ขุนตาลยืนยัน “จุดรับซื้อลำไยเพียงพอ” รัฐเร่งประสานผู้ประกอบการรับซื้อต่อเนื่อง ปลายฤดูยังเดินหน้า—ชี้โจทย์ยั่งยืนอยู่ที่ระบบตลาดและคุณภาพผลผลิต

เชียงราย, 12 สิงหาคม 2568 — คณะทำงานจากอำเภอขุนตาล ของชุมชนแห่งหนึ่งริมทางสายรอง ผู้รับซื้อทยอยชั่งผลผลิตจากรถยนต์บรรทุกขนาดเล็ก สลับเสียงเรียกคิวจากเกษตรกรที่ยืนรอขายผลผลิตล็อตสุดท้ายของฤดูกาล สิ่งที่ทุกคนถามเหมือนกันคือ “วันนี้ยังรับอยู่ไหม ราคาจะตกอีกหรือเปล่า” คำยืนยันที่ได้จากนายอดิเรก ไลไธสง นายอำเภอขุนตาล และทีมพาณิชย์จังหวัดเชียงราย คือ “จุดรับซื้อมียังเพียงพอ และมีการประสานผู้ประกอบการเสริมทันที” เพื่อไม่ให้ผลผลิตค้างลาน และเพื่อยืนยันว่ายังมีตลาดรองรับจนจบฤดูกาล

แม้ภาพรวม “รับซื้อได้” ยังเดินต่อ แต่ความกังวลไม่ได้หายไปง่าย ๆ ช่วงปลายฤดู ลำไยมักคุณภาพลดลง น้ำหนักและความหวานผันผวน อีกทั้งเป็นช่วงวันหยุดยาวที่เกษตรกรเก็บผลผลิตพร้อมกัน ทำให้ปลายทางมีข้อจำกัดด้านกำลังการคัดและการแปรรูป ผู้ประกอบการบางส่วนจึงย้ายไปรับซื้อพื้นที่ที่คุณภาพสูงกว่า เกิดแรงกดดันระยะสั้นในระดับหมู่บ้าน อำเภอ และด่านขนส่ง

ภาพรวมฤดูกาล ทำไม “สิงหาคม” จึงเสี่ยงคอขวด

ปีนี้ผลผลิตลำไยใน 8 จังหวัดภาคเหนือถูกประเมินว่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศท.1) รายงานว่า ปี 2568 ภาคเหนือคาดมีผลผลิตรวมราว 1.06 ล้านตัน เพิ่มขึ้นประมาณ 12% โดย “สิงหาคม” คือเดือนที่ผลผลิตออกมากสุดตามฤดูกาล ซึ่งทำให้จุดรับซื้อและโรงงานปลายทางเผชิญแรงกดดันพร้อมกันในช่วงสั้น ๆ ของเวลาเดียวกัน การระบายผลผลิตจึงต้องพึ่งความพร้อมทั้ง “หน้าลาน” และ “ปลายน้ำ” มากกว่าช่วงต้นฤดูที่กำลังการผลิตยังเหลือเฟือ

ด้านวิชาการก็สอดรับกับความจริงในพื้นที่ ลำไยต้องการอากาศเย็นเพื่อกระตุ้นการออกดอก จึงปลูกหนาแน่นในภาคเหนือ โดยรอบเก็บเกี่ยวหลักอยู่ช่วงมิถุนายนถึงสิงหาคม ช่วงปลายฤดู “ดอ” หลายสวนอาจขนาดลดลง เปลือกหนาขึ้น และคละเกรดมากขึ้น ซึ่งกระทบต่อราคาเฉลี่ยหน้าลานและปริมาณที่โรงงานต้องคัดทิ้ง ข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้ย้ำว่า “เดือนสิงหา” คือเดือนที่ระบบโลจิสติกส์และตลาดต้องทำงานหนักที่สุดในปี

สิ่งที่อำเภอยืนยัน “จุดรับซื้อมีพอ” แต่ต้องเสริมการจัดคิวและขนส่ง

การลงพื้นที่วันนี้ นายอำเภอขุนตาลทำงานร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายและเครือข่ายผู้ประกอบการ เพื่อเช็คกำลังรับซื้อจริงหน้างาน ผลคือ “จุดรับซื้อมีพอรองรับ” หากกระจายคิวอย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ดี ปัญหาเกิดเฉพาะหน้าในช่วงหยุดยาว เมื่อสวนจำนวนมากเก็บพร้อมกัน รถบรรทุกต่อคิวนาน โรงงานปลายทางรับไม่ทัน ผู้ประกอบการบางรายจึงชะลอรับซื้อ หรือย้ายไปตั้งลานในอำเภอที่ผลผลิตกำลังพีกและคุณภาพดีขึ้น เพื่อบริหารต้นทุนคัดเกรดและตากแห้ง

คำตอบเชิงนโยบายสั้น ๆ ของทีมพาณิชย์จังหวัดคือ “โทรหาและดึงผู้ประกอบการสำรองเข้าพื้นที่ทันที” พร้อมจับคู่ลานคัด–ลานอบ–รถขนส่ง ให้หมุนเวียนต่อเนื่อง ทั้งหมดทำเพื่อยึดหลัก “ไม่ให้ผลผลิตค้างลาน” และรักษาความเชื่อมั่นในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดู

ราคา “ดีขึ้นบ้าง” ปลายสัปดาห์ ทำไมมีสัญญาณบวก

ราคาเฉลี่ย “ลำไยรูดร่วงเกรด AA” ในพื้นที่เหนือมีแนวโน้มดีขึ้นจากสัปดาห์ก่อน จากช่วง 5–6 บาท/กก. ขยับมา 8–12 บาท/กก. ตามที่เครือข่ายรับซื้อแจ้งในหลายจุด บางลานปรับกำลังตากเพิ่มเพื่อสต็อกก่อนหมดฤดูกาล ความต้องการอบแห้งปลายปีในตลาดส่งออกยังเป็นแรงหนุนสำคัญ ผู้ประกอบการจึงเร่งปิดสต็อกเมื่อเห็นว่าผลผลิตกำลังลดลงเร็วหลังกลางเดือน

สำหรับเกษตรกร ตัวเลขนี้ไม่ใช่ “ราคาดีที่สุดของปี” แต่เป็นสัญญาณว่าตลาดยังทำงานอยู่ ความต่างของราคาเกิดจากคุณภาพ ความชื้น ความหวาน และการจัดส่งทันเวลา เกรดที่มั่นคงย่อมขายได้ดีกว่าเกรดคละ การจัดการหลังเก็บเกี่ยวจึงสำคัญพอ ๆ กับต้นทุนการผลิตทั้งฤดู

ภาครัฐ “อัดฉีดกำลังซื้อล่วงหน้า” ตั้งแต่ต้นฤดูช่วยเชื่อมช่วงคอขวด

มาตรการสำคัญที่กระทรวงพาณิชย์และกรมการค้าภายในผลักดันในฤดูกาลนี้ คือการ “ดูดซับผลผลิต” ล่วงหน้า เพื่อป้องกันราคาดิ่งช่วงพีก โดยกรมการค้าภายในประกาศเป้ารองรับผลผลิตผลไม้ฤดูปี 2568 รวม 252,000 ตัน ผ่านเครือข่ายผู้ประกอบการ โรงงานอบ และผู้ส่งออกที่เข้าร่วมแผนเชิงรุก ขยับสัญญาณตลาดตั้งแต่ต้นฤดู และกระจายแรงซื้อไปยังจุดผลิตหลักในภาคเหนือและตะวันออกอย่างเป็นระบบ มาตรการนี้ช่วยให้ผู้เล่นปลายน้ำมี “เหตุผล” ในการเร่งรับและสต็อก แม้ต้นทุนคัดเกรดและตากจะแน่นช่วงสั้น ๆ ก็ตาม

ก่อนหน้านี้ กรมการค้าภายในยังได้เดินหน้า “ชุดมาตรการเชิงรุก” ในพื้นที่แหล่งผลิตใหญ่ เช่น เชียงใหม่–ลำพูน ทั้งการเชื่อมโยงตลาด การจับคู่ธุรกิจ และการกำกับดูแลการซื้อขายให้เป็นธรรม เพื่อให้การระบายผลผลิตช่วงพีกเป็นไปตามแผนและลดความเสี่ยงเชิงสัญญาในตลาดล่วงหน้า เอกสารข่าวทางการย้ำแนวทางเดียวกันคือ “ทำให้ตลาดทำงานได้จริง” ในหน้าสวน ไม่ใช่เฉพาะบนกระดาษ

ปลายน้ำ” คือจุดชี้ขาด อบแห้ง–คัดเกรด–ขนส่ง ต้องไหลลื่น

ลำไยสดที่ “รูดร่วง” ส่วนใหญ่ไปต่อที่เตาอบเพื่อผลิตลำไยแห้งคุณภาพส่งออก ความสามารถของโรงอบและการจัดการความชื้นเป็นตัวกำหนด yield และคุณภาพปลายทาง โรงอบที่บริหารวัตถุดิบได้สม่ำเสมอจะกล้ารับหน้าลานมากขึ้นและราคารับซื้อเสถียรกว่า ขณะเดียวกัน ระบบขนส่งจากลานไปโรงอบต้องรวดเร็วเพื่อไม่ให้คุณภาพตก การมีรถเย็นหรือจัดส่งแบบ “หมุนรอบสั้น” จะช่วยให้โรงงานควบคุมคุณภาพได้ดีขึ้น

ในมิติส่งออก ข้อกำหนดกักกันพืชและมาตรฐานปลายทางยังเป็นกรอบที่ผู้ประกอบการต้องเคารพ การส่งออกลำไยสดของไทยถูกควบคุมตามระบบของกรมวิชาการเกษตรเพื่อให้ผ่านเงื่อนไขประเทศคู่ค้า ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนว่า “คุณภาพและมาตรฐาน” เป็นเส้นเลือดใหญ่ของตลาด ไม่ใช่แค่เรื่องราคา ณ จุดซื้อขายวันเดียว

เสียงจากแปลงเกษตรกรอยากได้ “ราคาพยุง” แต่พร้อมปรับตัว

เกษตรกรที่เราพบวันนี้หลายรายยอมรับว่า ราคาปลายฤดู “ไม่สวย” เท่าต้นฤดู แต่ยัง “ขายได้” หากส่งทันและคัดเกรดดีขึ้น หลายสวนเริ่มตัดสินใจ “ทะยอยเก็บ” ไม่กองไว้ทีเดียว เพื่อไม่ให้ชนคิววันหยุด มีบางกลุ่มหันมารวมตัวคัดเกรดเบื้องต้นก่อนเข้าโรงอบ ช่วยให้ได้ราคาเฉลี่ยดีขึ้นในงบประมาณแรงงานที่พอจ่ายได้

คำขอหลัก ๆ ที่สะท้อนต่อจนท.รัฐคือ “อย่าให้คิวขาด” และ “อย่าให้จุดรับซื้อเงียบ” เพราะความต่อเนื่องสร้างความมั่นใจ มาตรการของกรมการค้าภายในที่เร่งดึงผู้ประกอบการเข้าพื้นที่จึงตอบโจทย์ระยะสั้น และตอกย้ำว่ารัฐจะไม่ปล่อยให้ผลผลิตค้างสวน

คำถามใหญ่คือมาตรการเชิงรุก “ดึงผู้ประกอบการเข้าไปซื้อปลายฤดู” แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ไหม

คำตอบสั้น ๆ ช่วยได้มากในระยะสั้น แต่ไม่พอสำหรับความยั่งยืนระยะยาว

เหตุผลข้อที่หนึ่ง มาตรการเชิงรุกทำหน้าที่ “กันชน” ราคาเฉพาะหน้าในเดือนพีก ลดความผันผวน และสร้างแรงจูงใจให้โรงงานเร่งรับสต็อก หากรัฐไม่เข้าจังหวะนี้ ราคาหน้าลานอาจ “หลุดกรอบ” มากกว่านี้ ทว่า กันชนไม่ใช่ “โครงสร้าง” กันชนต้องเติมซ้ำทุกปีเมื่อฤดูมาถึง

เหตุผลข้อที่สอง ความยั่งยืนต้องเกิดจาก “คุณภาพ–มาตรฐาน–สัญญา” ที่ลิงก์สวนกับโรงงานและผู้ส่งออกให้แน่นขึ้น เช่น สัญญาซื้อขายตามเกณฑ์คุณภาพชัดเจน การนัดหมายส่งมอบแบบ “คิวฉลาด” และระบบจ่ายเงินที่โปร่งใส มาตรการรัฐควรเปลี่ยนจาก “รับซื้อพยุงราคา” ไปสู่ “พยุงกติกา” ให้ตลาดยืนได้ด้วยตัวเอง

เหตุผลข้อที่สาม ด้านอุปสงค์ต่างประเทศยังนำเกม ไทยต้องขยับฐานตลาดและรูปแบบสินค้า ทั้งลำไยสดเกรดพรีเมียม ลำไยอบแห้งเกรดสม่ำเสมอ และผลิตภัณฑ์แปรรูปมูลค่าสูงกว่า ความหลากหลายของสินค้าและตลาดจะลดแรงกระแทกราคาในเดือนพีกได้ดีกว่าการอัดฉีดกำลังซื้ออย่างเดียว

แผนยั่งยืนสิ่งที่ควรเริ่ม “ปีนี้เลย” ก่อนถึงฤดูหน้า

  1. ทำ “คิวดิจิทัลหน้าลาน” ระดับอำเภอ รวมคิวจากจุดรับซื้อหลายลาน เชื่อมกับโรงอบและรถขนส่ง ลดรถรอคิว ลดต้นทุนเสียโอกาส เกษตรกรเห็นคิวจริงแบบเรียลไทม์ ช่วยตัดสินใจวันเก็บ
  2. ตั้ง “เกณฑ์คุณภาพมาตรฐานอำเภอ” สำหรับรูดร่วง ประกาศ Brix, ความชื้น, และสัดส่วนคละเกรดขั้นต่ำให้ตรงกันทุกลาน ลดข้อโต้แย้งตอนชั่ง–คัด และทำให้ข้อมูลราคาเปรียบเทียบกันได้
  3. สนับสนุนเครื่องมือหลังเก็บเกี่ยวในกลุ่มเกษตรกร เช่น ถาดตาก–เตาอบชุมชน–โรงคัดเบื้องต้น เพื่อยกระดับเกรดก่อนเข้าลาน ราคาจะสะท้อนคุณภาพได้ดีขึ้น ลดสัดส่วนของเสียปลายน้ำ
  4. ขยายความร่วมมือ “สัญญาซื้อขายก่อนฤดู” ระหว่างกลุ่มเกษตรกร–โรงอบ–ผู้ส่งออก รัฐทำหน้าที่พี่เลี้ยงและเป็นกรรมการกลางดูแลข้อพิพาท เพิ่มทุนหมุนเวียนสำหรับสัญญาที่ตรวจสอบได้
  5. ข้อมูลตลาดที่เข้าถึงง่าย พาณิชย์จังหวัดและ สศก. เผยแพร่ “แดชบอร์ดลำไย” รายอำเภอ ทั้งราคาเฉลี่ย คิวรับซื้อ และสถานะโรงอบ เพื่อให้ทุกฝ่ายวางแผนร่วมกันได้บนข้อมูลเดียวกัน

ประชาชนและชุมชนได้อะไรจาก “การประสานทันใจ” ช่วงปลายฤดู

การประสานผู้ประกอบการเข้าพื้นที่เร็ว ช่วย “หยุดเลือด” ราคาไม่ให้หลุดกรอบมากไปกว่านี้ สวนเล็กขายได้ต่อเนื่อง สวนใหญ่ขนได้เป็นรอบ ไม่ค้างลาน ซึ่งชุมชนเห็น “รัฐอยู่หน้างาน” ความเชื่อมั่นกลับมา แม้ราคาไม่สูง แต่การรับซื้อต่อเนื่องคือสัญญาณสำคัญว่าตลาดยังเดิน ระบบสินเชื่อชุมชนและสหกรณ์ก็วางแผนหมุนเงินได้ พื้นที่ได้บทเรียนร่วมกันว่า “คอขวด” อยู่ตรงไหน ปีหน้าจึงแก้ถูกจุด ทั้งเรื่องคิว การคัดเกรด และการวางแผนเก็บเกี่ยวให้เหลื่อมกัน

มองจากภาพใหญ่ประเทศลำไยคือพืชเศรษฐกิจที่ต้อง “บริหารฤดู” ให้เก่งขึ้น

ข้อมูลจากหน่วยงานรัฐยืนยันตรงกันว่า ลำไยกระจุกตัวในภาคเหนือ เก็บเกี่ยวมากสุดช่วงมิถุนายน–สิงหาคม และ “สิงหาคม” คือพีกของพีก เมื่อผลผลิตปีนี้เพิ่มขึ้น การบริหารฤดูจึงยากขึ้นตามไปด้วย จุดรับซื้อและโรงอบต้องปรับกำลังผลิตให้สัมพันธ์กับของจริงในพื้นที่ ขณะที่รัฐต้องร่นเวลาตัดสินใจให้เร็วขึ้น ทั้งมาตรการเชิงรุกและเชิงโครงสร้าง

การทำให้ตลาดเดินในเดือนเดียวอาจไม่พอ เป้าหมายที่แท้จริงคือ “ทำให้ตลาดมั่นคงทั้งฤดู” ตั้งแต่ต้นฤดูที่ราคาแรง ไปจนปลายฤดูที่ราคาเปราะบาง ทุกช่วงต้องมีเครื่องมือคู่มือคนละแบบ และทุกแบบต้องเชื่อมข้อมูลเดียวกัน

คำตอบต่อโจทย์ผู้สั่งการ “มาตรการเชิงรุกดึงผู้ประกอบการเข้าซื้อลำไยปลายฤดู” ยั่งยืนไหม

ยั่งยืนได้ หากเปลี่ยนจากมาตรการ “อุ้มราคา” เป็นมาตรการ “อุ้มกติกา” ระยะสั้นต้องไม่ปล่อยให้ผลผลิตค้างสวน ระยะกลางควรยกระดับคุณภาพ–มาตรฐาน–สัญญา และระยะยาวต้องกระจายตลาดและรูปแบบสินค้า รัฐบาลควรลงทุนในโครงสร้างข้อมูล คิวดิจิทัล และเครื่องมือหลังเก็บเกี่ยวระดับชุมชน ควบคู่การกำกับการซื้อขายให้เป็นธรรม หากทำครบวงจร “ฤดูหน้า” เราจะใช้เงินอัดฉีดน้อยลง แต่ได้ราคาที่เสถียรกว่าและเชื่อมโยงมากกว่า

บทสรุป

อำเภอขุนตาลยืนยันจุดรับซื้อลำไย “ยังเพียงพอ” และมีการเสริมกำลังผู้ประกอบการทันที ปัญหาคอขวดช่วงปลายฤดูเกิดขึ้นจริง แต่แก้ได้ด้วยการจัดคิว–คัดเกรด–ขนส่งให้ไหลลื่น พร้อมกันทั้งหน้าลานและปลายน้ำ มาตรการเชิงรุกของกรมการค้าภายในช่วยพยุงราคาและความเชื่อมั่นระยะสั้น ขณะที่ความยั่งยืนต้องพึ่งระบบคุณภาพ สัญญา และข้อมูลกลางที่ใช้ร่วมกันทั้งห่วงโซ่

ในวันที่ลานคัดเงียบลงหลังบ่าย คลื่นไอร้อนยังคงลอยบนผิวถนน รถบรรทุกคันสุดท้ายขยับออกจากคิวชั่ง เกษตรกรยกมือไหว้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ก่อนสตาร์ตรถกลับบ้าน สำหรับพวกเขา “การรับซื้อต่อเนื่อง” ในวันนี้ คือความหวังว่าพรุ่งนี้จะยังขายได้ และปีหน้าจะขายได้ดีกว่าเดิม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศท.1). “ภาพรวมลำไย 8 จังหวัดภาคเหนือ ปี 68 ผลผลิตรวม 1.06 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 12% …” เผยแพร่ 15 ก.ค. 2568. ใช้ยืนยันปริมาณผลผลิตและช่วงออกตลาดมากสุดในเดือนสิงหาคม. oae.go.th
  • กรมวิชาการเกษตร (กลุ่มพัฒนาระบบควบคุมพืชส่งออก). “ระบบควบคุมการส่งออกลำไยสด” เอกสารอธิบายฤดูกาลเก็บเกี่ยวและพื้นที่ปลูกหลักภาคเหนือ รวมถึงกรอบมาตรฐานส่งออก. doa.go.th
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์. “พาณิชย์เดินหน้ารองรับผลไม้ฤดูกาลปี 68 รวม 252,000 ตัน” ข่าวแจกอย่างเป็นทางการ 21 ก.ค. 2568 ยืนยันเป้ารองรับผลผลิตผลไม้ฤดูปีนี้. dit.go.th
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์. “เดินหน้ามาตรการเชิงรุกฤดูกาลลำไย” ข่าวแจก (ตัวอย่างกรณีเชียงใหม่–ลำพูน) ใช้ประกอบแนวทางเชิงรุกในพื้นที่แหล่งผลิต.
  •  สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News