เชียงรายอาลัย “พ่อครูชรินทร์ แจ่มจิตต์” ปราชญ์ล้านนาและครูภาษา-อักษรตั๋วเมือง สิ้นลมหายใจวัย 84 ปี—ทิ้งมรดกความรู้ที่กลั่นจากใบลานสู่ฟอนต์ดิจิทัล

เชียงราย, 21 สิงหาคม 2568 – เช้าตรู่กลางฤดูฝน เมืองเชียงรายเงียบขรึมเป็นพิเศษ ข่าวการจากไปของ “พ่อครูชรินทร์ แจ่มจิตต์” ปราชญ์ทางภาษา วรรณกรรม และประวัติศาสตร์ยวน-ล้านนา แพร่ไปตามสายลมและโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว หลายคนจำภาพชายสูงวัยผู้มีแววตาอ่อนโยนที่นั่งสอน “อักษรธรรมล้านนา” หรือที่ชาวบ้านคุ้นปากว่า “ตั๋วเมือง” อยู่ริมเสาศาลาการเปรียญได้เสมอ วันนี้สรีรสังขารของท่านถูกตั้งบำเพ็ญกุศล ณ วัดเชตุพน (สันโค้งน้อย) ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 20–21 สิงหาคม 2568 และกำหนดฌาปนกิจในวันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม โดยมีลูกศิษย์ ญาติมิตร และคนรักภาษา-วัฒนธรรมทะยอยมาร่วมแสดงความอาลัยไม่ขาดสาย (สำเนียงและสถานที่วัดตรงกับฐานข้อมูลวัดในพื้นที่เชียงราย)

จากเด็กชายริมกกสู่ครูผู้ “อ่านออก-เขียนได้” ในภาษาแห่งแผ่นดินเหนือ

พ่อครูชรินทร์เกิดเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2484 ที่บ้านสันต้นเปา ตำบลรอบเวียง เมืองเชียงราย เป็นบุตรคนแรกในจำนวนพี่น้องหกคน เติบใหญ่ในสังคมที่ “คำเมือง” เป็นภาษาชีวิต จากประถมที่เชียงรายวิทยาคมถึงมัธยมที่สามัคคีวิทยาคม เขาหลงใหลตัวหนังสือ บันทึก และเรื่องเล่าของบ้านเมือง ทศวรรษ 2490 ปลาย ๆ คือจุดพลิกผัน เมื่อท่านเริ่ม “เรียนตั๋วเมือง” อย่างเป็นระบบกับพระเถระนักปราชญ์—กรอบความรู้ที่ตามมาคือการปริวรรต (อ่าน-ถอด) จารึกใบลาน พับสา ตำนาน และธรรมคัมภีร์ เพื่อให้วิชาความรู้ในวัดออกมาหายใจนอกกำแพงวัด

ความรักในการ “แปลงลายมือโบราณเป็นภาษาอ่านได้” พาเขาเดินยาวกว่าครึ่งศตวรรษ—จากห้องสมุดวัด ไปถึงโรงพิมพ์ท้องถิ่น และโต๊ะเรียงพิมพ์คอมพิวเตอร์ในยุคดิจิทัล เขาเป็นหนึ่งในคนทำงานเบื้องหลังที่สังคมไม่ค่อยเห็น แต่ผลงานกลับฝังอยู่ในชีวิตประจำวันของคนเมืองเหนือ: หนังสือ ใบประกาศ วารสาร และฟอนต์ตัวอักษรที่ทำให้ “ตั๋วเมือง” ปรากฏบนจอคอมพ์และป้ายวัดอย่างสง่างาม (หลักฐานชี้ว่า พ่อครูร่วมบรรณาธิการนิตยสาร ไชยนารายณ์” และมีส่วนในการออกแบบฟอนต์ล้านนาที่ใช้แพร่หลายในเชียงรายและภาคเหนือ)

ตัวเลขที่ชวนคิด: ในคลังคัมภีร์ล้านนาที่กระจัดกระจายตามวัด ชุมชน และครอบครัว มี ใบลาน-พับสา นับไม่ถ้วนที่บันทึกยา อาชีพ พิธีกรรม ตลอดจนพงศาวดารพื้นถิ่น งาน “อ่าน-ถอด–เรียบเรียง” คือสะพานเชื่อมภูมิปัญญาสู่คนรุ่นใหม่—และพ่อครูคือหนึ่งใน “ช่างต่อสะพาน” คนสำคัญ

ภาษามีชีวิตถ้ามีคนอ่าน” — ครูอาสาผู้คืนลมหายใจให้ตั๋วเมือง

ภาพจำของผู้พบพ่อครูครั้งแรก คือท่านนั่งล้อมวงกับเยาวชนและคนทำงาน ทั้งชาวไทยและต่างชาติ เปิดตำรา “ตั๋วเมือง” เรียนรู้พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ และหลักการสะกดแบบล้านนา พร้อมเล่าที่มาของอักษรธรรมว่ามีสายสัมพันธ์กับมอญ-ขอม และวัฒนธรรมพุทธในลุ่มน้ำโขง หลายปีที่ผ่านมา วัดสำคัญในเชียงใหม่-เชียงราย อาทิ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร และเครือข่ายคณะครูภูมิปัญญา ได้เปิดพื้นท่ีเรียน-สาธิตอักษรล้านนาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนแรงขับเคลื่อนภาคสังคมที่ “เอาจริง” กับภาษาท้องถิ่น ไม่ปล่อยให้เหลือเพียงของตั้งโชว์ในพิพิธภัณฑ์ (มีแหล่งอ้างอิงโครงการและการขับเคลื่อนด้านภาษาล้านนาผ่านสื่อท้องถิ่นและหน่วยงานการศึกษาในเชียงใหม่)

เบื้องหลังแรงบันดาลใจนั้น มี “วิทยานิพนธ์ของชีวิต” ที่พ่อครูกล่าวซ้ำบ่อย ๆ ในห้องเรียน: การอ่านอักษรธรรมคือการเข้าใจภูมิปัญญาบรรพชน—เพราะทุกพับสาไม่ได้เก็บแค่ตัวอักษร แต่เก็บ “วิธีอยู่ร่วมกัน” ของชุมชน เมื่อเปิดอ่านจึงไม่เพียงได้คำศัพท์ใหม่ หากยังได้ “คุณค่า” ที่ต้องการคนรุ่นใหม่สานต่อ

จากใบลานสู่จอ เมื่อภูมิปัญญาเก่าพบเทคโนโลยีใหม่

อักษรธรรมล้านนา (หรือ Lān Nā Tham) มีฐานรากภูมิความรู้จากสุโขทัย-ล้านนาและเครือข่ายพุทธศาสนาลุ่มน้ำโขง การสืบค้นของนักวิชาการไทยชี้ชัดว่า อักษรธรรมล้านนาเป็น “ตระกูลอักษรพี่น้อง” กับมอญ-ขอมซึ่งรับอิทธิพลสันสกฤต-บาลี และถูกใช้กว้างขวางในคัมภีร์ธรรม ใบลาน พิธีกรรม และเอกสารราชการหัวเมืองเหนือในอดีต ก่อนจะค่อย ๆ เสื่อมความนิยมลงเมื่อเข้าสู่สมัยใหม่ แต่ยังคงบทบาทในวัดและชุมชนจนถึงปัจจุบัน

ในศตวรรษที่ 21 “การยกระดับจากดินสอ-พู่กันสู่ฟอนต์” กลายเป็นโจทย์ใหม่ของคนทำงานภาษาถิ่น พ่อครูชรินทร์เป็นหนึ่งในผู้จุดประกายให้ตั๋วเมือง “ขึ้นจอ” เขามีบทบาททั้ง บรรณาธิการ และ นักออกแบบฟอนต์ ที่ทำให้อักษรล้านนาวิ่งได้ในโรงพิมพ์—เป็นงานเงียบแต่ทรงพลัง ซึ่งมีการบันทึกอ้างอิงโดยนักวิชาการภาษาและจารึกวัฒนธรรมในเชียงใหม่-เชียงรายมาต่อเนื่อง

ไม่ใช่แค่เชียงราย ภาษา-วัฒนธรรมท้องถิ่นกำลัง “หายใจ” ทั่วประเทศ

เรื่องของพ่อครูชรินทร์พาเรามองกว้างกว่าเชียงราย ภูมิทัศน์ภาษาไทยเต็มไปด้วย “ภาษาแม่” นับสิบ—เหนือ อีสาน ใต้ มลายู ฯลฯ ชุมชนหลากหลายกำลังขยับ “คืนชีวิต” ให้ภาษาตนเอง เช่น ชุมชน บ้านปลาค้าว เมืองอำนาจเจริญ ที่ยกระดับหมอลำของชาวภูไทเป็นทุนวัฒนธรรมสร้างสรรค์ พัฒนาเป็นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม พร้อมถ่ายทอดทักษะให้เยาวชนเป็น “หมอลำน้อย” สืบสานเสียงแคน–เสียงขับร้องให้คงอยู่ในตลาดร่วมสมัย

ขณะเดียวกัน ศิลปะพื้นบ้านภาคใต้ หนังตะลุง” กลับมามีผู้ติดตามรุ่นใหม่จำนวนมาก โดยเฉพาะผลงานของ “น้องเดียว บัญญัติ สุวรรณแว่นทอง” นายหนังผู้พิการทางสายตาที่ใช้ภาษาถิ่นใต้ได้อย่างแพรวพราว จัดวาทศิลป์ให้ร่วมสมัยจนเข้าถึงคนทั้งประเทศ—และไม่ใช่เพียงกระแสโซเชียล งานของเขาถูกมองว่าเป็นการอนุรักษ์ภาษา-การแสดงให้ “อยู่ได้จริง” ในเศรษฐกิจปัจจุบัน รัฐบาลยังยกย่องในระดับชาติผ่านโครงการ ค่าของแผ่นดิน” ซึ่ง พ่อครูชรินทร์ และ น้องเดียว เคยได้รับเกียรติยศร่วมกันด้วย (ตามประกาศ/เอกสารโครงการจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)

คำถามชวนคิด: เมื่อคนทำงานภาษาถิ่นได้รับการยกย่องระดับชาติแล้ว เราจะต่อยอด “เกียรติยศ” ให้กลายเป็น “ระบบนิเวศ” ที่คนทำงานอยู่ได้อย่างยั่งยืนได้อย่างไร—โดยไม่ทิ้งรากเหง้า ความถูกต้องตามหลักภาษา และศักดิ์ศรีของชุมชน?

ข่าวดีท่ามกลางความเศร้ามรดกที่จับต้องได้และทางเลือกเชิงนโยบาย

แม้การจากไปของพ่อครูจะเป็นความสูญเสีย แต่สังคมยังมีทรัพยากรจับต้องได้ที่เขาทิ้งไว้—ต้นฉบับที่ปริวรรตแล้ว, วารสารท้องถิ่น, ฟอนต์ล้านนา, เครือข่ายลูกศิษย์—ซึ่งล้วนเป็นฐานต่อยอดเชิงนโยบายและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้ในทันที ทำให้เข้าถึงได้จริง มหาวิทยาลัยและหน่วยงานท้องถิ่นควรร่วมกันจัดทำฐานข้อมูล “พับสา-ใบลานปริวรรต” แบบเปิด (open access) พร้อมคู่มืออ่าน-เขียนตั๋วเมืองสำหรับครูและนักเรียน โดยยึดหลักวิชาการของสถาบันชั้นนำที่ศึกษาประวัติและโครงสร้างอักษรธรรมล้านนาไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อคงความถูกต้องทางภาษาไปพร้อมการขยายฐานผู้ใช้  ลงทุนใน “การผลิตครูรุ่นใหม่” สร้างทุนฝึกอบรมครูอาสาและผู้ปริวรรตหน้าใหม่ ร่วมมือกับวัด-ชุมชนในเครือข่าย (เช่น วัดพระสิงห์ เชียงใหม่ และวัดสำคัญในเชียงราย) เพื่อให้เกิด “ชั้นเรียนเล็ก ๆ” หลายจุด ไม่กระจุกอยู่แห่งเดียว ลดอุปสรรคด้านการเดินทางและค่าใช้จ่าย (มีข้อมูลสนับสนุนบทบาทหน่วยงานท้องถิ่นและสถาบันการศึกษาที่ขับเคลื่อนเรื่องนี้มาแล้ว) เชื่อมภูมิปัญญากับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ฟอนต์-ลวดลายอักษรล้านนาสามารถกลายเป็นสินทรัพย์สร้างรายได้ทั้งในงานพิมพ์ ป้าย สื่อท่องเที่ยว ของที่ระลึก และสื่อดิจิทัล—ในกรอบที่คุ้มครองสิทธิ์ชุมชนและเคารพที่มา เทศบาล-อปท. สามารถตั้ง “กองทุนนวัตกรรมภาษา-วัฒนธรรม” เล็ก ๆ หนุนคนทำงานทดลองผลิตภัณฑ์ใหม่

สื่อสารให้คนทั้งประเทศเห็นคุณค่า ใช้กรณีบ้านปลาค้าวและหนังตะลุงเป็นตัวอย่างว่า ภาษา-วัฒนธรรมท้องถิ่นไม่ได้ขัดกับความร่วมสมัย หาก “ออกแบบประสบการณ์” และ “เล่าเรื่อง” เป็น ก็อยู่รอดในตลาดได้—สิ่งที่ต้องทำคือขยายโอกาส แทนที่จะจำกัดให้เป็นเพียง “กิจกรรมเชิงสัญลักษณ์”

ภาษา-อักษรคือความทรงจำร่วม” — บทไว้อาลัยในเชิงประวัติศาสตร์

ในมุมมองเชิงอารยธรรม นักโบราณคดีมักย้อนไปหา “จุดกำเนิดการเขียน” เพื่อทำความเข้าใจว่ามนุษย์เข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์อย่างไร หลักฐานสำคัญชุดหนึ่งคือ สัญลักษณ์เจี่ยหู (Jiahu symbols) จากจีน ที่มีอายุราว 6,600–6,200 ปีก่อนคริสตกาล (มากกว่า 8,000 ปีมาแล้ว) แม้ยังถกเถียงกันว่าจัดเป็น “ตัวอักษร” เต็มรูปแบบหรือเป็น “ก่อนอักษร (proto-writing)” แต่ข้อค้นพบเหล่านี้เตือนใจเราว่า การบันทึกคือแกนกลางของความทรงจำร่วมของสังคม—และทุกชุมชนย่อมมี “ตัวหนังสือของตนเอง” ให้กลับไปหาและโอบอุ้มไว้

ล้านนาเองก็เช่นนั้น—ตั๋วเมือง คือเครื่องมือเก็บรักษาความทรงจำจากวัดสู่ชุมชน จากคัมภีร์สู่ครัวเรือน จากตำรายา สู่ตำนานสร้างบ้านแปงเมือง ความทรงจำเหล่านี้จะยังคงอยู่ก็ต่อเมื่อมีคนอ่าน มีคนเขียน มีคนพิมพ์ และมีคนสอน—บทบาทที่พ่อครูชรินทร์ทำมาตลอดชีวิตโดยไม่ดังเอิกเกริก และเป็นบทบาทที่สังคมต้องช่วยกันสืบทอดต่อไป

เสียงสะท้อนจากคนทำงานวัฒนธรรม“จะสานต่ออย่างไรให้ยั่งยืน?”

ผู้ประสานงานเครือข่ายภาษาท้องถิ่นในเชียงรายคนหนึ่งสะท้อนว่า สิ่งท้าทายที่สุดไม่ใช่การหาผู้เรียน แต่คือการทำให้ “คนสอนอยู่ได้” และสร้างเข็มทิศเดียวกันเรื่องมาตรฐานการปริวรรต—โจทย์นี้ต้องพึ่ง ความร่วมมือพหุภาคี ระหว่างวัด ชุมชน อปท. มหาวิทยาลัย และสื่อท้องถิ่น เพื่อให้ภาษาท้องถิ่น “อยู่ในการใช้จริง” ไม่ใช่แค่บนเวทีประกวด

ในระดับประเทศ โครงการ ค่าของแผ่นดิน” ของรัฐบาลแสดงให้เห็นว่า “การยกย่อง” สามารถยกระดับความรับรู้สาธารณะได้มาก แต่การต่อยอดต้องตามมาด้วยเครื่องมือด้านงบประมาณ เวทีเผยแพร่ และกลไกตลาด—เช่น กิจกรรมวัฒนธรรม–ท่องเที่ยวที่เคารพรากเหง้า การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของชุมชน ตลอดจนหลักสูตรในโรงเรียนท้องถิ่นที่พาเด็กกลับไปอ่านใบลานในวัดบ้านตนเองด้วยความภาคภูมิใจ (กรอบโครงการและสาระจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)

จากไฟในตา “พ่อครู” สู่เปลวเทียนในมือเรา

งานศพของพ่อครูชรินทร์ไม่ใช่จุด full stop ของเรื่อง หากเป็น “จุลภาค” ที่ชวนเราอ่านต่อ—อ่านใบลาน อ่านพับสา อ่านฟอนต์ล้านนาในป้ายวัด อ่านเสียงลำของภูไท อ่านกลอนสดของนายหนังใต้ แล้วกลับมาถามตัวเองว่า เราจะช่วยให้ภาษา-อักษรของบ้านเรา “อยู่รอดและงอกงาม” ได้อย่างไร

ในวันที่เปลวเทียนหน้าโกศค่อย ๆ ละลาย เราอาจนึกถึงประโยคสั้น ๆ ที่ครูมักย้ำกับศิษย์: อักษรไม่เคยตาย ถ้ายังมีคนอ่าน” วันนี้ ถึงคราวที่เราทุกคน—ทั้งรัฐ เอกชน ชุมชน และมหาวิทยาลัย—จะจับมือกันอ่านต่อให้ดังขึ้น ยาวขึ้น และไกลขึ้น

ประวัติย่อ (โดยสังเขป)

  • ชื่อ–สกุล: ชรินทร์ แจ่มจิตต์
  • เกิด: 27 มิถุนายน 2484 อ.เมือง จ.เชียงราย
  • บทบาทเด่น: ปราชญ์อักษรธรรมล้านนา (ตั๋วเมือง), ครูอาสาสมัครสอนอ่าน–เขียน, บรรณาธิการ ไชยนารายณ์, ผู้บุกเบิกงานฟอนต์ล้านนาเพื่อการพิมพ์
  • สถานที่บำเพ็ญกุศล : วัดเชตุพน (สันโค้งน้อย) จ.เชียงราย วันที่ 22 สิงหาคม 2568
  • อายุ: 84 ปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • อาจารย์อโศก ศรีสุวรรณ นักปราชญ์และนักวิชาการด้านภาษาล้านนา
  • สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • วัดเชตุพน (สันโค้งน้อย) ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
  • บทความจากโครงการส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ภาษาล้านนา มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์เชียงราย
  •  หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน เผยแพร่ วันที่ 21 มิถุนายน 2562
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News