เชียงรายยืนยัน “ปลาในลุ่มน้ำกก–สาย–รวก–โขง ปลอดภัยบริโภค” หลังผลตรวจผ่านเกณฑ์มาตรฐาน—ชาวท่าตอนลงมติเอกฉันท์ “ไม่เอาฝายดักตะกอน 173 ล้านบาท” ชี้ต้องการน้ำสะอาด–บ่อบาดาลเร่งด่วนกว่า

เชียงราย, 10 พฤศจิกายน 2568 — จังหวัดเชียงรายเร่งเครื่อง “เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ–อาหารอย่างต่อเนื่อง” พร้อมยืนยันผลตรวจโลหะหนักในตัวอย่างปลาจากแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ปลอดภัยสำหรับการบริโภค” ขณะที่เวทีรับฟังความคิดเห็นของกรมทรัพยากรน้ำที่ ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ (ต้นทางน้ำกกก่อนไหลสู่เชียงราย) มี มติเอกฉันท์ของชุมชน “ไม่เอาฝาย/บ่อดักตะกอน” โดยเรียกร้อง “น้ำสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภคและเกษตร” เป็นทางออกเร่งด่วน

ภาพรวมการเฝ้าระวัง ตรวจน้ำ–ดิน–ปลา “รายเดือน” หนุนความเชื่อมั่นผู้บริโภค

เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุม ติดตามคุณภาพน้ำครั้งที่ 3/2568 โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม และภาคีเครือข่าย เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง เพื่อติดตาม ผลวัดคุณภาพน้ำและตะกอนดิน จากศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม สคพ.1 และความคืบหน้าการทำงานของสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด

ไฮไลต์สำคัญ คือ ผลตรวจวิเคราะห์โลหะหนักในตัวอย่างปลา ที่ดำเนินการโดย สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย และ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (ส่งตรวจ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย “เดือนละ 1 ครั้ง”) ซึ่งรายงานต่อที่ประชุมว่า ตัวอย่างทั้งหมด “ไม่เกินมาตรฐาน” ตามกรอบมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารของหน่วยงานสาธารณสุขและ อย. ที่ใช้อ้างอิงในการคุ้มครองผู้บริโภคไทย (เช่น ข้อกำหนดโลหะหนักจำพวกปรอท–ตะกั่ว–แคดเมียมในผลิตภัณฑ์ประมง)

“ข่าวดีวันนี้ คือ คนเชียงรายยัง ‘กินปลาได้อย่างมั่นใจ’ แต่เราจะไม่หยุดแค่คำว่ามาตรฐานผ่าน เราจะเพิ่มความถี่–ความครอบคลุมของการตรวจ และวางระบบเปิดเผยผลแบบเข้าใจง่าย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นระยะยาว” แหล่งข่าวระดับจังหวัดกล่าวในที่ประชุม

ยกระดับโครงสร้างข้อมูล “ห้องแล็บโลหะหนักประจำจังหวัด”

ที่ประชุมยังรับทราบความก้าวหน้าการจัดตั้ง ห้องปฏิบัติการตรวจโลหะหนักประจำจังหวัดเชียงราย”มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถตรวจสารปนเปื้อนในน้ำ–ดิน–สัตว์น้ำ “ในพื้นที่–แบบทันท่วงที” ลดเวลารอผลจากส่วนกลาง ขยายจุดสุ่มตัวอย่างให้ครอบคลุมชุมชนริมน้ำและตลาดขายปลา ทั้งยังช่วยสนับสนุนการสืบสวนทางวิทยาศาสตร์ (forensics) ในกรณีพบค่าผิดปกติเป็นจุดๆ เพื่อย้อนรอยหาแหล่งกำเนิดอย่างแม่นยำ

เสียงจากต้นน้ำ ชาวท่าตอน “ยกมือทั้งห้อง” — ต้องการ “น้ำสะอาด” มากกว่า “ฝาย”

ในวันและประเด็นเดียวกัน แต่คนละจังหวัด หอประชุม อบต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ แน่นขนัดด้วยชาวบ้านกว่า 300–350 คน ที่มาร่วมเวทีรับฟังความคิดเห็นของ กรมทรัพยากรน้ำ เกี่ยวกับทางเลือกแก้ปัญหาคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำกก–สาย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยผลักดันแนวทาง ฝาย/บ่อดักตะกอน” 4 แห่ง มูลค่า 173 ล้านบาท กระทั่งชุมชนตั้งข้อกังวล “ประสิทธิผล–ผลกระทบ–ความคุ้มค่า” และการสื่อสารสาธารณะ

ตลอดการประชุม ชาวบ้านชูป้ายข้อความ “No ฝายดักตะกอน / เยียวยาประชาชน / จัดหาแหล่งน้ำให้ทุกภาคส่วน” และสะท้อนปัญหาตรงไปตรงมา ต้องการน้ำสะอาดอุปโภคบริโภค–น้ำเกษตรทดแทนการใช้น้ำกกที่ปนเปื้อน มากกว่าการสร้างฝายขนาดใหญ่ที่พวกเขา “ไม่เชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาได้จริง” และ “อาจทำให้เดือดร้อนเพิ่ม” โดย พ.ท.บุญโรจน์ กองแก้ว นายก อบต.ท่าตอน เน้นย้ำบนเวทีว่า แก้ปัญหาเร่งด่วนก่อน” พร้อมเสนอให้รัฐ เร่งเจาะบ่อบาดาล–หาแหล่งน้ำสะอาด และ “เดินหน้าเจรจาต้นตอเหมืองฝั่งต้นน้ำต่างประเทศ” ในกรอบความร่วมมือของรัฐไทย

ช่วงท้าย เมื่อผู้จัดขอให้ลงมติผ่าน QR Code เพื่อประเมิน “ความเห็นต่อบ่อ/ฝายดักตะกอน” ชุมชนจำนวนมากทักท้วงเรื่องความยากในการเข้าถึงเทคโนโลยี จึงเปลี่ยนเป็น มติ “ยกมือ” ในห้องประชุม และได้ผล เอกฉันท์ “ไม่เห็นด้วย” ขณะเดียวกัน นายเวสารัช โสภณดิเรกรัตน์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ ย้ำต่อหน้าเวทีว่า หากชาวบ้านไม่เห็นด้วย กรมน้ำจะยุติโครงการฝายดักตะกอน” เป็นการปิดฉากข้อถกเถียงเชิงโครงสร้างในชั้นพื้นที่ และเปิดทางให้ ทางออกน้ำสะอาด เดินหน้าอย่างจริงจัง

เชื่อม “นโยบายชาติ–แผนจังหวัด” ฝุ่นข้ามแดน–ปลอดเผา และความมั่นคงน้ำ

ฝั่งนโยบายระดับชาติ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ทส.) มีมติเห็นชอบ มาตรการรับมือไฟป่า–หมอกควัน–ฝุ่น PM2.5 ปี 2569 ครอบคลุม 5 ด้าน ตั้งแต่การควบคุมการเผาในเกษตร การจัดการไฟป่า การควบคุมฝุ่นเมือง การจัดการหมอกควันข้ามแดน ไปจนถึงการบริหารจัดการภาพรวม ซึ่งจะส่งผลลดแรงกดดันสิ่งแวดล้อมในเขตภาคเหนือ โดยเฉพาะการเชื่อมโยง “ห่วงโซ่สินค้าเกษตร–แหล่งกำเนิดควัน–คุณภาพอากาศชายแดน” เข้าด้วยกัน

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์/กรมการค้าต่างประเทศ เดินหน้านโยบาย นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ต้องปลอดการเผา” เริ่ม 1 ม.ค. 2569 เพื่อกดแรงจูงใจการเผาในประเทศเพื่อนบ้าน—แหล่งวัตถุดิบสำคัญของโรงงานอาหารสัตว์—และยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทย (มีรายงานสื่อต่างประเทศอ้างคำให้สัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ไทย)

ด้าน “ความมั่นคงน้ำ” เชียงรายกำลังผสาน แผนบ่อบาดาลเชิงรุก ของ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กับแผนระยะกลาง–ยาวของ การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ที่เคยศึกษาทางเลือก ย้ายแหล่งน้ำดิบ ไปพึ่ง แม่น้ำโขง/แม่น้ำลาว/แม่น้ำคำ เพื่อความยืดหยุ่นแหล่งน้ำดิบในวิกฤตคุณภาพน้ำลุ่มน้ำกก–สาย (ข้อมูลเชิงนโยบายจากสารนิเทศ กปภ. และรายงานโครงการในเชียงรายที่ผ่านมา)

จาก “แจ้งเตือนเป็นระยะ” สู่ “เมืองปลอดภัยรับมือภัยพิบัติ”

บทเรียนจากน้ำท่วมใหญ่ปี 2567 (รุนแรงสุดในรอบราว 30 ปี) ทำให้เชียงรายเร่งวางระบบ Flood Mark มากกว่า 500 จุด เพื่อบันทึกคราบระดับน้ำท่วมจริง ช่วยให้แผนที่เสี่ยงภัยน้ำหลาก อ่านออก–ใช้ได้ ในการวางผังป้องกัน–อพยพ–ฟื้นฟู (แนวทางที่จังหวัดหลายแห่งนำใช้) พร้อมกันนี้ เวทีวิชาการ–นโยบายที่ สกสว.–สมาคมวิศวกรโครงสร้างฯ–ศูนย์วิจัยแผ่นดินไหว แถลงในช่วงก่อนหน้า ได้วางโครง “ฐานข้อมูลความเสียหาย–แผนที่เสี่ยงภัย” เพื่อ จัดลำดับพื้นที่ซ่อมเร่งด่วน และ รองรับการเบิกจ่ายงบซ่อมแซมอย่างมีหลักฐาน ซึ่งสอดคล้องกับทิศทาง “Disaster Resilient City—เมืองที่ปรับตัวรับมือภัยพิบัติ” ที่จังหวัดประกาศเดินหน้า

เวทีภูมิภาค ใช้ MRC ดันวาระน้ำกก–น้ำโขง

ปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ ไทยเป็นเจ้าภาพ การประชุมคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ครั้งที่ 32 ซึ่งเชียงรายอยู่ในหัวใจของลุ่มน้ำ “ข้ามแดน” ที่ซับซ้อน ทั้งเชิงคุณภาพน้ำ–ตะกอน–ระบบนิเวศ–เศรษฐกิจท่องเที่ยว–เกษตร–ประมง เวทีนี้จึงเป็นโอกาสเชิงยุทธศาสตร์ ในการหยิบยก กรณีศึกษาเชียงราย–ท่าตอน เพื่อขอความร่วมมือข้อมูล–เตือนภัย–ควบคุมแหล่งกำเนิด นอกเขตแดนไทย อย่างเป็นทางการ และสื่อสารการบ้านฝั่งไทยว่า เรากำลังทำอะไรอยู่ ตั้งแต่ห้องแล็บจังหวัด–สุ่มตรวจปลา–บ่อบาดาล–Flood Mark–และมาตรการปลอดเผาในห่วงโซ่สินค้าเกษตร

ผลกระทบเศรษฐกิจ–สังคม ตัวเลขที่ “กดดันให้ต้องเร่งแก้”

ผู้ประกอบการท่องเที่ยว–ร้านค้า–ล่องแพริมน้ำ สะท้อนว่า “ฤดูกาลเทศกาลยอดขายแทบเป็นศูนย์” เมื่อข่าวปนเปื้อนกระทบ ความเชื่อมั่น การกลับมาของนักท่องเที่ยวจึงผูกกับ ความชัดเจนด้านคุณภาพน้ำ และ การสื่อสารข้อมูลแบบเรียลไทม์ ขณะเดียวกัน ภาคเกษตรริมน้ำ—ตั้งแต่ผัก พริก กระเทียม จนถึงข้าว—ก็เผชิญความเสี่ยงด้านตลาด (โดยเฉพาะล็อตส่งออก) หากผลตรวจตกมาตรฐานเพียงจุดเดียว ย่อมกระทบ ทั้งห่วงโซ่ ตัวเลขประเมินความเสียหายรวมอาจแตะ หลายพันล้านบาทต่อปี หากปล่อยให้ “ข่าวลบ” ยืดเยื้อ

ทางเดินต่อไป 5 ข้อเสนอเชิงระบบ

  1. เปิดฐานข้อมูลกลาง “น้ำ–ดิน–ปลา” รายเดือน แบบดูง่าย (แดชบอร์ดสาธารณะ) เชื่อมผลตรวจหน่วยงานรัฐ–มหาวิทยาลัย–ชุมชนประมงท้องถิ่น ให้ประชาชน–ผู้ค้า–นักท่องเที่ยว ตรวจสอบได้ตลอดเวลา
  2. เร่งแผน “น้ำสะอาดชุมชน” เจาะบ่อบาดาลน้ำลึก/ระบบประปาหมู่บ้านในพื้นที่วิกฤต ควบคู่โครงการ Mobile Lab ออกตรวจจุดเสี่ยง ให้คำแนะนำการใช้น้ำ–ปรุงอาหาร
  3. โฟกัส “ต้นตอข้ามแดน” ในกรอบ MRC ขอข้อมูลตลอดสายน้ำ–ตะกอน–สารปนเปื้อนแบบ Data Sharing และ Roadmap ร่วม การควบคุมแหล่งกำเนิด
  4. ยึด “ปลอดเผา–ปลอดฝุ่น” เชื่อมซัพพลายเชน ใช้มาตรการนำเข้า–การจัดซื้อภาครัฐ–ฉลากสิ่งแวดล้อม กดแรงจูงใจ “ไม่เผา” สินค้าเกษตรชายแดน
  5. ทำงานร่วมกับชุมชนตั้งแต่ต้นทาง เวทีรับฟังต้อง “อธิบายทางเลือกครบ–ผลกระทบ–งบประมาณ–กำกับดูแล” และ ให้ชุมชนเลือก ทางที่เหมาะกับบริบท ไม่ยัดเยียดโครงสร้างเดิมๆ

สรุปสถานการณ์ เชียงรายกำลังก่อรูป “ระบบเฝ้าระวังเชิงรุก” ที่เริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรม—ปลา “ผ่านเกณฑ์” ต่อเนื่อง และมีแผนลงทุนด้านข้อมูล–แล็บจังหวัด–น้ำสะอาด—ขณะเสียงชุมชนจากท่าตอนส่งสัญญาณชัดว่า นโยบายต้องเท่าทันความต้องการจริง น้ำสะอาดมาก่อนโครงสร้างใหญ่ เวที MRC ที่ไทยเป็นเจ้าภาพปลายเดือนนี้ คือจังหวะทองผลักดัน ความร่วมมือข้ามแดน ให้สอดรับกับแผนจังหวัด–มาตรการชาติ เพื่อให้ลุ่มน้ำกก–สาย–รวก–โขง ปลอดภัย–ยั่งยืน ทั้งต่อชีวิต–เศรษฐกิจ–สิ่งแวดล้อม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
  • ประปาส่วนภูมิภาค
  • คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News