
เชียงราย, 19 สิงหาคม 2568 — “ถ้าแม่น้ำคือเส้นเลือดของเมืองเหนือ แล้ววันนี้เลือดกำลังปนเปื้อนอะไรอยู่บ้าง?” คำถามทิ่มแทงใจนี้ไม่ใช่ถ้อยคำโฆษณาชวนเชื่อ แต่คือความจริงเชิงประจักษ์ที่กำลังกระเพื่อมจากชายแดนด้านตะวันตกของแม่น้ำโขง เมื่อสารโลหะหนักจากกิจกรรมเหมืองแร่ทองคำและแรร์เอิร์ทในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ไหลผ่านลำห้วยและแม่น้ำสาขาเข้าสู่ผืนแผ่นดินไทย ส่งผลต่อเนื่องถึง ลุ่มน้ำกก–สาย–รวก–โขง ครอบคลุม อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และพื้นที่ 6 อำเภอของจังหวัดเชียงราย สถานการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขบนรายงาน หากคือปัจจัยเสี่ยงต่อคุณภาพชีวิต สุขภาพ เศรษฐกิจฐานราก และนิเวศบริการของทั้งภูมิภาค
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 17 สิงหาคม 2568 ณ อาคารเรือนไม้หอม ไร่แม่ฟ้าหลวง อำเภอเมืองเชียงราย ได้มีการจัด เวทีสนทนาระดับจังหวัด เพื่อหาทางออกจากวิกฤตดังกล่าว โดยมี นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นแกนนำ พร้อมด้วย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นายกเทศมนตรีนครเชียงราย สมาชิกรัฐสภา สมาชิกวุฒิสภา นักวิชาการ ภาคประชาสังคม ชุมชนท้องถิ่น และเครือข่ายปกป้องแม่น้ำ เข้าร่วมอย่างคับคั่ง เป้าหมายคือ “ล้อมวงข้อมูล–หาฉันทามติ–กำหนดทิศทาง” ทั้งระยะเร่งด่วนและระยะยาว
จากสัญญาณวิทยาศาสตร์สู่ภาวะเร่งด่วนสาธารณะตัวเลขที่ต้องอ่านให้ขาด
กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานว่าระดับ สารโลหะหนักอย่าง “ตะกั่ว” และ “แมงกานีส” ในบางจุดตรวจยังอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มกระจายเป็นวงกว้าง ประเด็นน่ากังวลคือสารเหล่านี้ สะสมในห่วงโซ่อาหาร ได้ ทั้งในปลา พืชน้ำ และพืชไร่ริมน้ำ ขณะเดียวกันในช่วงฤดูฝน ความเสี่ยงการชะล้าง–พัดพา ยิ่งเพิ่ม การประเมินผลกระทบจึงไม่จำกัดเฉพาะ “คุณภาพน้ำดิบเพื่อผลิตประปา” แต่ครอบคลุม เกษตร–ประมง–ท่องเที่ยว–สุขภาพชุมชน ความเสียหายอาจไม่ส่งเสียงดังในวันเดียว แต่ค่อย ๆ กัดเซาะศักยภาพพื้นที่อย่างเงียบเชียบ
เวทีได้ตั้งคำถามชวนคิด 3 ข้อ ซึ่งเป็นกรอบวิเคราะห์สำคัญของวันนั้น:
เสียงจากเวทีชุดข้อเสนอ “เร่งด่วน–กึ่งเร่งด่วน–เชิงโครงสร้าง”
การระดมสมองนำไปสู่ข้อเสนอเชิงปฏิบัติการหลายประเด็น โดยสรุปแกนหลักได้ดังนี้
ในฝั่งสาธารณสุข องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย รายงานว่าได้จัดให้ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในสังกัด อบจ. 19 แห่ง ครอบคลุม 7 อำเภอ เป็น “จุดรับ–คัดกรองผู้ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพ” ตั้งแต่ เมษายน 2568 เป็นต้นมา ซึ่งจนถึงขณะนี้ ยังไม่พบผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษา จากเหตุปนเปื้อนดังกล่าว ขณะเดียวกัน อบจ. เชียงรายร่วมกับ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย สำนักงานเกษตรจังหวัด และสำนักงานประมงจังหวัด เดินหน้าการ เก็บตัวอย่างปลา–น้ำประปาหมู่บ้าน–พืช ใน 7 อำเภอ อย่างน้อย เดือนละ 1 ครั้ง ตั้งแต่ พฤษภาคม 2568 เพื่อคง “หลักฐานเชิงประจักษ์ต่อเนื่อง” และแจ้งเตือนชุมชนทันเวลา
ข้ามพรมแดนด้วยการทูตหลายชั้น จากโต๊ะฉุกเฉินสู่กรอบพหุภาคี
เวทีได้สรุปไทม์ไลน์ “การขยับเขยื้อน” ของภาครัฐไทยที่ขยายตัวจาก ระดับจังหวัด–หน่วยงานกลาง–การทูตทวิภาคี–สู่กรอบพหุภาคี ดังนี้
การเดินหน้าตาม หลายสนาม–หลายสถาบัน สะท้อนความเข้าใจว่าโจทย์นี้ ไม่ใช่ปัญหาเชิงเทคนิคโดด ๆ หากแฝงความซับซ้อนด้าน อธิปไตยรัฐ–กลุ่มผู้ถืออาวุธในพื้นที่–แรงจูงใจทางเศรษฐกิจของผู้ลงทุนข้ามชาติ การใช้ กรอบพหุภาคี MRC จึงช่วย “เปิดไฟหน้า” ให้ประเด็นนี้อยู่ในการมองเห็นร่วมของภูมิภาคและสากล เพิ่มแรงหนุนด้าน ข้อมูล–มาตรฐาน–แรงกดดันเชิงบรรทัดฐาน ต่อคู่เจรจา
“ฝายดักตะกอน” กับเส้นแบ่งปลายเหตุ–ต้นเหตุทำอย่างไรให้ไม่ทิ้งระเบิดเวลา
หนึ่งในข้อถกเถียงสำคัญคือแนวทางสร้าง “ฝายดักตะกอน” เพื่อชะลอ–ดักจับสารปนเปื้อนก่อนเข้าเขตเมือง เวทีย้ำว่า ต้องประเมินผลได้–ผลเสียอย่างรอบด้าน เพราะแม้ฝายจะช่วยลดความเข้มข้นสารบางช่วงเวลา แต่ก็สร้าง โจทย์การจัดการ “ตะกอนพิษ” ที่สะสมด้านหลัง หากไร้ระบบเก็บ–ขน–กำจัดอย่างปลอดภัย อาจ เปลี่ยนความเสี่ยงจากแบบกระจายตัวเป็นก้อนใหญ่ ที่รอวันหลุดรั่วในอนาคต
ที่สำคัญ การแก้ปลายทาง ไม่อาจแทนที่ การจัดการที่ ต้นเหตุฝั่งต้นน้ำ ซึ่งเกี่ยวพันกับระเบียบวิธีทำเหมือง (เช่น แบบชะละลายในชั้นดิน) มาตรฐานสิ่งแวดล้อม การกำกับผู้ประกอบการ และการเข้าถึงพื้นที่โดยรัฐที่มีข้อจำกัด เวทีจึงเสนอ “2 รางคู่ขนาน” คือ
เปิดข้อมูล–เปิดความไว้วางใจ ทำ “แดชบอร์ดคุณภาพน้ำ” ให้เป็นภาษาชาวบ้าน
ความไว้วางใจเกิดจาก ข้อมูลที่เข้าถึงได้และตรวจสอบได้ เวทีมีฉันทามติให้ผลักดัน แพลตฟอร์มข้อมูลคุณภาพน้ำแบบใกล้เคียงเรียลไทม์ ระดับจังหวัด รวมทั้ง รายงานคงที่รายเดือน ที่สื่อสาร สี–เกณฑ์–ข้อแนะนำปฏิบัติ ในภาษาง่าย ไม่ใช่เพียงตัวเลขทางเคมี พร้อมตั้ง หมายเลขประสานฉุกเฉิน ให้ประชาชนแจ้งเหตุผิดปกติ และเตรียม ชุดทดสอบภาคสนาม สำหรับท้องถิ่นที่จำเป็น วิธีคิดนี้จะเปลี่ยนจาก “การบอก” เป็น “การร่วมเฝ้าระวัง” ลดข่าวลือ–ลดความตื่นตระหนก และเปลี่ยนพลังชุมชนเป็น เซ็นเซอร์สังคม ที่ทำงานเคียงคู่ห้องแล็บ
สุขภาพ–เศรษฐกิจ–มนุษยธรรมทำไมประเด็นนี้ใหญ่กว่าสิ่งแวดล้อม
เวทีประเมินเอกสารวิชาการด้านพิษวิทยาชี้ว่า การสัมผัสโลหะหนักเรื้อรัง เช่น ตะกั่ว อาจสัมพันธ์กับ พัฒนาการเด็ก–ระบบประสาท–หัวใจและหลอดเลือด ส่วนแมงกานีสในระดับสูงสัมพันธ์กับ อาการคล้ายพาร์กินสัน–ความผิดปกติระบบประสาทส่วนกลาง ความเสี่ยงเหล่านี้ ไม่เท่ากันทุกคน กลุ่ม เด็กเล็ก–หญิงตั้งครรภ์–ผู้สูงวัย–ผู้มีโรคประจำตัว จะเปราะบางกว่า จึงเข้าข่าย ประเด็นสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน ที่รัฐต้องจัด น้ำปลอดภัยและข้อมูลปลอดภัย ให้เพียงพอ
ในทางเศรษฐกิจ ประมงพื้นบ้าน–การเกษตรริมน้ำ–ท่องเที่ยวทางน้ำ คือฐานรายได้สำคัญของพื้นที่ชายฝั่งกก–สาย–รวก–โขง ความไม่แน่นอนเรื่องคุณภาพน้ำสร้าง ต้นทุนแฝง ทั้งยอดขายที่หายไป ค่าใช้จ่ายตรวจแล็บ การเปลี่ยนรูปแบบทำมาหากิน และภาพลักษณ์เมือง เวทีจึงเห็นพ้องให้จัด กองทุนหนุนอาชีพ–สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ–ตลาดปลอดภัย เพื่อ พยุงความเป็นอยู่ ระหว่างรอผลเชิงโครงสร้าง
แผน “4 ป.” ที่เชียงรายเสนอขึ้นสู่โต๊ะนโยบาย
หน้าต่างเวลาไม่รอ—ต้อง “ทำพร้อมกันหลายอย่าง” และทำให้เร็วพอ
วิกฤตมลพิษข้ามพรมแดน ไม่ได้มีสวิตช์ปิด–เปิด แต่มี “หน้าต่างเวลา” ที่ถ้าทำเร็วและถูกทางจะจำกัดความเสียหายได้ เวทีเชียงรายได้แสดง ความพร้อม–ความตั้งใจ–และแผนการ ที่จับต้องได้ ตั้งแต่การจัดแหล่งน้ำสำรอง การตั้งศูนย์วิเคราะห์กลาง การเฝ้าระวังห่วงโซ่อาหาร การทบทวนมาตรการวิศวกรรม ไปจนถึงการขยายพลังการทูตกับประเทศเพื่อนบ้านและกรอบภูมิภาค
โจทย์ถัดไปคือ ทำให้ต่อเนื่องและโปร่งใส พร้อมส่งเสียงจากชายแดนให้ดังพอถึงส่วนกลางและโต๊ะเจรจาระหว่างประเทศ ในขณะที่ชุมชนต้องมีเครื่องมือ–ข้อมูล–และทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ปลอดภัยกว่าเดิม ทุกฝ่ายรู้ดีว่า แม่น้ำไหลไม่หยุด และ สารพิษก็เช่นกัน เวลาเท่านั้นที่จะเป็นตัวชี้วัดว่า “เรือเดียวกัน” ของคนลุ่มน้ำกก–สาย–รวก–โขง จะแล่นผ่านความปั่นป่วนนี้ไปได้โดยไม่ปล่อยให้ใครตกน้ำ
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.