กต.–ทส. เลือกเชียงรายเป็นเวที “ฟ้าใส” อาเซียน ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ CLEAR Sky แก้หมอกควันข้ามแดน สร้างโมเดลเชิงปฏิบัติการจากพื้นที่จริงสู่ระดับภูมิภาค

เชียงราย, 6 ธันวาคม 2568 – ท่ามกลางท้องฟ้าที่ครั้งหนึ่งเคยคลุมด้วยม่านหมอกควันในทุกฤดูแล้ง จังหวัดเชียงรายกำลังก้าวขึ้นมาเป็น “ห้องปฏิบัติการนโยบาย” ด้านสิ่งแวดล้อมของภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เมื่อกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ร่วมกันจัดโครงการหารือขับเคลื่อนความร่วมมือตามแผนปฏิบัติการร่วมภายใต้ “ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (CLEAR Sky Strategy)” ขึ้นที่โรงแรมเดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2568

การประชุมครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเวทีสัมมนาทางวิชาการ หากแต่เป็นการทดลอง “ทูตเชิงปฏิบัติการ” (operational diplomacy) เพื่อแปลงคำมั่นทางการเมืองในแผนปฏิบัติการร่วม (Joint Plan of Action – JPOA 2024–2030 หรือ 2567–2573) ให้กลายเป็นมาตรการและกลไกที่จับต้องได้ ก่อนเข้าสู่ฤดูฝุ่นควันรอบใหม่ในช่วงต้นปี 2569 ซึ่งทุกฝ่ายประเมินตรงกันว่าความเสี่ยงยังคงสูง

เชียงราย ด่านหน้าของปัญหา กลายเป็นด่านหน้าของทางออก

บรรยากาศการประชุมในห้องประชุมริมแม่น้ำกกมีผู้เข้าร่วมกว่า 250 คน จากทั้งหน่วยงานรัฐ องค์กรระหว่างประเทศ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และผู้แทนจากชุมชนในพื้นที่ โดยมีนายศรัณย์ เจริญสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธานในพิธีเปิด ขณะที่นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวต้อนรับและรายงานภาพรวมการดำเนินงานของจังหวัดในการลดการเผาในที่โล่งและไฟป่าในช่วงปีที่ผ่านมา

จุดเด่นของเวทีครั้งนี้อยู่ที่ “สถานที่จัด” ไม่ไช่เพียง “เนื้อหาประชุม” เชียงรายคือหนึ่งในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากหมอกควันข้ามแดนอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากพื้นที่ภายในประเทศและไฟป่าจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นจังหวัดที่ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์มาใช้แนวทางบูรณาการ ทั้งด้านการจัดการป่า การใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ และการเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุข จนสามารถนำเสนอเป็นกรณีศึกษาเชิงปฏิบัติการในการประชุมครั้งนี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้รายงานว่า จังหวัดได้แบ่ง “กลุ่มป่าเสี่ยงเผาไหม้” ออกเป็น 14 กลุ่ม โดยเชียงรายอยู่ในกลุ่มป่าศรีลานนา–ขุนตาล เพื่อให้สามารถบริหารจัดการเชื้อเพลิงและวางแผนควบคุมไฟได้ตรงจุด พร้อมทั้งใช้มาตรการเข้มข้น “เผาจริง จับจริง” ควบคู่กับการ “ตัดสิทธิ์เกษตรกร” ที่ฝ่าฝืนกฎหมายในการเข้าร่วมโครงการสนับสนุนจากรัฐ ตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมาย จังหวัดยังได้จัดเตรียม “ห้องปลอดฝุ่น (Clean Room)” และ “พื้นที่ปลอดภัย (Safety Zone)” เพื่อรองรับประชาชนกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มเปราะบางในช่วงค่าฝุ่น PM2.5 สูง ถือเป็นการบูรณาการมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมกับนโยบายด้านสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด

จากแผนบนกระดาษสู่การทูตภาคสนาม CLEAR Sky Strategy คืออะไร

ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (CLEAR Sky Strategy) เป็นกรอบยุทธศาสตร์ที่ประเทศไทยเสนอขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษหมอกควันข้ามแดนอย่างยั่งยืนในกรอบความร่วมมือระหว่างไทย สปป.ลาว และเมียนมา โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตอนบน และได้ขยายผลเข้าสู่กรอบอาเซียน ภายใต้แผนปฏิบัติการร่วม JPOA 2024–2030 (2567–2573)

ยุทธศาสตร์ดังกล่าวประกอบด้วย 5 เสาหลัก ภายใต้คำย่อ C.L.E.A.R. ได้แก่

  • C – Continued Commitment
    ความมุ่งมั่นต่อเนื่องและความรับผิดชอบร่วมกัน ในการลดจุดความร้อนและการเผาในที่โล่งตามเป้าหมายที่เคยรับรองร่วมกันในเวทีระดับภูมิภาค
  • L – Leveraging Mechanisms
    การใช้ประโยชน์จากกลไกความร่วมมือที่มีอยู่ เช่น กรอบอาเซียน กลไกคณะกรรมการชายแดน และเวทีทวิภาคี เพื่อเพิ่ม “แรงกดดันเชิงบวก” ให้ประเทศคู่ภาคีดำเนินมาตรการอย่างเป็นรูปธรรม
  • E – Experience Sharing
    การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดี ทั้งด้านกฎหมาย การจัดการพื้นที่ และโมเดลการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ช่วยลดแรงจูงใจในการเผา เช่น โมเดลดอยตุง
  • A – Air Quality Network
    การพัฒนาเครือข่ายคุณภาพอากาศ การติดตามและพยากรณ์มลพิษอย่างแม่นยำ เพื่อใช้วางแผนป้องกันและสื่อสารเตือนภัยล่วงหน้าแก่ประชาชน
  • R – Effective Response
    การเตรียมความพร้อมและการตอบสนองเมื่อเกิดวิกฤตหมอกควันอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การดับไฟป่าไปจนถึงการดูแลสุขภาพของประชาชน

ในการประชุมที่เชียงราย เสาหลักทั้ง 5 ถูกถอดออกมาเป็น “วาระการหารือ” ผ่านเวทีเสวนา 2 ช่วงใหญ่ คือ (1) แนวทางการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส และ (2) การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียน ประเทศคู่เจรจา และองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง

เสียงสะท้อนจากสามประเทศลุ่มน้ำโขง จากตัวเลขจุดความร้อนสู่ความรับผิดชอบร่วม

หนึ่งในหัวใจของการประชุมครั้งนี้ คือ การเปิดพื้นที่ให้ผู้แทนจาก สปป.ลาว และเมียนมา นำเสนอความคืบหน้าการดำเนินงานในช่วงปีที่ผ่านมา และแผนเตรียมการรองรับสถานการณ์หมอกควันในช่วงต้นปี 2569

นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รายงานภาพรวมการดำเนินการของไทย ทั้งในระดับนโยบายและในระดับพื้นที่ โดยเชื่อมโยงกับตัวเลขการลด “จุดความร้อนสะสม” ในป่าและพื้นที่เสี่ยงเผา ซึ่งในช่วงปี 2567 ไทยสามารถลดจำนวนจุดความร้อนในพื้นที่เป้าหมายได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับค่ามาตรฐานก่อนหน้า

ขณะเดียวกัน นายซาน อู อธิบดีกรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของเมียนมา และนางเตือนจิต อลุนละสี รองอธิบดีสถาบันด้านชีวเทคโนโลยีและระบบนิเวศของ สปป.ลาว ได้นำเสนอความพยายามในการลดการเผาในที่โล่ง การเพิ่มการลาดตระเวนไฟป่า และการร่วมมือกับชุมชนในพื้นที่เสี่ยง เพื่อสร้างกลไกป้องกันก่อนเกิดเหตุ

การรายงานดังกล่าวทำให้ยุทธศาสตร์ฟ้าใสไม่ได้หยุดอยู่แค่ “ถ้อยแถลงทางการเมือง” แต่เริ่มมีลักษณะคล้าย “ระบบติดตามและประเมินผลร่วม” ที่ทุกประเทศต้องออกมารายงานความคืบหน้าบนเวทีเดียวกัน เป็นแรงกดดันในเชิงสร้างสรรค์ ให้ทุกภาคีต้องเร่งเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง

เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเน้นย้ำในที่ประชุมว่า การแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนจะสำเร็จไม่ได้ หากขาด “การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน” ตั้งแต่ระดับนโยบาย ภาคเอกชน ไปจนถึงชุมชนท้องถิ่น จึงจำเป็นต้องแปลงยุทธศาสตร์ฟ้าใสให้เป็นเครื่องมือที่ทุกฝ่ายใช้ร่วมกัน ไม่ใช่เพียงกรอบเอกสารในระดับรัฐบาลกลาง

เชียงรายในฐานะ “ต้นแบบปฏิบัติการ” จากแผนที่กลุ่มป่าถึงห้องปลอดฝุ่น

ในเวทีหารือ ผู้แทนจังหวัดเชียงรายได้นำเสนอรูปแบบการทำงานที่ถูกหยิบยกให้เป็น “โมเดลต้นแบบ” สำหรับการขยายผลไปยังจังหวัดอื่นในภาคเหนือ รวมถึงพื้นที่ต้นทางมลพิษในประเทศเพื่อนบ้าน

มาตรการสำคัญของเชียงรายประกอบด้วย

  1. การจัดการพื้นที่เสี่ยงเชิงระบบ
    จังหวัดได้แบ่งกลุ่มป่าเสี่ยงไฟออกเป็น 14 กลุ่ม โดยอยู่ภายใต้กลุ่มป่าศรีลานนา–ขุนตาล เพื่อให้สามารถจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่ที่ต้องจัดการเชื้อเพลิงและลาดตระเวนก่อน และใช้ข้อมูลจุดความร้อน (hotspot) ประกอบการตัดสินใจอย่างเป็นระบบ
  2. มาตรการทางเศรษฐกิจและกฎหมายควบคู่กัน
    นโยบาย “เผาจริง จับจริง” และ “ตัดสิทธิ์เกษตรกรจากโครงการของรัฐ” ถูกใช้เป็นมาตรการยับยั้งเชิงโครงสร้าง ไม่เพียงแต่ปรับเป็นเงิน แต่กระทบต่อโอกาสในการเข้าถึงสิทธิประโยชน์จากภาครัฐในระยะยาว ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจของชาวบ้านอย่างเห็นได้ชัด
  3. การจัดการเศษวัสดุทางการเกษตรทดแทนการเผา
    จังหวัดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมให้เกษตรกรใช้เศษซัง ฟาง ใบข้าว หรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรไปผลิตปุ๋ยชีวภาพ วัสดุคลุมดิน หรือเชื้อเพลิงชีวมวล แทนการเผาทิ้งในที่โล่ง
  4. การเตรียมพร้อมด้านสาธารณสุข
    การจัดตั้งห้องปลอดฝุ่นและพื้นที่ปลอดภัยในโรงพยาบาลและสถานพยาบาลสำคัญ ถือเป็นมาตรการเชิงรุกในการลดผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ

มาตรการเหล่านี้ได้รับการยกขึ้นในเวทีเสวนาเป็นตัวอย่างของการ “บูรณาการระดับจังหวัด” ที่ผสานเครื่องมือทางกฎหมาย เศรษฐกิจ สังคม และสาธารณสุขเข้าด้วยกัน ซึ่งผู้แทนจากลาวและเมียนมาแสดงความสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะโมเดลการใช้ “มาตรการตัดสิทธิ์ทางเศรษฐกิจ” แทนการบังคับใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียว

จากดอยตุงสู่ลุ่มน้ำโขง ใช้เศรษฐกิจพืชยืนต้นแก้ปัญหาที่ราก

อีกหนึ่งไฮไลต์ของโครงการครั้งนี้ คือ การนำคณะผู้แทนจากทั้งสามประเทศ รวมถึงผู้แทนจากองค์กรระหว่างประเทศ ลงพื้นที่ศึกษาดูงาน ณ โครงการพัฒนาดอยตุง ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์

ดอยตุงคือกรณีศึกษา “เปลี่ยนภูเขาไฟเป็นภูเขาเขียว” ที่เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ จากอดีตพื้นที่ปลูกฝิ่นและการถางป่าเผาป่า กลายมาเป็นพื้นที่ปลูกพืชยืนต้นและพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้อย่างต่อเนื่องให้ชุมชน เช่น แมคคาเดเมีย กาแฟ และพืชสวนหลากชนิด

โมเดลดอยตุงถูกเสนอให้เป็น “ตัวอย่างเชิงรูปธรรม” ของเสาหลัก E – Experience Sharing ในยุทธศาสตร์ฟ้าใส โดยชี้ให้เห็นว่า การแก้ไขปัญหาหมอกควันอย่างยั่งยืนไม่สามารถพึ่งพาเพียงมาตรการปราบปรามได้ แต่ต้อง “เปลี่ยนโครงสร้างรายได้ของชุมชน” จากระบบที่พึ่งพาไฟและการเผา ไปสู่ระบบที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจบนฐานทรัพยากรที่ได้รับการฟื้นฟู

องค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) และองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมนี (GIZ) แสดงบทบาทสำคัญในฐานะ “พันธมิตรด้านเทคนิคและการเงิน” ที่พร้อมสนับสนุนการขยายผลโมเดลการพัฒนาลักษณะเดียวกับดอยตุงไปยังพื้นที่ในลาวและเมียนมา ซึ่งมีโครงสร้างภูมิประเทศและสภาพเศรษฐกิจคล้ายคลึงกัน

ร่วมมือข้ามพรมแดน จากอาเซียนสู่เครือข่ายพันธมิตรนานาชาติ

ภายในงานยังมีผู้แทนจากกระทรวงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมสิงคโปร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและป่าไม้อินโดนีเซีย สถาบัน Chinese Research Academy of Environmental Sciences (CRAES – จีน) ศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย (ADPC) และสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง (MI) เข้าร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์

ประเทศอย่างอินโดนีเซียและสิงคโปร์มีประสบการณ์ยาวนานในการจัดการปัญหาหมอกควันข้ามแดนจากไฟป่าและพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันในภูมิภาคอาเซียน การนำบทเรียนจากกรอบความตกลงหมอกควันข้ามแดนอาเซียน (ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution – AATHP) มาเปรียบเทียบกับบริบทของลุ่มน้ำโขง ช่วยให้การออกแบบกลไกใหม่ภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใสมีความเป็นไปได้และสอดคล้องกับมาตรฐานสากรมากขึ้น

ด้าน CRAES จากจีน มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนองค์ความรู้ด้านแบบจำลองการแพร่กระจายมลพิษและการสร้างเครือข่ายติดตามคุณภาพอากาศระดับภูมิภาค ขณะที่ JICA และ GIZ สนับสนุนทั้งด้านงบประมาณและเทคนิคในการพัฒนาระบบเกษตรยั่งยืน การจัดการเชื้อเพลิง และการสร้างขีดความสามารถให้หน่วยงานท้องถิ่นในสามประเทศ

การเข้ามาของพันธมิตรเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ยุทธศาสตร์ฟ้าใสไม่ได้เป็นเพียงกรอบความร่วมมือ “สามประเทศ” แต่กำลังขยายตัวเป็น “แพลตฟอร์มความร่วมมือพหุภาคี” ที่เชื่อมโยงผู้เล่นระดับภูมิภาคและระดับโลกเข้าด้วยกัน

สื่อสารถึงรากหญ้า คลิป “หยุดเผา ฟ้าใส ไร้มลพิษ” 3 ภาษา

อีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่ถูกเปิดตัวในการประชุมครั้งนี้ คือ คลิปรณรงค์ “หยุดเผา ฟ้าใส ไร้มลพิษ” ซึ่งผลิตขึ้นใน 3 ภาษา คือ ไทย ลาว และเมียนมา เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ชายแดนได้อย่างแท้จริง

สารหลักของคลิปมุ่งเน้นให้เห็น “ต้นทุนที่แท้จริงของการเผา” ทั้งต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และอนาคตของชุมชน พร้อมทั้งชูตัวอย่างแนวทางปฏิบัติที่ไม่ต้องใช้ไฟในการจัดการเศษวัสดุทางการเกษตร และทางเลือกด้านพืชเศรษฐกิจที่ยั่งยืน การสื่อสารในภาษาท้องถิ่นของแต่ละประเทศช่วยลดช่องว่างด้านวัฒนธรรมและทำให้สารรณรงค์เข้าถึงผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ความท้าทายข้างหน้า จากเชียงรายสู่ลุ่มน้ำโขง

แม้การประชุมที่เชียงรายจะสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการเชิงบวกทั้งในเชิงนโยบายและปฏิบัติการ แต่ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ยอมรับตรงกันว่า ความท้าทายที่แท้จริงยังอยู่ “ข้างหน้า” ไม่ใช่ “ข้างหลัง”

ความแตกต่างด้านกฎหมาย ด้านฐานะทางเศรษฐกิจ และทรัพยากรของหน่วยงานรัฐในสามประเทศ เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการนำมาตรการที่เข้มข้นแบบเชียงราย เช่น การตัดสิทธิ์เข้าร่วมโครงการรัฐ ไปประยุกต์ใช้ในลาวและเมียนมาในรูปแบบเดียวกัน

การเปลี่ยนผ่านจากเกษตรที่ใช้การเผา ไปสู่เกษตรพืชยืนต้นและระบบการผลิตที่ยั่งยืน ต้องอาศัย “เงินลงทุนระยะยาว” และ “การประกันความเสี่ยงทางรายได้” ของเกษตรกรในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอยู่ในระดับเปราะบางกว่าภาคเหนือของไทยอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเห็นพ้องว่า ยุทธศาสตร์ฟ้าใสและแผนปฏิบัติการร่วม JPOA 2024–2030 ได้สร้าง “กรอบโครง” ที่จำเป็นสำหรับการเดินหน้าต่อในอีก 5–7 ปีข้างหน้า สิ่งที่ต้องจับตาคือ

  • การคง “แรงผลักดันทางการเมือง” ให้ต่อเนื่อง ไม่ให้ประเด็นหมอกควันถูกกลบด้วยวิกฤตอื่น
  • การแปลงข้อเสนอในระดับนโยบาย เช่น การตั้งกองทุนตอบสนองวิกฤตร่วม หรือกลไกสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ ให้เกิดขึ้นจริงภายในกรอบเวลาแผน
  • การใช้พื้นที่อย่างเชียงรายเป็น “ศูนย์กลางการเรียนรู้” ให้ประเทศเพื่อนบ้าน สามารถนำโมเดลไปปรับใช้ตามบริบทตนเอง

สำหรับประชาชนในจังหวัดเชียงรายและภาคเหนือ ตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุดอาจไม่ใช่จำนวนเวทีประชุมหรือจำนวนข้อตกลงที่ลงนาม หากแต่คือจำนวน “วันที่ฟ้าใส” เพิ่มขึ้นในแต่ละปี และจำนวน “ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ” ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ
  • กรมควบคุมมลพิษ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์
  • ข้อมูลจากผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สถาบัน Chinese Research Academy of Environmental Sciences (CRAES) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมนี (GIZ) สถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง (MI) และศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย (ADPC) ที่เข้าร่วมการหารือในครั้งนี้
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME