
เชียงราย, 25 ตุลาคม 2568 — แสงไฟยามค่ำเริ่มทอดเงาบนลำน้ำโขง เงาคนงาน ผู้เฒ่า แม่เครือทอผ้า และเยาวชนในชุดไทลื้อสีครามเข้มกำลังขยับมือ ทำงานแข่งกับเวลา ในศาลาวัดบ้านหาดบ้าย ตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ไม่มีใครพูดถึงคำว่า “การจัดงาน” ทุกคนพูดถึงคำเดียวคือ “บุญ”
นี่คือบรรยากาศของ “งานทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ” ประเพณีบุญที่กำลังได้รับการฟื้นคืนให้มีชีวิตอย่างจริงจังจากการร่วมมือของชุมชนไทลื้อบ้านหาดบ้าย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) และองค์การบริหารส่วนตำบลริมโขง (อบต.ริมโขง) พร้อมการสนับสนุนของอำเภอเชียงของ ในช่วงวันที่ 25–26 ตุลาคม 2568
พิธีเปิดจัดขึ้น ณ วัดบ้านหาดบ้าย โดยมีนายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ขณะที่ อบจ.เชียงรายซึ่งนำโดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้ นายญาณาฤทธิ์ หนสมสุข รองปลัด อบจ.เชียงราย พร้อมด้วยนายวสุพล จตุรคเชนทร์เดชา รองประธานสภา อบจ.เชียงราย รวมถึงหัวหน้าส่วนราชการ เข้าร่วมในนามตัวแทนของจังหวัด เพื่อยืนยันว่า เรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงงานประเพณี หากแต่เป็นวาระเชิงยุทธศาสตร์ของจังหวัดเชียงราย
“จุลกฐิน” มหากุศลแห่งการรวมใจ
แก่นกลางของงานนี้ คือ “จุลกฐิน” หรือที่ชาวไทลื้อบ้านหาดบ้ายเรียกว่า “ผ้าทันใจ” ซึ่งเป็นพิธีบุญโบราณที่สืบทอดกันมายาวนานในชุมชนไทลื้อทางล้านนา จุลกฐินถือเป็นงานบุญพิเศษที่ไม่ใช่การทอดกฐินแบบทั่วไป หากแต่เป็นการ “ทอผ้า เพื่อถวายผ้าไตรแด่พระภิกษุภายในเวลาจำกัด” คือ ต้องเก็บฝ้าย ฟั่นเส้น กรอ ปั่น ทอ เย็บ ตัด จนกลายเป็นผ้าไตรจีวร ถวายพระเสร็จสิ้นภายในหนึ่งวาระบุญต่อเนื่อง โดยปกติทำกันภายในช่วงเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง
ในทางปฏิบัติ นั่นหมายถึง “ทั้งหมู่บ้านต้องตื่นพร้อมกัน”
นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ กล่าวในพิธีเปิดว่า งานจุลกฐินไม่ใช่เพียงพิธีทางศาสนาหรือการอนุรักษ์วัฒนธรรม แต่เป็น “มหากุศลที่หาชมได้ยากยิ่ง” และยิ่งไปกว่านั้น ความหมายแท้จริงของงาน ไม่ได้อยู่แค่ผืนผ้าที่จะถวายพระ แต่อยู่ที่ “พลังรวมใจของคนทั้งชุมชน”
“ประเพณีนี้ ไม่สามารถสำเร็จลงได้ด้วยคนเพียงกลุ่มเดียว ต้องอาศัยการรวมแรงของทั้งชุมชน ทำทุกขั้นตอนให้เสร็จภายในเวลาที่จำกัด” นายอุดมกล่าวระหว่างเปิดงาน พร้อมย้ำว่า ความพร้อมเพรียงของคนในพื้นที่บ้านหาดบ้ายและบ้านหาดทรายทอง ต.ริมโขง ไม่เพียงเป็นสิ่งน่าประทับใจในมิติของศรัทธา แต่กำลังขยายบทบาทไปสู่ “การบูรณาการและต่อยอดมรดกอันล้ำค่านี้ ให้กลายเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม”
การทอผ้าจุลกฐินตามคติความเชื่อดั้งเดิมของไทลื้อ ไม่ใช่แค่การทำผ้า แต่เป็นการ “ร่วมทำบุญใหญ่” ที่มีคุณค่าทางศาสนาใกล้เคียงกับการบวชของชายหนุ่ม ตามความเชื่อดั้งเดิมของชาวล้านนาและกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ เนื่องจากสตรีไม่มีโอกาสบวชในเชิงพุทธศาสนาอย่างผู้ชาย การทอผ้ากฐินภายในกำหนดเวลาศักดิ์สิทธิ์ จึงเป็นพื้นที่บุญสำคัญของผู้หญิงในชุมชน
ดังนั้น ในคืนก่อนวันถวายผ้า “ผู้หญิงไทลื้อจำนวนมากในชุมชนจะชำระร่างกาย ทำความสะอาดทุกส่วน รักษาศีล ตั้งจิตให้สงบ” ก่อนเริ่มภารกิจที่กินเวลาข้ามคืนตั้งแต่ช่วงเที่ยงคืนจนถึงค่ำของวันเดียวกัน — ไม่ใช่เพื่อความสวยงามของผืนผ้าเท่านั้น แต่เพื่อความบริสุทธิ์ของการทำบุญ
นี่คืออัตลักษณ์วัฒนธรรมที่ยืนยันเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งว่า ผู้หญิงในชุมชน ไม่ได้อยู่ในบทบาท “สนับสนุน” หากแต่เป็น “หัวใจของพิธีกรรม”
ประเพณีเก่าที่ไม่ยอมเก่า ความทรงจำของชุมชนไทลื้อบ้านหาดบ้าย
บ้านหาดบ้าย เป็นชุมชนไทลื้อที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ในเขตตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย พื้นที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในด่านสำคัญของวัฒนธรรมไทลื้อที่โยกย้ายตั้งถิ่นฐานลงมาจากตอนบนของลุ่มน้ำโขงในอดีต พร้อมขนเอาวิถีชีวิต ภาษา การแต่งกาย การกิน และภูมิปัญญาการทอผ้าลงมาด้วย
ปราชญ์ท้องถิ่นของชุมชนเล่าว่า “จุลกฐิน” หรือที่เรียกกันติดปากในหมู่บ้านว่า “ทอผ้าทันใจ” มีมาตั้งแต่จำความได้ แม้ว่าในอดีตจะไม่ได้จัดทุกปีเสมอไป บางช่วงเว้นห่างทุก 3 ปี และในระยะก่อนหน้า พิธีมักจัดกันในลักษณะชุมชนเล็ก ๆ บนพื้นที่กลางหมู่บ้าน โดยมีครอบครัวและกลุ่มแม่หญิงในแต่ละกลุ่มมารวมตัวกัน ทำงานเงียบ ๆ แต่ตั้งใจมาก
รูปแบบในอดีตนั้นเรียบง่าย ไม่มีเวที ไม่มีไฟส่อง ไม่มีป้ายประชาสัมพันธ์ การทำบุญเป็นกิจกรรมภายในหมู่บ้าน คนเฒ่าคนแก่สอนคนรุ่นลูก คนรุ่นลูกสอนคนรุ่นหลาน ต่อเนื่องกันไป นี่จึงเป็นทั้ง “พิธีกรรมทางศาสนา” “กระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้” และ “กิจกรรมสร้างความสมัครสมาน” ในคราวเดียวกัน
แตกต่างจากหลายพื้นที่ในล้านนาที่ประเพณีจุลกฐินเริ่มเลือนหายไป บ้านหาดบ้ายกลับรักษาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น และในรอบ 3 ปีหลัง ประเพณีนี้ได้รับการสนับสนุนในระดับนโยบายท้องถิ่นที่ชัดเจนขึ้น ผ่านการผลักดันของ อบต.ริมโขง และ อบจ.เชียงราย จนเปลี่ยนจากงานบุญท้องถิ่น ไปเป็น “เวทีวัฒนธรรมสาธารณะ” ในความหมายที่ยังเคารพรากเดิม
กล่าวได้ว่า บ้านหาดบ้ายไม่ได้เพียงรักษาประเพณีเก่าเอาไว้ แต่กำลัง “ใช้ประเพณีเป็นทุนทางสังคมและเศรษฐกิจ” อย่างเป็นรูปธรรม
วัฒนธรรมไม่ใช่ของโชว์ แต่คือเครื่องมือพัฒนาชุมชน
นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้มอบหมายให้คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ อบจ.ลงพื้นที่ร่วมเปิดงาน พร้อมสนับสนุนการจัดกิจกรรมในปีนี้อย่างต่อเนื่อง โดย อบจ.เชียงรายอธิบายกรอบการขับเคลื่อนงานไว้ภายใต้นโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ซึ่งเป็นหนึ่งในกรอบยุทธศาสตร์ที่ตั้งใจจะกระจายการท่องเที่ยวจากจุดหลักที่คนทั่วไปคุ้นเคย (ตัวเมืองเชียงราย, ดอยแม่สลอง, วัดร่องขุ่น) ไปสู่ชุมชนชายแดนและชุมชนวัฒนธรรมชาติพันธุ์
เป้าหมายไม่ใช่เพียงการเพิ่มนักท่องเที่ยว แต่เป็นการทำให้ “การท่องเที่ยวโดยชุมชน” กลายเป็นเศรษฐกิจฐานรากที่ชาวบ้านมีส่วนร่วมจริง ไม่ใช่การนำวัฒนธรรมไปจัดแสดงแบบแยกออกจากเจ้าของวัฒนธรรม
ในรายละเอียด การสนับสนุนโครงการ “ทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ” มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการที่ อบจ.เชียงรายและ อบต.ริมโขงระบุชัด ได้แก่
นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ กล่าวในพิธีเปิดว่า งานครั้งนี้เป็นภาพสะท้อน “พลังของพี่น้องท้องถิ่นรวมใจ” ที่สอดคล้องอย่างยิ่งกับแนวนโยบายของภาครัฐที่ผลักดันเศรษฐกิจฐานรากและการท่องเที่ยวโดยชุมชน โดยย้ำว่า “พลังแห่งศรัทธาและความสามัคคี ไม่ได้หยุดอยู่เพียงในขอบเขตของประเพณี แต่กำลังถูกต่อยอดเป็นรูปธรรมไปสู่การสร้างรายได้ให้ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน”
เชียงของ ไม่ใช่แค่เมืองชายแดน แต่คือพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ
อำเภอเชียงของตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ติดชายแดน สปป.ลาว เป็นจุดที่แม่น้ำโขงไหลเข้าสู่ประเทศไทยตอนเหนือ พร้อมบทบาทด้านเศรษฐกิจเชื่อมการค้าไทย–ลาว–จีน และเส้นทางสัญจรของผู้เดินทางระหว่างอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
เชียงของเคยถูกมองว่าเป็น “เมืองทางผ่าน” สำหรับนักเดินทางไป–กลับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ในปัจจุบันกำลังถูกออกแบบใหม่ให้เป็นจุดหมายในตัวเอง ผ่านการยกระดับสินค้าการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เช่น
พื้นที่ตำบลริมโขงมีชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกันหลายกลุ่ม ทั้งชาวไทลื้อ ไทยลาว ม้ง อาข่า ขมุ และคนพื้นเมืองล้านนา แต่ละกลุ่มมีทั้งภาษา อาหาร การแต่งกาย และขนบธรรมเนียมที่ต่างกัน งานจุลกฐินจึงไม่ใช่แค่พิธีทางพุทธศาสนา แต่ยังทำหน้าที่เป็น “เวทีแสดงตัวตน” ของคนในพื้นที่ชายแดน โดยเปิดให้คนนอกได้เข้ามาเรียนรู้ด้วยความเคารพ
ในมิติพื้นที่ การจัดกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมในชุมชนหาดบ้าย–หาดทรายทองยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์จังหวัดเชียงราย (พ.ศ. 2566–2570) และยุทธศาสตร์ของ อบจ.เชียงราย ที่มุ่ง “สร้างมูลค่าเพิ่มด้านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์โดยดำรงฐานวัฒนธรรมล้านนา” รวมถึงแนวนโยบายด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในระดับชาติที่เน้นให้ชุมชนท้องถิ่นบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมของตนเอง เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่ยืนได้ด้วยกำลังของชุมชน
กล่าวในเชิงกฎหมายและนโยบายท้องถิ่น การดำเนินโครงการดังกล่าวยังเชื่อมโยงกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2552 ตลอดจนกรอบอำนาจตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ที่มอบหมายให้ท้องถิ่น “พัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของพื้นที่” รวมถึง “คุ้มครอง ดูแล และบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” และ “บำรุงและส่งเสริมการประกอบอาชีพของราษฎร”
กล่าวอีกแบบ นี่ไม่ใช่งานเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นการใช้เครื่องมือทางกฎหมายและอำนาจของท้องถิ่นเพื่อพัฒนาชุมชนอย่างตรงเป้า
จุลกฐิน ไม่ใช่แค่การสืบสาน แต่คือการต่อยอดอนาคต
ในเวทีเปิดงาน นายอุดม ปกป้องบวรกุล กล่าวถึงความหมายของโครงการครั้งนี้ว่า “ขอเชิญทุกท่านอิ่มบุญไปกับมหากุศลจุลกฐิน และอิ่มใจไปกับไมตรีจิตและวิถีวัฒนธรรมอันงดงามของชาวเชียงของ” พร้อมกล่าวขอบคุณหัวหน้าส่วนราชการ นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และพี่น้องประชาชนที่ร่วมมือกันสนับสนุนการจัดงาน โดยย้ำว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้คือพลังของพี่น้องท้องถิ่นรวมใจ ที่ไม่เพียงอนุรักษ์วัฒนธรรม แต่กำลังสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้มั่นคง”
สาระสำคัญนี้สะท้อนเป้าหมายที่ชัดเจนของงาน “ทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ” นั่นคือ
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางบริบทใหม่ของเศรษฐกิจไทย ที่กำลังมุ่งพึ่งพาการท่องเที่ยวเชิงคุณค่า ไม่ใช่เพียงเชิงปริมาณ และกำลังส่งเสริมบทบาทของเศรษฐกิจสร้างสรรค์บนฐานทุนทางวัฒนธรรม เพื่อพยุงรายได้ของประชาชนในยุคที่สภาพเศรษฐกิจฐานรากเผชิญความผันผวน
บุญที่ไม่ใช่แค่ศรัทธา แต่คือการพัฒนาที่ยืนบนเท้าของคนในพื้นที่
สิ่งที่เกิดขึ้นที่บ้านหาดบ้าย ตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ ในค่ำคืนวันที่ 25 ตุลาคม 2568 จึงไม่ใช่แค่การฟื้นฟูประเพณีโบราณ แต่คือแบบจำลองของการพัฒนาเชิงวัฒนธรรมที่มีเจ้าของคือชุมชนเอง
ในภาพกว้าง นี่คือการเชื่อมต่อ “ศรัทธา–อัตลักษณ์–เศรษฐกิจ–การท่องเที่ยว” เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับเข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อนอย่างมีกลไกรองรับในเชิงนโยบาย ตั้งแต่ อบต.ริมโขง ที่ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิด จนถึง อบจ.เชียงราย ที่มองภาพรวมทั้งจังหวัดผ่านยุทธศาสตร์ “เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” และฝ่ายปกครองอำเภอเชียงของที่ยืนยันบทบาทความร่วมมือของหน่วยงานรัฐท้องถิ่นและประชาชน
ท่ามกลางโลกที่การพัฒนามักถูกวัดด้วยตัวเลขทางเศรษฐกิจอย่างผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด หรือจำนวนนักท่องเที่ยวต่อปี “งานทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ” เสนอเกณฑ์วัดอีกแบบหนึ่ง — นั่นคือ ความสามารถของชุมชนในการยืนยันคุณค่าของตนเอง และเปลี่ยนคุณค่านั้นให้เป็นพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่ไม่ทิ้งรากเหง้า
หรือพูดให้ชัดในภาษาของคนท้องถิ่น บุญครั้งนี้ ไม่ใช่แค่บุญของวัด แต่เป็นบุญของทั้งหมู่บ้าน
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.