาน สกร.เชียงรายสะท้อนภาพรวมการบริการความรู้และกิจกรรมสาธารณะหลายมิติ—ตั้งแต่มุมอ่านหนังสือ สื่อดิจิทัล เวิร์กช็อปทักษะอาชีพ ไปจนถึงกิจกรรมวัฒนธรรม—ซึ่งเป็นฐานพร้อมต่อยอดสู่ Co-Learning Space เต็มรูปแบบ

ทำไมต้อง “Co-Learning Space” จากแนวคิดสากลสู่การใช้งานจริง

แนวคิดห้องสมุดมีชีวิตและพื้นที่เรียนรู้ร่วม ไม่ใช่แฟชั่นระยะสั้น แต่คือ “สถาปัตยกรรมการเรียนรู้” ที่สอดคล้องกับกรอบสากลของ UNESCO Institute for Lifelong Learning (UIL) ที่ผลักดันเครือข่าย “เมืองแห่งการเรียนรู้ (Global Network of Learning Cities)” เพื่อสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ในชุมชนผ่านพื้นที่สาธารณะ—ห้องสมุด ศูนย์การเรียนรู้ และแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรม—ให้เป็นฐานพลังทุนมนุษย์และความยืดหยุ่นของเมือง

ด้านการออกแบบเชิงปฏิบัติ หน่วยงานไทยอย่าง TK Park – สถาบันอุทยานการเรียนรู้ ทำหน้าที่เป็น “ต้นแบบห้องสมุดมีชีวิต” ที่พัฒนากรอบคิด Good Library Space และนวัตกรรมบริการอ่าน-คิด-ทำ ให้ห้องสมุดกลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ (creative commons) สำหรับทุกวัย ซึ่งเป็นประสบการณ์โดยตรงที่พื้นที่อย่างเชียงรายสามารถหยิบไปปรับใช้ได้ทันที ทั้งการจัดโซนทำงานร่วม (co-working/co-making) การเชื่อมดิจิทัลคอนเทนต์ และกิจกรรมเสริมทักษะอาชีพที่ตอบโจทย์ชุมชน.

ความหลากหลาย + ชายแดน + ฟื้นตัวหลังภัยพิบัติ

เชียงรายเป็นจังหวัดชายแดนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม ทั้งชุมชนไทลื้อ ไทเขิน อาข่า ลาหู่ ฯลฯ งานวิจัยท้องถิ่นสะท้อนภาพ “ความต่างที่อยู่ร่วมกัน” ในหลายอำเภอ เช่น อำเภอเชียงแสนที่พบชุมชนหลายกลุ่มชาติพันธุ์อยู่ร่วมบริเวณเดียวกัน ซึ่งเป็นทั้งทุนทางวัฒนธรรมและโจทย์ด้านภาษากับสื่อการเรียนรู้ที่ต้องออกแบบให้เข้าถึงจริง.

อีกด้านหนึ่ง เชียงรายได้รับผลกระทบจากอุทกภัยใหญ่ในช่วงมรสุมปี 2567 จากอิทธิพลพายุ “ยากิ” และร่องมรสุม ส่งผลให้หลายจังหวัดในภาคเหนือ-อีสานเผชิญน้ำหลาก-ดินถล่ม หน่วยงานประสานความร่วมมือภัยพิบัติภูมิภาคอาเซียน (AHA Centre) ระบุสถานการณ์และจังหวัดที่ได้รับผลกระทบชัดเจน รวมถึงพื้นที่เชียงราย ซึ่งในมิติการศึกษาต้องเร่งฟื้นฟูทั้งสถานที่และระบบบริการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ (เช่น ห้องคลังสื่อ ศูนย์ e-exam) ให้กลับมาพร้อมใช้งานอย่างปลอดภัยและยืดหยุ่น.

ด้วยภูมิศาสตร์แบบประตูการค้าชายแดนและความหลากหลายทางวัฒนธรรม โมเดล Co-Learning Space จึงไม่ใช่แค่การ “ทำห้องสวย” แต่คือการวางแพลตฟอร์มบริการความรู้ที่เชื่อม อ่าน–ทำ–อาชีพ–ดิจิทัล ให้คนทุกกลุ่มเข้าถึงได้จริง ตั้งแต่วัยเรียน แรงงานนอกระบบ ไปจนถึงผู้สูงวัยและผู้พิการ

แผนที่สู่การปฏิบัติ 4 กลไกเร่งด่วนที่ “ทำได้เลย”

1) ปรับห้องสมุดเป็นพื้นที่เรียนรู้ร่วม
จัดโซน co-working/co-making พร้อมอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับฝึกอาชีพเบื้องต้น (งานช่างฝีมือ อาหาร แปรรูปสินค้า) และมุมดิจิทัลสื่อการสอน/ให้คำปรึกษาอาชีพออนไลน์ เชื่อมแนวคิดห้องสมุดมีชีวิตของ TK Park เข้ากับสภาพจริงของห้องสมุดชุมชน—ชั้นหนังสือน้อยลง พื้นที่กิจกรรมมากขึ้น บริการ “ครูพี่เลี้ยง” และอาสาสมัครรู้จริงในทักษะอาชีพ.

2) เปิดหลักสูตรยืดหยุ่น–เทียบโอนผลการเรียนรู้
ใช้กลไกตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ 2566 ผลักดันการเทียบโอนทักษะจากงานจริง (RPL: Recognition of Prior Learning) ให้คนทำงานและผู้เรียนกลุ่มเปราะบาง “จบหลักสูตร” ได้เร็วขึ้น และเชื่อมต่อสู่ระบบคุณวุฒิวิชาชีพ/ประกาศนียบัตรระยะสั้นที่ตลาดแรงงานต้องการ ลดต้นทุนเวลาและโอกาสที่หลุดจากระบบ.

3) ฟื้นฟู–ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานหลังน้ำท่วม
เร่งซ่อมแซม/ย้ายจุดเสี่ยงของศูนย์บริการเรียนรู้ เช่น ห้องสมุดคลังสื่อและศูนย์ e-exam ให้ปลอดภัยรองรับน้ำท่วมซ้ำซาก ออกแบบระบบสำรองไฟ-สำรองข้อมูล-ระบบออนไลน์ให้สลับโหมดได้ทันทีเมื่อเกิดภัยพิบัติ เพื่อให้การสอบ การเทียบโอน และการเรียนออนไลน์ “ไม่สะดุด” ในภาวะวิกฤต.

4) ปิดช่องว่างดิจิทัล (digital divide)
อาศัยข้อมูลสำรวจไอซีทีครัวเรือนของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) เป็นฐานวิเคราะห์การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต-อุปกรณ์ เริ่มจากตำบล/อำเภอที่มีอัตราการเข้าถึงต่ำสุด จัด “จุดเชื่อมต่อเรียนรู้ดิจิทัล” และคลินิกทักษะดิจิทัลเบื้องต้นควบคู่กับ Co-Learning Space เพื่อให้ผู้เรียนทุกวัยใช้บริการภาครัฐ/สมัครงาน/เรียนออนไลน์ได้จริง. Royal

ห้องสมุด = เวิร์กช็อปอาชีพ + ศูนย์รวมชุมชน

ผู้เรียนวัยทำงานที่นำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมาวางสาธิต เล่าว่าเดิม “เข้าห้องสมุด” เพื่อยืมหนังสือ แต่เมื่อมีคลินิกอาชีพและมุมดิจิทัล ก็เริ่มค้นสูตร ทดลองทำสินค้า ถ่ายภาพ-ตัดต่อคลิป สร้างตัวตนบนออนไลน์ และนำความรู้ไปขายจริงในตลาดนัดชุมชน “ห้องสมุดกลายเป็นพื้นที่ทำงานและที่ปรึกษา” ขณะที่ครูอาสา สกร. ย้ำว่าการมีพื้นที่ให้เรียนรู้ร่วมกัน ทำให้ผู้เรียนหลากวัยช่วยกันเติมเต็ม—คนรุ่นพี่ถ่ายทอดภูมิปัญญา คนรุ่นใหม่เสริมดิจิทัล—เกิดเป็นชุมชนการเรียนรู้ (learning community) ที่ยั่งยืนกว่าชั้นเรียนสั้น ๆ

แม้รายละเอียด “อันดับการใช้งาน” ของห้องสมุดแต่ละจังหวัดอาจต่างกันไปตามเดือนและดัชนีที่ใช้วัด แต่แนวโน้มเชิงนโยบายและต้นแบบบริการของไทย-ต่างประเทศชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า ห้องสมุดยุคใหม่ต้องเป็น แพลตฟอร์ม มากกว่าสถานที่—แพลตฟอร์มที่ประชาชนเข้ามา “อ่าน-เรียน-ทำ-เชื่อมงาน” ได้ในจุดเดียว และหากผูกเข้ากับการเทียบโอน/วุฒิบัตรระยะสั้น ก็จะยิ่งเพิ่มความคุ้มค่าต่อเวลาและรายได้ของผู้เรียน

เชื่อมระดับพื้นที่กับระดับโลก เมืองแห่งการเรียนรู้คือความยั่งยืน

ยูเนสโกเสนอว่าการเป็น “เมืองแห่งการเรียนรู้” จะทำให้เมืองยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง เศรษฐกิจชุมชนหลากหลายขึ้น และลดความเหลื่อมล้ำ เพราะทุกคนมีช่องทางเติมทักษะตลอดชีวิตอย่างต่อเนื่อง—ห้องสมุด โรงเรียน ศูนย์ชุมชน และดิจิทัลทำงานร่วมกันเป็นระบบนิเวศเดียว ในมุมนี้ เชียงรายมีทุนพร้อม ทั้งภาคการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เครือข่ายชุมชนชาติพันธุ์ และเป็นจุดเชื่อมชายแดน หาก Co-Learning Space ขยายจากตัวเมืองสู่ตำบล-หมู่บ้าน พร้อมวัดผลด้วยตัวชี้วัดเชิงมูลค่า (เช่น รายได้ต่อครัวเรือนจากทักษะใหม่ จำนวนผู้เทียบโอนสำเร็จ หรือเวลาเข้าถึงบริการรัฐที่ลดลง) เมืองจะ “เห็นผล” ได้เร็วกว่าการวัดเพียงจำนวนคนเข้าใช้ห้องสมุด

จากคำประกาศ “การศึกษาคือโอกาส” สู่การเปลี่ยนพื้นที่ให้เรียนรู้ได้จริง

สารสำคัญจากเชียงรายวันนี้คือ การประกาศ “การศึกษาคือโอกาส” ไม่ได้หยุดอยู่ที่เวทีสัมมนา แต่ถูกวางเป็น พิมพ์เขียวปฏิบัติการ ผ่าน 4 กลไก—แปลงห้องสมุดเป็น Co-Learning Space, เทียบโอนทักษะ-หลักสูตรยืดหยุ่น, ฟื้นฟูโครงสร้างหลังภัยพิบัติ, และปิดช่องว่างดิจิทัล—ทั้งหมดสอดรับทั้งกฎหมายไทยด้านการเรียนรู้ตลอดชีวิต แนวคิดสากลของยูเนสโก และภูมิศาสตร์สังคมของเชียงราย

คำกล่าวของ รมช.ศึกษาฯ ที่ว่า “การเรียนของ สกร. คือโอกาสที่ได้ทั้งเรียนและทำงาน” จึงไม่ใช่เพียงประโยคให้แรงบันดาลใจ แต่เป็นกรอบคิดเชิงนโยบายที่เรียกร้อง “การลงมือทำ” ต่อเนื่อง—ตั้งแต่งานออกแบบพื้นที่ บริการ และข้อมูล ไปจนถึงการประสานภาคีในจังหวัด หากเชียงรายเดินตามพิมพ์เขียวนี้ได้อย่างสม่ำเสมอ เมืองชายแดนแห่งนี้ย่อมมีโอกาสก้าวสู่ Learning City ที่คนทุกวัย “เข้าไปแล้วมีทางออก”—ทางออกสู่ทักษะใหม่ งานใหม่ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงศึกษาธิการ
  • สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดเชียงราย (สกร.)
  • ที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลจากผู้บริหารและบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่
  • สถิติการใช้งานห้องสมุดประชาชนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News