วิกฤต “สารพิษแม่น้ำกก” เขย่าเศรษฐกิจริมฝั่งน้ำ—ชาวประมงปากน้ำกก 3 ชุมชน ยื่น 4 ข้อเสนอเยียวยา–หยุดต้นเหตุ ขณะที่จังหวัดเร่งวาง Flood Mark-สำรวจน้ำบาดาลสำรอง สกัดความเสี่ยงระยะยาว

เชียงราย, 16 ตุลาคม 2568 — ยามเย็นริมปากแม่น้ำกก ลมเหนือพัดแรงพอจะทำให้ผืนแหตาข่ายปลิวกระทบกันเป็นจังหวะ แต่เสียงหัวเราะของชาวประมงไม่คึกคักดังเช่นเดิม แผงขายปลาที่เคยคึกครื้นเงียบลงอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่ “ข่าวสารพิษในแม่น้ำกก” ขึ้นหน้าสื่อเมื่อต้นฤดูร้อนปีนี้ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคหดหาย ราคาปลาท้องถิ่นทรุดลงต่อเนื่อง และรายได้ของครัวเรือนริมฝั่งน้ำเกือบหยุดชะงัก

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 ชาวประมงจาก บ้านเชียงแสนน้อย–บ้านสบคำ ต.เวียง และบ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน รวม 30 คน เปิด “เวทีระดมข้อมูลผลกระทบ” ที่ศาลาตลาดปลาบ้านเชียงแสนน้อย โดยมี ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมกับ สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ลงบันทึกข้อเท็จจริง–เสียงสะท้อน และ “ข้อเสนอ 4 ข้อ” ส่งถึงหน่วยงานรัฐ ระบุชัดเป็นทางออกทั้งระยะสั้นและยาว หลังชุมชนรับผลกระทบจาก การปนเปื้อนสารพิษจากเหมืองต้นน้ำฝั่งพม่า ซึ่งไหลลงสู่ลุ่มน้ำกก

 “ความเสี่ยงไม่แน่ชัด” จนกลายเป็น “ความกลัวแน่ชัด”

จุดหักเหเกิดขึ้นราว 9 เมษายน 2568 เมื่อมีประกาศให้งดการลงเล่นแม่น้ำกกจากการตรวจพบ “สารปนเปื้อน” ต่อมา 22 เมษายน 2568 ข่าว “ปลาป่วยเป็นตุ่ม” ถูกเผยแพร่กว้างขวาง อันเป็นภาพที่สะเทือนความรู้สึกของชุมชนผู้ผูกพันกับสายน้ำ กระทั่งช่วงปลายเดือนเมษายน รายงานการตรวจคุณภาพน้ำที่พบ “สารหนู” โดยหน่วยงานสิ่งแวดล้อมกลาง ถูกตีความในสังคมอย่างแตกต่าง—แม้ กรมประมง จะย้ำว่า สารตกค้างในตัวปลา “ไม่เกินมาตรฐาน” และยังบริโภคได้ แต่ในเชิงพฤติกรรม ผู้บริโภคจำนวนมากเลือก “เลี่ยง” มากกว่า “เสี่ยง”

ในเวลาต่อมา คลื่นข้อมูลจากหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่สะท้อนภาพที่น่ากังวลยิ่งขึ้น การตรวจรอบที่ 4 ของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1 เชียงราย ชี้ว่า น้ำประปาหมู่บ้าน 18 แห่งมีการปนเปื้อนสารตะกั่ว (บางแห่งพบทั้งตะกั่วและสารหนู) พร้อมสัญญาณ “สารโลหะหนัก” ใน ผักบุ้ง–ผักกาด และในปลาบางชนิด (เช่น ปลาตะเพียน ปลานวลจันทร์ ปลากระดี่ ปลานิล) แม้ส่วนใหญ่ ยังไม่เกินค่าอ้างอิง แต่การบริโภคซ้ำอย่างต่อเนื่องในชุมชนพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติ ย่อมสร้าง “ความเสี่ยงสะสม” โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง

เสียงเตือนจากนักวิชาการสะท้อนชัด ดร.สืบสกุล กิจนุกร เรียกร้องรัฐ “สื่อสารให้ตรงไปตรงมา” เลิกใช้คำกำกวมอย่าง “ไม่เกินมาตรฐาน” แล้วเปลี่ยนเป็น “พบสารโลหะหนักแต่ไม่เกินมาตรฐาน” เพื่อให้ประชาชนเข้าใจความเสี่ยงจริง นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่าการตรวจครั้งล่าสุด ไม่มีการตรวจ “ปรอท” ในตัวปลา ทั้งที่จังหวัดใกล้เคียงอย่างเชียงใหม่ตรวจและรายงาน พร้อมเผยข้อมูล ผลตรวจปัสสาวะประชาชน 7 รายมี “สารหนูเกินมาตรฐาน” ซึ่งควรถูกสื่อสารและติดตามซ้ำอย่างโปร่งใส

ด้าน น.ส.สมพร เพ็งค่ำ จาก CHIA Platform เสนอให้ หยุดจ่ายน้ำ” ที่โรงเรียน ที่ตรวจพบการปนเปื้อนทันที จัดหาน้ำสะอาดจากแหล่งอื่นใช้ชั่วคราว ตรวจสอบและยกระดับระบบบำบัด พร้อมประเมินภาวะสุขภาพกลุ่มเสี่ยง (หญิงตั้งครรภ์–เด็กเล็ก) อย่างใกล้ชิด ขณะที่ ผศ.เสถียร ฉันทะ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรภ.เชียงราย เตือนว่าตะกั่วกระทบระบบประสาทอย่างรุนแรง โดย WHO และการประปาส่วนภูมิภาคกำหนดค่าสูงสุดในน้ำดื่มที่ 0.01 มก./ล. จึงย้ำให้รัฐเปิดเผยข้อมูลและเร่งหา “แหล่งน้ำดิบใหม่” สำหรับผลิตประปาชุมชนโดยเร็ว

ชีวิตชาวประมงปากน้ำกก เมื่อฤดูกาลยังมา แต่รายได้ไม่กลับ

เศรษฐกิจของ 3 ชุมชนปลายน้ำกกผูกกับ “จังหวะน้ำ–วงจรปลา” อย่างแยกไม่ออก

  • ฤดูน้ำหลาก (พฤษภาคม–กันยายน) ปลาแม่น้ำโขงอพยพเข้าแม่น้ำกก จับได้มากที่สุด รายได้สูงสุดของปี
  • ฤดูน้ำลง/ปลาล่อง (ตุลาคม–พฤศจิกายน) ปลาไหลกลับสู่โขง ยังจับได้ต่อ
  • ฤดูแล้ง (ธันวาคม–เมษายน) จับปลาได้น้อย ชาวประมงซ่อมอุปกรณ์–หาเลี้ยงจากแหล่งน้ำย่อย

ภาวะปกติ 6 เดือนของน้ำหลาก+น้ำลง คือ “ห้วงทำเงิน” เฉลี่ย 52,000 บาท/คน/ฤดูกาล สำหรับชาวประมงรายย่อย แต่วงจรปีนี้กลับไม่เหมือนเดิม

  • เมษายน 2568 ข่าวปนเปื้อนเริ่มกระจาย
  • พฤษภาคม เริ่มขายปลายาก–ราคาตก
  • มิถุนายน–กันยายน แทบ ขายไม่ได้เลย จับได้ก็บริโภคเอง
  • ตุลาคม เริ่มขายได้บ้าง แต่ ทั้งราคา–ปริมาณไม่กลับเท่าเดิม

ราคาปลาเศรษฐกิจ “หักหัวทิ่ม” ในเวลาอันสั้น

  • ปลาเค้า จาก 250 เหลือ 150 บาท/กก.
  • ปลาแข้ จาก 250 เหลือ 150 บาท/กก. (ยังขายยาก)
  • ปลาคางเบือน จาก 350 เหลือ 200 บาท/กก.
  • ปลากา (เพี้ย) จาก 150 เหลือ 100 บาท/กก.
  • ปลาโจก จาก 250 เหลือ 240 บาท/กก.
  • ปลากด จาก 120 เหลือ 100 บาท/กก.
  • ปลากดคัง จาก 250 เหลือ 200 บาท/กก.
  • ปลาสะงั่ว จาก 400 เหลือ 300 บาท/กก.

ขณะเดียวกัน ต้นทุนคงที่ ของอาชีพประมงพื้นบ้านกลับ “ไม่ลดตาม” ค่าเรือและเครื่องเรือราว 25,000 บาท ค่าน้ำมันเฉพาะฤดูทำการ 18,000 บาท “มองไหล” (อวนตาถี่) 10 ผืน คนละ 45,000 บาท และ ไซลั่น 10 อัน 5,000 บาท รวม เฉลี่ย 83,000 บาท/คน/ปี เมื่อนำมาคูณกับ ชาวประมง 41 ราย ในสามชุมชน (สบคำ 22, สบกก 12, เชียงแสนน้อย 7) เฉพาะ “ทุนอุปกรณ์” ที่สูญเสียไปในปีนี้พุ่งถึง 3,403,000 บาท—ยังไม่รวม ค่าเสียโอกาส จากรายได้ที่หายไปทั้งฤดูกาล

“จับได้ก็ต้องกินเอง จะให้ทิ้งก็ไม่ได้ แต่ขายก็ไม่มีคนซื้อ” — เสียงเล่าซ้ำ ๆ บนเวทีสะท้อน “วิกฤตความเชื่อมั่น” มากกว่าปัญหา “ปริมาณปลา”

4 ข้อเสนอจากชุมชน เยียวยา–สื่อสารตรง–หยุดสารพิษ–ดูแลสุขภาพ

ข้อเสนอร่วมของ ชาวประมงปากน้ำกก 3 ชุมชน ต่อภาครัฐ ได้แก่

  1. เยียวยา–ชดเชยรายได้ ที่ขาดหายไปจากอาชีพประมง และช่วยเหลือค่าใช้จ่ายคงที่ด้านอุปกรณ์/ซ่อมบำรุง
  2. สื่อสารตรงไปตรงมา ชัดเจน และปฏิบัติได้จริง ลดความกำกวมที่ทำให้ชาวบ้าน–ผู้บริโภคสับสน
  3. แก้ที่ต้นเหตุ ให้รัฐบาล เจรจา–กดดัน ฝั่งต้นน้ำให้ หยุดปล่อยสารพิษลงแม่น้ำ ตามกรอบความร่วมมือข้ามพรมแดน
  4. ตรวจสุขภาพต่อเนื่อง เปิดเผยผล ตรวจย้ำแยกแยะ สารหนูอินทรีย์–อนินทรีย์ พร้อมคำแนะนำป้องกันที่ปฏิบัติได้จริง

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต และ ดร.สืบสกุล กิจนุกร อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลผลกระทบจากชุมชนในลุ่มน้ำกก “ตั้งแต่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ถึงปากน้ำกก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย” เพื่อยื่นข้อเสนออย่างเป็นระบบต่อหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องทุกระดับ

ด้านจังหวัด–ส่วนกลาง เร่งแผนคู่ขนาน น้ำสำรอง–ข้อมูลน้ำท่วม–แผนที่เสี่ยง

วิกฤตครั้งนี้ไม่ได้มีเพียง “สารพิษ” แต่ยังทับซ้อนกับ “ความเสี่ยงน้ำหลาก” ที่ลุ่มน้ำกกเผชิญเป็นระยะ 15 ตุลาคม 2568 จังหวัดเชียงรายเปิดประชุมที่ ปภ.จังหวัด โดย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน ขับเคลื่อนโครงการ ติดตั้งเครื่องหมายระดับคราบน้ำท่วม (Flood Mark) เป็น “ความทรงจำของน้ำ” บนพื้นที่จริง เพื่อนำไปสู่ แผนที่เสี่ยง (Flood Map) และ แผนบริหารจัดการน้ำล่วงหน้า ใช้เทคโนโลยี Mobile Mapping System (MMS) สำรวจความสูงภูมิประเทศ กว่า 120 กม. ตั้ง หมุด Flood Mark ไม่น้อยกว่า 500 จุด เชื่อมความร่วมมือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย–เทศบาลนครเชียงราย–องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภายใต้งบสนับสนุนจาก สสน. (สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ, องค์การมหาชน) และโครงการ CDP ร่วมประสาน TNDR

ในมิติ “น้ำกินน้ำใช้” ฝ่ายทรัพยากรธรรมชาติเดินเกม แผนน้ำสำรอง นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี/รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบหมาย กรมทรัพยากรน้ำบาดาล สำรวจ–คัดเลือก บ่อบาดาลสำรอง สำหรับระบบประปาหมู่บ้านใน ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย โดย สำนักทรัพยากรน้ำบาดาล เขต 1 (ลำปาง) ลงพื้นที่ร่วมกับ สนง.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย และ เทศบาลตำบลแม่ยาว ใน 3 หมู่บ้าน (รวมมิตร–ห้วยทรายขาว–ผาสุก) รวมแล้ว ราว 20 จุด พร้อมเปิดรับจุดสำรวจเพิ่มเติม เพื่อทดแทนการใช้น้ำดิบจากแม่น้ำกกในพื้นที่เสี่ยง

มาตรการเชิงรุกดังกล่าวสื่อสาร “แนวทางแก้ปัญหาที่จับต้องได้” ระหว่างที่ผลตรวจสารปนเปื้อนยังต้องเฝ้าระวังและสื่อสารต่อเนื่อง

นโยบาย–ธรรมาภิบาลน้ำแบบข้ามพรมแดน ช่องว่างที่ควรปิด

แม่น้ำกกเป็นสายน้ำที่มี มิติข้ามพรมแดน เชื่อมพื้นที่ต้นน้ำฝั่งพม่าเข้าสู่ไทย ความเสี่ยงจากกิจกรรมเหมืองแร่ในต้นน้ำ—ซึ่งถูกระบุโดยชุมชนว่าเป็นต้นตอการปนเปื้อน—สะท้อนความจำเป็นของ กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ ในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล (G2G) และระดับหน่วยงานวิชาการ (S2S Science-to-Science) เพื่อตกลง มาตรฐานการเฝ้าระวัง–แจ้งเตือน–เยียวยา ที่เท่าทัน หากไม่ปิดช่องว่างนี้ ปลายน้ำอย่างเชียงรายจะต้องเผชิญ “ความไม่แน่นอน” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งตีวงกว้างตั้งแต่ สุขภาพ–เศรษฐกิจฐานราก–ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ไปจนถึง ภาพลักษณ์การท่องเที่ยว

ในเชิงสื่อสารสาธารณะ บทเรียนสำคัญคือ ความชัดเจนมาก่อนความสบายใจ” ภาษาราชการที่ไม่ตรงประเด็นอาจทำให้ประชาชน “สบายใจชั่วครู่” แต่ “ไม่ปลอดภัยในระยะยาว” แนวทางที่ผู้เชี่ยวชาญเสนอ—บอกความจริงตามข้อมูลล่าสุด แยกแยะสารแต่ละชนิด ระบุพื้นที่เสี่ยง–กลุ่มเสี่ยง พร้อมมาตรการปฏิบัติ—คือสิ่งที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ชุมชนตัดสินใจบนฐานข้อมูลที่ เข้าใจง่าย–ตรวจสอบได้

จาก “ความกลัว” สู่ “แผนที่–น้ำสำรอง–ตัวชี้วัดสุขภาพ”

แม้สถานการณ์ยังไม่นิ่ง แต่ “เส้นทางคลี่คลาย” เริ่มมีองค์ประกอบชัดเจนมากขึ้น

  1. สตอรีไลน์ของน้ำ — เมื่อ Flood Mark ถูกปักไว้เป็นร้อยจุด และ MMS แปลงความสูงภูมิประเทศเป็นข้อมูลดิจิทัล พื้นที่ปลายน้ำกกจะมี “แผนที่เสี่ยงน้ำท่วม” ที่อ้างอิงเหตุการณ์จริง ลดความไม่แน่นอนของฤดูน้ำหลาก สร้าง “ปฏิทินน้ำ” ที่วางแผนล่วงหน้าได้
  2. น้ำดื่มน้ำใช้ที่มั่นคง — เมื่อ “น้ำบาดาลสำรอง” ถูกพัฒนาเป็นเครือข่ายจ่ายน้ำให้ประปาชุมชน พื้นที่เสี่ยงสามารถ “สลับแหล่งน้ำดิบ” ได้ทันทีเมื่อตรวจพบสารปนเปื้อน ลดการพึ่งพาแม่น้ำหลักในช่วงวิกฤต
  3. สุขภาพที่ติดตามได้ — เมื่อตัวชี้วัดสุขภาพ (เช่น การตรวจปัสสาวะสารหนู, คัดกรองภาวะโลหะหนักในกลุ่มเสี่ยง, แนวทางโภชนาการช่วงเฝ้าระวัง) ถูก ประกาศ–อัปเดต–อธิบาย อย่างสม่ำเสมอ ความสามารถของประชาชนในการป้องกันตนเองจะสูงขึ้นทันที
  4. เยียวยาที่เป็นธรรม — หากมาตรการเยียวยารายได้–ช่วยค่าอุปกรณ์–ค้ำประกันสินเชื่ออาชีพ (ชั่วคราว) ของชาวประมงเกิดขึ้นจริง พร้อม “ตลาดทางเลือก” สำหรับช่วงฟื้นความเชื่อมั่น (เช่น อุดหนุนปลาจากแหล่งน้ำที่ปลอดภัย–โปรแกรมรับซื้อประกันราคา) วงจรรายได้ของครัวเรือนริมฝั่งน้ำจะเริ่มหายใจได้อีกครั้ง

หยุดสารพิษที่ต้นน้ำ–เยียวยาปลายน้ำ–ทำให้ข้อมูลไหลเหมือนน้ำ

สิ่งที่ชุมชนขอไม่ใช่เรื่องเกินเอื้อม—เยียวยาทันที, ข้อมูลตรงไปตรงมา, เจรจากับต้นน้ำให้หยุดปล่อยสารพิษ, และ ตรวจสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดคือ “มาตรการมนุษย์พื้นฐาน” ในวิกฤตสิ่งแวดล้อม แต่การจะเดินทางไปถึงจุดนั้น ต้องมี “ระบบข้อมูล” ที่ โปร่งใส–ต่อเนื่อง–สื่อสารเป็น และ “ระบบน้ำ” ที่ ยืดหยุ่น–มีทางเลือก–สำรองได้

เชียงรายกำลังวางรากฐานผ่าน Flood Mark–MMS–บ่อบาดาลสำรอง ขณะที่นักวิชาการและภาคประชาชนกำลังช่วยกัน “ทำให้ข้อมูลไม่กำกวม” บทบาทต่อจากนี้ของรัฐ—ทั้งส่วนกลาง–ส่วนท้องถิ่น—คือ เชื่อมทุกเส้นให้ทำงานพร้อมกัน ตั้งแต่โต๊ะเจรจาข้ามพรมแดน ไปจนถึงโต๊ะกินข้าวของครัวเรือนชาวประมง ถ้าทำได้ “ความกลัว” จะค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วย “ความเชื่อมั่นใหม่” ที่วัดผลได้ทั้งใน ตัวเลขสุขภาพ–กระเป๋าสตางค์–ราคาปลา และ เสียงหัวเราะริมฝั่งน้ำ ที่จะกลับมาอีกครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต และ ดร.สืบสกุล กิจนุกร (มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง)
  • รายงานสาธารณสุข/ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1 เชียงราย (กระทรวงสาธารณสุข)
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  • สำนักข่าวชายขอบ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News