
เชียงราย,5 พฤศจิกายน 2568 – กล่องพัสดุที่ไม่ “เบา” เหมือนเดิม ยามสายของวันทำการกลางสัปดาห์ ถนนพหลโยธินช่วงเข้าเมืองเชียงรายแน่นขนัดไปด้วยรถกระบะขนส่งพัสดุที่แล่นสวนทางผู้คนในตลาดสด ใครหลายคนคุ้นเคยกับการกดสั่ง “ของเล็กชิ้นน้อย” จากต่างประเทศ—เคสโทรศัพท์ 79 บาท ไฟประดับ 129 บาท สายชาร์จ 99 บาท—แล้วรอรับหน้าบ้านในไม่กี่วัน แต่ นับจาก 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป แทบทุกพัสดุที่ “บินข้ามพรมแดน” เข้ามา ไม่ว่าจะเล็กเพียงใด หากมีมูลค่าเกิน 1 บาท ก็จะเข้าสู่โหมดใหม่ของการจัดเก็บภาษีนำเข้าเต็มรูปแบบ (อากรเฉลี่ยราว 10%) พร้อม ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% บนฐานภาษีนำเข้า ตามกรอบที่กรมศุลกากรประกาศ “Quick Big Win” เร่งผลลัพธ์ภายใน 4 เดือน และเผยแผนปรับกติกา De minimis ให้เหลือ “1 บาท” เพื่อปิดช่องโหว่เดิมของการยกเว้นพัสดุราคาต่ำและทำให้การแข่งขันการค้าเป็นธรรมขึ้น (อธิบดีกรมศุลกากร ระบุทิศทางและกรอบรายได้เข้ารัฐราว 3,000 ล้านบาท/ปี)
มาตรการใหม่นี้ ไม่ได้เกิดจากสุญญากาศ ก่อนหน้า ประเทศไทยได้ทยอย “ปรับฐาน” มาแล้วเป็นขั้น ๆ เช่น การประกาศให้ พัสดุระหว่างประเทศมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาทต้องเสีย VAT ที่มีผลช่วงกลางปี 2567 ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา (กรอบเวลาชั่วคราวปี 2567) เป็นจุดเริ่มที่ทำให้ “ของถูกมาก” บนแพลตฟอร์มไม่ถูกเหมือนเดิม และเป็นสัญญาณว่าระบบภาษีสำหรับสินค้านำเข้าดิจิทัลจะเข้มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อไล่ทันพฤติกรรมผู้บริโภคยุคอีคอมเมิร์ซและการแข่งขันข้ามแดนที่เปลี่ยนหน้าอย่างรวดเร็ว
ทำไม “หนึ่งบาท” ถึงสำคัญ
De minimis value คือเพดานมูลค่าพัสดุที่รัฐ “ยอมผ่อนภาระ” ไม่จัดเก็บภาษีเพื่อลดต้นทุนการบริหาร หากเพดานนี้ต่ำลงจนเหลือ “1 บาท” ความหมายเชิงปฏิบัติการคือ ของทุกชิ้นที่ข้ามแดนจะถูกประเมินภาษี ไล่ตั้งแต่เคสโทรศัพท์ราคา 79 บาท ไปจนถึงไฟประดับ 129 บาท—ทั้งหมดจะถูกคิด อากรขาเข้า (เฉลี่ย 10%) และ VAT 7% ซึ่งตามหลักการจัดเก็บของไทย VAT จะคำนวณบน ฐานราคา C.I.F. + อากร (กรณีไม่มีภาษีสรรพสามิตหรือภาษีอื่นเกี่ยวข้อง) ดังนั้น ภาระรวม โดยประมาณ ใกล้เคียง ~17% ของมูลค่านำเข้า และอาจสูงกว่าเมื่อบวกค่าธรรมเนียม-โลจิสติกส์ปลายทางของผู้ให้บริการขนส่ง (ตัวอย่างการคำนวณภาษีนำเข้าทั่วไป อากร 10% จากราคา C.I.F. และ VAT 7% บนยอดรวมหลังอากร)
ตัวอย่างจำลองผลกระทบราคาขายปลีก (เฉพาะภาระภาษีนำเข้า- VAT แบบง่าย)
ประเด็นสำคัญ คือ แม้ภาษีจะเพิ่มต้นทุน แต่ก็ช่วย “เลเวลเพลย์อิงฟิลด์” ให้ผู้ค้าปลีกไทยที่นำเข้าถูกกฎหมายและเสียภาษีครบถ้วนไม่เสียเปรียบสินค้าต่างชาติที่เคยได้อานิสงส์จาก De minimis เดิม นโยบายนี้จึงถูกวางในกรอบ “Trade Enabler + ปกป้องสังคม + เพิ่มรายได้รัฐ” ภายใต้โครงการ “Customs Quick Big Win” ที่กรมศุลกากรสื่อสารอย่างเป็นทางการ และมีการนัดหารือแพลตฟอร์มหลักอย่าง Shopee / Lazada เพื่อขอความร่วมมือด้านข้อมูลสินค้าและคัดกรองสินค้าผิดกฎหมายก่อนจำหน่ายบนแพลตฟอร์มไทย
เมื่อ “ชายแดน” คือห้องเครื่องของเศรษฐกิจเชียงราย
เชียงรายเป็นจังหวัดชายแดนที่ โครงสร้างเศรษฐกิจผูกพันกับการค้าและโลจิสติกส์ข้ามแดน ผ่านด่านสำคัญอย่าง แม่สาย–ท่าขี้เหล็ก (เมียนมา) และ เชียงแสน–สามเหลี่ยมทองคำ (สปป.ลาว) การเปลี่ยนกฎภาษีอีคอมเมิร์ซย่อม กระทบทิศทางราคาและแรงจูงใจ ของผู้บริโภค-ผู้ค้าในพื้นที่ชายแดนโดยตรง
ภาพกว้างด้านมูลค่าการค้าชายแดนไทยในช่วงหลังโควิด กลับมาฟื้นตัวชัดเจน กระทรวงพาณิชย์รายงานว่าการค้าชายแดนและผ่านแดนปี 2566–2567 อยู่ในระดับหลายล้านล้านบาท และมีสัญญาณฟื้นต่อเนื่องในปี 2567 (ข้อมูลรายไตรมาส) ขณะที่ฝั่งลาว-เมียนมามีบทบาทเป็นคู่ค้าหลักของการค้าชายแดนไทยต่อเนื่อง (เอกสารสถิติกระทรวงพาณิชย์) แนวโน้มนี้สะท้อนว่า ทุก “แรงสะเทือนราคา” จากการจัดเก็บภาษีนำเข้าพัสดุออนไลน์ สามารถกระเพื่อมต่อโครงสร้างราคาขายปลีกท้องถิ่นได้ โดยเฉพาะสินค้าจำพวก ของใช้ไอที อะไหล่ย่อย เครื่องตกแต่งบ้าน เสื้อผ้าแฟชั่น ที่ผู้ค้ารายย่อยชายแดนเคยพึ่ง “ล็อตเล็ก” นำเข้าผ่านเส้นทางโลจิสติกส์หลากหลายรูปแบบ เพื่อกระจายขายหน้าร้านและขายออนไลน์ต่อในประเทศ
คำถามใหญ่ของเชียงราย “ความอยู่รอดของค้าปลีกชายแดน” กับการแข่งขันของแพลตฟอร์ม
ในทางหนึ่ง มาตรการใหม่ แก้ปัญหาเดิม คือปิดโอกาส “ของราคาต่ำลอยตัว” เข้ามาโดยไม่เสียภาษี ทำให้ผู้ค้าถูกกฎหมายในประเทศไม่เสียเปรียบ แต่ในอีกทางหนึ่ง การแข่งขันไม่จบแค่ภาษี เพราะแพลตฟอร์มต่างชาติยังได้เปรียบด้วย ขนาด เครือข่ายซัพพลายเออร์จีน และต้นทุนโลจิสติกส์ ที่ยังต่ำกว่าผู้ค้านำเข้าแบบดั้งเดิมในบางประเภทสินค้า ผลลัพธ์คือ ผู้บริโภคอาจยอมจ่ายแพงขึ้นเล็กน้อย เพื่อแลกกับทางเลือกสินค้าหลากหลายและการส่งถึงบ้าน ซึ่งเป็นโจทย์ท้าทายของค้าปลีกชายแดนเชียงราย
3 ฉากทัศน์ที่ธุรกิจท้องถิ่นต้องคิด
มุมมองจากนโยบายรัฐ
ฝั่งกรมศุลกากรเน้นย้ำ “ดุลยภาพ” ระหว่างการอำนวยความสะดวกกับการปกป้องสังคม—เร่งคืนภาษี/เงินประกัน เพิ่มความถี่พิจารณาอุทธรณ์ ปรับระบบตรวจปล่อยสู่มาตรฐานสากล และยกระดับการบริหารความเสี่ยงจาก “รายธุรกรรม” เป็น “ฐานผู้ประกอบการ (Entity base)” เพื่อให้ผู้ประกอบการสุจริตไม่ถูกภาระเกินจำเป็น นี่คือการบ้านภาครัฐที่จะทำให้ “กติกาใหม่” ส่งผลดีที่สุดต่อเศรษฐกิจโดยรวมและผู้บริโภค
“ของถูกจะไม่ถูกอีกต่อไป?”—คำนวณผลกระทบสินค้ายอดฮิต
เพื่อให้เห็นภาพเชิงปฏิบัติ เราจำลองตะกร้าสินค้าที่ชาวเชียงรายนิยมสั่งจากแพลตฟอร์ม (ตัวเลขภาษีเป็นการประมาณตามหลักอากรเฉลี่ย 10% และ VAT 7% บนฐาน C.I.F.+อากร ไม่รวมค่าดำเนินการอื่น)
นัยต่อพฤติกรรมผู้บริโภค
จากกฎภาษีสู่โครงสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่น
หากมองไกลกว่าราคาหน้าร้าน นโยบายนี้คือ การปรับสมดุลระบบนิเวศการค้า—ผู้ค้าที่ยึดกติกามี “สนามแข่งขันที่ยุติธรรมขึ้น” รัฐมีรายได้ที่ถูกต้อง และผู้บริโภคได้สินค้ามาตรฐานมากขึ้น (ลดสินค้าปลอม/ไม่ได้มาตรฐาน) ในระยะกลาง–ยาว ผลเชิงบวกอาจสะสมผ่าน
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายเชิงนโยบาย ยังมี 3 ประการ
“เก็บครบ–อำนวยความสะดวก–ปกป้องสังคม”
กรอบ “Quick Big Win” ที่ประกาศเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2568 ระบุ 3 เสาหลักชัดเจน—อำนวยความสะดวก (เร่งคืนภาษี ปรับพิธีการ ตรวจปล่อยมาตรฐานสากล สนับสนุนราง–เรือ–ICD), ปกป้องสังคม (ปราบสินค้าทุ่มตลาด/ปลอมแปลงถิ่นกำเนิด/ไม่ได้มาตรฐาน) และ เพิ่มรายได้รัฐ โดยเฉพาะในส่วน อีคอมเมิร์ซข้ามแดน ที่คาดว่าช่วยสร้างรายได้เพิ่มเติมประมาณ 3,000 ล้านบาท/ปี เมื่อเพดาน De minimis ลดลงเหลือ 1 บาท พร้อมเดินหน้าหารือแพลตฟอร์มขนาดใหญ่เพื่อ ปิดช่องสินค้าผิดกฎหมายบนแพลตฟอร์ม ตั้งแต่ต้นทาง
ในเชิงกรอบเวลา ปี 2567–2568 เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญ—จาก การเริ่มจัดเก็บ VAT กับพัสดุต่ำกว่า 1,500 บาท (ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา) ไปสู่ การเลิกยกเว้นอากรนำเข้า สำหรับพัสดุ “แทบทุกชิ้น” ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไปตามที่ผู้บริหารศุลกากรสื่อสารต่อสาธารณะ โดยมีสาระสำคัญว่า “สินค้าต่ำกว่า 1,500 บาท จะไม่ยกเว้นภาษีอีกต่อไป” และจะคำนวณภาษีตามกฎหมายปกติ เพื่อยุติการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมและคัดกรองสินค้ามาตรฐานเข้าสู่ประเทศ
เชียงรายควร “รับมือ” อย่างไร ข้อเสนอเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้ค้า
1) รีแพ็กเกจพอร์ตสินค้า
2) เร่งทำสัญญานำเข้าแบบมืออาชีพ
3) สร้าง “คุณค่าท้องถิ่น” ให้แตกต่างจากแพลตฟอร์ม
4) ทำการตลาด “ภาษีชัด–ของแท้ชัวร์–ซัพพอร์ตเร็ว”
5) ต่อยอด B2B ในภาคเหนือ
“ภาษีใหม่” ไม่ใช่จุดจบของความคุ้มค่า—แต่คือบทเริ่มของการค้าที่เป็นธรรม
เมื่อนับถอยหลังสู่ 1 ม.ค. 2569 ระบบภาษีอีคอมเมิร์ซของไทยกำลังก้าวสู่ยุคที่ พัสดุแทบทุกชิ้นถูกกำกับด้วยกติกาเดียวกัน ลดแรงบิดเบี้ยวจาก De minimis เดิม เพิ่มความเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการในประเทศ และเพิ่มความปลอดภัยแก่ผู้บริโภคผ่านการคัดกรองสินค้ามาตรฐาน การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้อาจทำให้ “ของถูกมาก” ไม่ถูกอีกต่อไป แต่ก็ไม่จำเป็นต้อง “แพงไร้เหตุผล” หากรัฐ–แพลตฟอร์ม–ขนส่ง–ผู้ค้า–ผู้บริโภค ร่วมกันทำให้ข้อมูลโปร่งใสและต้นทุนพิธีการมีประสิทธิภาพ
สำหรับเชียงราย เมืองชายแดนที่คล่องแคล่วด้านโลจิสติกส์และการค้าข้ามแดน นี่คือโอกาส—หากผู้ค้าท้องถิ่นปรับตัวจาก ยุทธศาสตร์ “ถูกกว่า” ไปสู่ “ดีกว่า–เร็วกว่า–เชื่อถือได้กว่า” การมีร้านอยู่ใกล้มือ บริการหลังการขายที่จับต้องได้ และคอนเทนต์ท้องถิ่นที่สร้างความผูกพัน จะทำให้ ส่วนต่างราคา 10–20% ไม่ใช่กำแพงที่ข้ามไม่ได้อีกต่อไป
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.