
เชียงรายเผชิญวิกฤตมลพิษสารหนูในแม่น้ำสาขาโขง เรียกร้องรัฐบาลเร่งเจรจาระหว่างประเทศแก้ปัญหาเหมืองต้นน้ำ
เชียงราย, 6 พฤษภาคม 2568 – เพจ สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต รายงานว่า จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่กำลังเผชิญกับวิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนอันเนื่องจากการปนเปื้อนของสารหนู (Arsenic) ในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ซึ่งเป็นแม่น้ำสาขาสำคัญของแม่น้ำโขง ผลการตรวจสอบโดยหน่วยงานในพื้นที่และนักวิชาการยืนยันว่าสารหนูมีระดับเกินค่ามาตรฐานในหลายจุด โดยสาเหตุหลักเชื่อว่ามาจากกิจกรรมเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำเหล่านี้ วิกฤตดังกล่าวส่งผลกระทบรุนแรงต่อน้ำอุปโภคบริโภค การประมง และการเกษตรของชุมชนในพื้นที่ สร้างความหวาดกลัวและความไม่มั่นใจในความปลอดภัยของแหล่งน้ำ
สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตและเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำกก อิง โขง ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งดำเนินการเจรจา 4 ฝ่าย (ไทย เมียนมา กลุ่มชาติพันธุ์ที่ควบคุมพื้นที่เหมือง และจีน) เพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ พร้อมนำเสนอข้อเรียกร้อง 7 ข้อเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 เพื่อจัดการมลพิษอย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างประเทศยังคงเป็นศูนย์ ส่งผลให้ชุมชนท้องถิ่นต้องเผชิญกับผลกระทบที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ความผิดปกติของแหล่งน้ำในลุ่มน้ำกก
แม่น้ำกกเป็นหนึ่งในแม่น้ำสาขาที่สำคัญของแม่น้ำโขง มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาสูงในรัฐฉาน ภาคตะวันออกของเมียนมา ด้วยความยาวรวมประมาณ 285 กิโลเมตร แม่น้ำสายนี้ไหลเข้าสู่ประเทศไทยที่บ้านท่าตอน ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และไหลผ่านอำเภอเมือง เวียงชัย ดอยหลวง แม่จัน และเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ก่อนบรรจบกับแม่น้ำโขงที่บ้านสบกก ตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน รวมความยาวในประเทศไทยประมาณ 145 กิโลเมตร แม่น้ำสายและแม่น้ำรวก ซึ่งมีต้นน้ำในพื้นที่เดียวกัน ก็เป็นแหล่งน้ำสำคัญที่ชุมชนในอำเภอแม่สายและเชียงแสนพึ่งพา
ลุ่มน้ำกกมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง โดยสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตบันทึกว่ามีพันธุ์ปลา 71 ชนิด รวมถึงปลาท้องถิ่น 64 ชนิดและปลาต่างถิ่น 7 ชนิด ปลาที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เช่น ปลากดคัง ปลาแข้ ปลาคางเบือน และปลาดังแดง เป็นแหล่งรายได้สำคัญของชุมชน นอกจากนี้ ยังพบปลาที่อยู่ในบัญชีแดงของ IUCN เช่น ปลากระเบนลาวและปลายี่สกไทย รวมถึงนากใหญ่ธรรมดาที่อาศัยอยู่ชุกชุมริมฝั่งแม่น้ำกก ลุ่มน้ำกกยังประกอบด้วยลำห้วยสาขา 24 แห่ง และมีลักษณะทางกายภาพที่หลากหลาย เช่น เกาะดอน แก่งหิน หาดทราย และหนองน้ำ
ตั้งแต่ต้นปี 2567 ชาวบ้านในพื้นที่เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย โดยน้ำมีลักษณะขุ่นขาวและเปลี่ยนสีผิดปกติ แม้ในช่วงหน้าแล้งที่น้ำควรใส การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงรายรายงานว่าน้ำดิบจากแม่น้ำสายมีความขุ่นสูงถึง 3,000-4,000 NTU ในปี 2567 และพุ่งสูงถึง 7,000 NTU ในบางช่วงของปี 2568 ความผิดปกติเหล่านี้เริ่มสร้างความกังวลในหมู่ชุมชน โดยเฉพาะเมื่อน้ำที่เก็บในขวดยังคงขุ่นขาวและตกตะกอนช้า แม้วางทิ้งไว้นานถึงหนึ่งสัปดาห์
สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่จากอิทธิพลของพายุยางิเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ดินโคลนสีผิดปกติถล่มลงมาท่วมพื้นที่อำเภอแม่สายและท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา การตรวจสอบตะกอนดินโดยกรมทรัพยากรธรณีพบสารหนูในระดับที่น่ากังวล ส่งผลให้หน่วยงานในพื้นที่และภาคประชาชนเริ่มตื่นตัวและเรียกร้องให้มีการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างละเอียด
การปนเปื้อนสารหนูและผลกระทบต่อชุมชน
เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (คพ.1) เชียงใหม่ ร่วมกับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำผิวดินและตะกอนดินในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ผลการตรวจสอบยืนยันว่าแม่น้ำกกอยู่ในสภาพพอใช้ถึงเสื่อมโทรม และมีการปนเปื้อนสารหนูเกินค่ามาตรฐาน (0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร) โดยจุดที่น่ากังวลที่สุดคือบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน ซึ่งพบสารหนูสูงถึง 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือเกินมาตรฐาน 19 เท่า ตะกอนดินในแม่น้ำกกก็พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานเช่นกัน แต่ยังไม่ถึงระดับที่เป็นอันตรายต่อสัตว์หน้าดินอย่างรุนแรง
ผลกระทบจากการปนเปื้อนสารหนูส่งผลต่อชุมชนในหลายมิติ:
นายสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต กล่าวว่า “แม่น้ำกกเคยเป็นแหล่งชีวิตของชุมชน แต่ตอนนี้กำลังกลายเป็นแหล่งภัยคุกคาม การปนเปื้อนสารหนูไม่เพียงกระทบต่อน้ำและปลา แต่ยังคุกคามวิถีชีวิตของชุมชนชาติพันธุ์ที่พึ่งพาแม่น้ำมาแต่โบราณ รัฐบาลต้องเร่งเจรจา 4 ฝ่ายเพื่อหยุดการปล่อยสารพิษจากเหมืองในรัฐฉาน”
มาตรการรับมือและแนวทางในอนาคต
เพื่อรับมือกับวิกฤต หน่วยงานและภาคประชาชนได้ดำเนินการในหลายด้าน ดังนี้:
ในระยะยาว การแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกและสาขาจะต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการเจรจากับเมียนมาและกลุ่มชาติพันธุ์ที่ควบคุมพื้นที่เหมือง การผลักดันให้ปัญหานี้เข้าสู่เวทีอาเซียนและกลไกระดับภูมิภาคจะช่วยเพิ่มแรงกดดันต่อการควบคุมหรือยุติกิจกรรมเหมืองแร่ในรัฐฉาน
การวิเคราะห์ความท้าทายและโอกาส
การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาขาเป็นปัญหาที่มีมิติซับซ้อน ดังนี้:
แม่น้ำกกและสาขามีความหลากหลายทางชีวภาพสูง โดยเฉพาะพันธุ์ปลาและสัตว์น้ำที่เชื่อมโยงกับระบบนิเวศของแม่น้ำโขง การปนเปื้อนสารหนูอาจรบกวนห่วงโซ่อาหาร ส่งผลกระทบต่อทั้งสัตว์น้ำและมนุษย์ การจัดการมลพิษต้องเริ่มจากการควบคุมแหล่งกำเนิดในรัฐฉาน และพัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำที่ครอบคลุมทั้งลุ่มน้ำ
สารหนูเป็นสารพิษที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง โรคผิวหนัง และความผิดปกติของระบบประสาทหากสะสมในร่างกายในระยะยาว การสัมผัสน้ำที่ปนเปื้อนอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนังและดวงตาในระยะสั้น กลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ มีความเปราะบางต่อผลกระทบเหล่านี้ การแจ้งเตือนและให้ความรู้แก่ชุมชนเกี่ยวกับวิธีป้องกันการสัมผัสสารหนูเป็นสิ่งสำคัญ
การปนเปื้อนสารหนูส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะการประมงและการเกษตร ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของชุมชนชาติพันธุ์ในลุ่มน้ำกก การลดลงของผลผลิตทางการเกษตรและรายได้จากการประมงทำให้ชุมชนเผชิญกับความไม่มั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจ
การทำเหมืองในรัฐฉานอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น กองกำลังว้า และได้รับการสนับสนุนจากบางประเทศ ทำให้การเจรจาเพื่อควบคุมหรือยุติกิจกรรมเหมืองเป็นเรื่องซับซ้อน ความขัดแย้งทางการเมืองภายในเมียนมาทำให้การประสานงานข้ามพรมแดนเป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ตาม การผลักดันปัญหานี้สู่เวทีอาเซียนหรือกลไกระดับภูมิภาคอาจช่วยเพิ่มโอกาสในการแก้ไข
โอกาสในการพัฒนา
วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสให้ประเทศไทยพัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุม การจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในเชียงรายและเชียงใหม่ รวมถึงการสนับสนุนชุดตรวจสารปนเปื้อนราคาประหยัด จะช่วยให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการปกป้องแหล่งน้ำ นอกจากนี้ การยกระดับปัญหามลพิษข้ามพรมแดนสู่เวทีระหว่างประเทศจะช่วยสร้างความตระหนักและความร่วมมือในระดับภูมิภาค
ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย
กิจกรรมเหมืองแร่เป็นสิ่งสำคัญเพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว การประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐ ภาคประชาชน และนักวิชาการ รวมถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน จะเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการวิกฤตนี้อย่างมีประสิทธิภาพ
หน่วยงานรัฐและ กปภ. มองว่าการตรวจสอบคุณภาพน้ำและการปรับปรุงระบบผลิตน้ำประปาเป็นมาตรการที่เพียงพอในการรับมือกับปัญหาการปนเปื้อน พวกเขายืนยันว่าน้ำประปาที่ผลิตได้มาตรฐาน และการแจ้งเตือนประชาชนเป็นการป้องกันที่เหมาะสมในระยะสั้น การเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้สามารถติดตามสถานการณ์ได้อย่างใกล้ชิด
ภาคประชาชนและนักวิชาการเห็นว่าการจัดการที่ต้นตอ เช่น การยุติการทำเหมืองในรัฐฉาน เป็นสิ่งจำเป็น การตรวจสอบน้ำและปลาเป็นเพียงมาตรการชั่วคราวที่ไม่สามารถแก้ปัญหาในระยะยาวได้ พวกเขาต้องการให้มีการเจรจาระหว่างประเทศและการมีส่วนร่วมของชุมชนในการตัดสินใจ รวมถึงการพัฒนาระบบสื่อสารที่โปร่งใสเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลคุณภาพน้ำ
สถิติที่เกี่ยวข้อง
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
รายงานผลการตรวจคุณภาพน้ำจากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่), 5 พฤษภาคม 2568
ข้อมูลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเครือข่ายแม่น้ำเพื่อชีวิต, เมษายน – พฤษภาคม 2568
การศึกษาพันธุ์ปลาของสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต, 2567–2568
ประกาศเตือนประชาชนจากสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย, 5 พฤษภาคม 2568
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.