เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2567 “อาจารย์สนธิ คชวัฒน์” นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จากชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Sonthi Kotchawat” อธิบายถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดน้ำท่วมหนักในตัวเมืองเชียงใหม่ โดยเน้นไปที่ปัญหาฝนตกหนักหลายวันและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูเขาเป็นพื้นที่เกษตรกรรมพืชเชิงเดี่ยว ส่งผลให้เกิดมวลน้ำมหาศาลไหลท่วมลงมาสู่พื้นที่ราบ ทำให้เชียงใหม่เผชิญอุทกภัยในครั้งนี้

สาเหตุหลักของอุทกภัยจากฝนตกหนัก

จากข้อมูลที่อาจารย์สนธิได้เผยแพร่ ระบุว่า ช่วงต้นเดือนตุลาคม 2567 เชียงใหม่มีฝนตกหนักต่อเนื่องนานถึง 3 วัน แม้จะไม่มีพายุเข้า แต่เกิดจากมวลอากาศเย็นจากแผ่นดินใหญ่เคลื่อนลงมาปะทะกับร่องมรสุมความกดอากาศต่ำในพื้นที่ภาคเหนือ ส่งผลให้ฝนตกหนักเป็นบริเวณกว้าง โดยเฉพาะในพื้นที่ อำเภอเชียงดาว อำเภอแม่แตง อำเภอแม่ริม และอำเภอพร้าว ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่ราบเชิงเขาและเขตตัวเมืองเชียงใหม่ โดยมีข้อมูลการวัดปริมาณน้ำฝนสูงถึง 200-300 มิลลิเมตรภายในระยะเวลา 3 วัน

 ต้นน้ำแม่ปิง – สาเหตุการท่วมตัวเมืองเชียงใหม่

แม่น้ำปิงซึ่งมีต้นกำเนิดจาก เทือกเขาผีปันน้ำ ในอำเภอเชียงดาว เป็นเส้นทางหลักที่น้ำจากพื้นที่ต้นน้ำไหลลงสู่เขตตัวเมืองเชียงใหม่ โดยแม่น้ำปิงจะไหลผ่านหุบเขาลงมาเข้าสู่พื้นที่ อำเภอแม่แตง ซึ่งรับน้ำจากแม่น้ำแม่งัดทางฝั่งซ้าย และแม่น้ำแม่แตงทางฝั่งขวา ก่อนจะไหลลงมาบรรจบในตัวเมืองเชียงใหม่และไหลต่อไปยังจังหวัดลำพูนและจังหวัดตาก ระหว่างทางยังมีแม่น้ำแม่กวง แม่น้ำลี้ และแม่น้ำแม่แจ่ม ไหลมาสมทบ ทำให้เกิดการสะสมของปริมาณน้ำจนเกินความจุของลำน้ำ ส่งผลให้น้ำปิงล้นตลิ่งในหลายจุด

ระดับความจุของแม่น้ำปิงในเขตตัวเมืองเชียงใหม่อยู่ที่ 440 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และระดับวิกฤติที่ทำให้น้ำเริ่มล้นฝั่งคือ 3.70 เมตร ซึ่งในครั้งนี้ระดับน้ำได้พุ่งเกินค่าดังกล่าว ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมหนักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตตัวเมืองและพื้นที่ใกล้เคียง

ผลกระทบจากการเปลี่ยนภูเขาเป็นพื้นที่เกษตรเชิงเดี่ยว

นอกจากฝนตกหนักต่อเนื่องแล้ว อาจารย์สนธิยังได้ระบุถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าบนดอยสูงเป็นเกษตรกรรมพืชเชิงเดี่ยว โดยเฉพาะ การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งในปี 2566/2567 มีพื้นที่ปลูกข้าวโพดในจังหวัดเชียงใหม่มากถึง 285,004 ไร่ โดยเฉพาะในอำเภอเชียงดาวมีการปลูกข้าวโพดจำนวน 19,878 ไร่ และในอำเภอแม่แตงอีก 1,636.75 ไร่ พื้นที่ดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ดอยสูงที่เคยมีป่าธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ แต่ปัจจุบันได้ถูกเปลี่ยนเป็นภูเขาหัวโล้น ทำให้เกิดปัญหาการชะล้างหน้าดินและน้ำป่าไหลลงสู่พื้นที่ราบได้อย่างรวดเร็ว

ภูเขาหัวโล้นกับการเพิ่มความเสี่ยงอุทกภัย

การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าให้กลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรมเชิงเดี่ยวส่งผลให้เกิดน้ำป่าไหลลงมาอย่างรวดเร็ว เมื่อฝนตกบนภูเขาที่มีป่าใหญ่ น้ำฝนส่วนใหญ่จะถูกดูดซับและกักเก็บไว้ในดิน ปล่อยไหลลงสู่พื้นที่ด้านล่างเพียง 10% ทำให้การไหลของน้ำช้าและเกิดอุทกภัยได้น้อย แต่หากพื้นที่ภูเขาถูกเปลี่ยนเป็นเกษตรกรรมเชิงเดี่ยวหรือภูเขาหัวโล้น ปริมาณน้ำฝนที่ถูกดูดซับจะมีเพียง 10% ในขณะที่อีก 90% จะไหลลงสู่พื้นที่ราบด้านล่างอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและความเสียหายอย่างหนัก

แนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่

การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เชียงใหม่จำเป็นต้องมีการจัดการทั้งในระดับพื้นที่ต้นน้ำและการวางระบบระบายน้ำในเขตเมือง โดยต้องมีการฟื้นฟูพื้นที่ป่าต้นน้ำในพื้นที่ดอยสูง และลดการทำเกษตรกรรมเชิงเดี่ยวลง เพื่อให้พื้นที่ดอยสามารถดูดซับน้ำได้มากขึ้น รวมถึงการวางแผนระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพในเขตเมืองเชียงใหม่เพื่อลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมซ้ำในอนาคต

บทสรุป: การฟื้นฟูพื้นที่ป่าและจัดการน้ำคือทางออก

ปัญหาน้ำท่วมในจังหวัดเชียงใหม่ไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาธรรมชาติ แต่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ดอยสูงจากป่าเป็นพื้นที่เกษตรเชิงเดี่ยว การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในระยะยาวจึงต้องมีการฟื้นฟูพื้นที่ป่าต้นน้ำ และลดการใช้พื้นที่บนดอยเป็นเกษตรกรรม เพื่อช่วยให้ดอยสูงกลับมาเป็นพื้นที่กักเก็บน้ำตามธรรมชาติอีกครั้ง รวมถึงต้องมีการวางแผนระบบจัดการน้ำในตัวเมืองที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดน้ำท่วมในอนาคตอย่างยั่งยืน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME