
เชียงราย, 13 พฤศจิกายน 2568 — ในวันที่ “โกโก้โลก” กำลังเผชิญคลื่นสั่นสะเทือนจากภาวะอุปทานตึงตัว ราคาตลาดพุ่งแรง และความเสี่ยงจากสภาพอากาศสุดขั้ว เมืองเหนืออย่างเชียงรายกลับเลือก “อ่านเกม” ต่างจากเดิม—ไม่แข่งที่ปริมาณ แต่ยกระดับ “คุณภาพ” ผ่านโมเดลคลัสเตอร์ แปรรูป และเอกลักษณ์เชิงถิ่น (single origin) เพื่อก้าวจาก “มวยรอง” สู่ “ดาวรุ่งรายใหม่” ในตลาดพรีเมียมโลก
แม้ประเทศไทยยังถูกจัดวางไว้ในฐานะผู้เล่นขนาดเล็กในห่วงโซ่โกโก้โลก—ผลผลิตทั้งประเทศประมาณ 3,000–4,000 ตัน/ปี เทียบกับอุตสาหกรรมโลกกว่า 4,000,000 ตัน/ปี และส่งออกเมล็ดดิบยังต่ำกว่า 1,000 ตัน/ปี—แต่ความได้เปรียบใหม่กำลังก่อตัวอย่างมีนัยสำคัญ ราคาตลาดโลกในเดือนตุลาคม 2567 ขยับสู่ 6.6 ดอลลาร์สหรัฐ/กก. เพิ่มขึ้น 83.3% เมื่อเทียบปีต่อปี ขณะที่ “สินค้าโกโก้แปรรูป” ของไทยทำผลงานโดดเด่นในช่วง 9 เดือนแรกปี 2567 ด้วยมูลค่าส่งออก 74 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต 16.4% โดยตลาดหลักอย่าง ญี่ปุ่น โต 42.2% และ จีน โต 40.3% สะท้อนโอกาสที่ชัดเจนของ “รสชาติ มาตรฐาน เรื่องเล่าเชิงถิ่น” มากกว่าการแข่งขันแบบสินค้าโภคภัณฑ์
ภายใต้ภาพใหญ่ดังกล่าว เชียงราย—จาก “เมืองกาแฟที่คนทั้งโลกคุ้นชื่อ”—กำลังก้าวสู่ “เมืองโกโก้” ผ่านสามคานงัดสำคัญ (1) คลัสเตอร์ที่ทำงานครบห่วงโซ่ (2) โมเดลแปรรูป craft/single origin ที่ใส่ใจการหมัก ตาก คุณภาพถ้วย (cup quality) และ (3) การเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเชิงเกษตรคุณภาพสูง เพื่อดึงทั้งรายได้และการรับรู้ของผู้บริโภคเข้าหาสินค้า “โกโก้เชียงราย”
จาก “มวยรอง” สู่ “จุดตั้งต้นใหม่”—ตัวเลขที่เปลี่ยนภูมิทัศน์
บทความเชิงวิเคราะห์ของ กรุงเทพธุรกิจ ตั้งคำถามสำคัญว่า “ทำไมเมล็ดโกโก้ไทยยังเป็นแค่ ‘มวยรอง’ ในตลาดโลก?” ทั้งที่ในความจริง เกษตรกรไทยหลายรายพัฒนาคุณภาพจนคว้ารางวัลนานาชาติซ้ำแล้วซ้ำเล่า และบางรายพลิกจากต้นทุน 20–30 บาท/กก. เป็นสินค้าคราฟต์มูลค่า 500–600 บาท/กก. รวมถึงส่งออกได้จริง
คำตอบส่วนหนึ่งอยู่ที่ “โครงสร้างอุตสาหกรรมยังอยู่ในวัยตั้งไข่” — ความรู้หลังเก็บเกี่ยว (post-harvest) และมาตรฐานหมัก ตากยังไม่เท่ากันในแต่ละพื้นที่ พันธุ์ สิ่งแวดล้อม กระบวนการผลิตยังทำให้ “คุณภาพเหวี่ยง” เมื่อคุณภาพไม่นิ่ง ผู้ซื้อรายใหญ่ย่อมลังเล ขณะเดียวกัน “ภาพจำของผู้บริโภค” ในประเทศยังมองโกโก้เป็น “ของหวานรสนม น้ำตาล” มากกว่าจะดื่มโกโก้แท้แบบ specialty ส่งผลให้ร้านโกโก้สเปเชียลตี้ในเมืองใหญ่มีเพียง “หยิบมือ”—เฉลี่ยจังหวัดละไม่เกิน 10 แห่ง ตรงกันข้ามกับร้านกาแฟแบบ slow bar/roaster ที่ผุดขึ้นมากมาย
แต่เมื่อ “ราคาตลาดโลก” พุ่ง 83.3% ในรอบปีล่าสุด—เกมก็เริ่มเปลี่ยน ผู้ผลิตที่เน้นคุณภาพมีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ขณะที่ฝั่งผู้ซื้อเริ่มเสาะหาแหล่งวัตถุดิบใหม่ที่เล่าเรื่อง “terroir” ได้จริง นี่คือช่วงเวลา “หน้าต่างโอกาส” ของเชียงราย
เชียงรายวางหมาก—ปั้นคลัสเตอร์ครบห่วงโซ่และยึด “คุณภาพเป็นเข็มทิศ”
คลัสเตอร์โกโก้ภาคเหนือ (CocoaThai/Cocoa Doi) ในอำเภอแม่จัน—ขับเคลื่อนโดยเครือข่ายฝึกอบรมและการจัดการแปรรูปแบบอินทรีย์—ทำหน้าที่หนุน “กลางน้ำ” ให้เกษตรกรเข้าใจการหมัก การตาก การคัดคุณภาพอย่างเป็นระบบ เพื่อยกระดับจาก “ขายสด ราคาต่ำ” ไปสู่ “ขายเมล็ดหมักมาตรฐาน–มูลค่าสูง” และเชื่อมต่อกับผู้แปรรูป craft/single origin ทั้งในและต่างประเทศ
ขณะที่โครงการ Cocoa Land Chiang Rai บนพื้นที่กว่า 200 ไร่ ที่ห้วยสัก (อำเภอเมือง) ใช้โมเดล “เกษตร–ท่องเที่ยว” สมัยใหม่มีแปลงสาธิต 60 ไร่, พิพิธภัณฑ์โกโก้, ร้านอาหารอินทรีย์ และพูลวิลล่า—ทำให้ผู้บริโภค “สัมผัสประสบการณ์” ก่อนตัดสินใจซื้อ และช่วยสร้าง แบรนด์พื้นที่ (place branding) ให้ “โกโก้เชียงราย” เป็นมากกว่าวัตถุดิบ—แต่คือ “จุดหมายปลายทาง”
ปลายทางของห่วงโซ่ยังมีผู้เล่นแปรรูปคุณภาพอย่าง Boo Chocolate House ในแม่จัน ที่ย้ำหัวใจ “single origin” ให้ชัด—รสชาติ กลิ่น เนื้อสัมผัสที่สะท้อนดิน ฝน ความสูง วิธีหมักเฉพาะถิ่น สิ่งเหล่านี้คือ “ทุนความต่าง” ที่ประเทศผู้ผลิตปริมาณมากทำได้ยาก
ตลาดต่างประเทศตอบรับ—ญี่ปุ่นและจีนโตแรง แคนาดาพุ่งระดับสามร้อยเปอร์เซ็นต์
ข้อมูล 9 เดือนแรกปี 2567 สะท้อนศักยภาพฝั่งดีมานด์อย่างแจ่มชัด—มูลค่าการส่งออกโกโก้และผลิตภัณฑ์ปรุงแต่งของไทยรวม 74 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (+16.4% y/y) โดย ญี่ปุ่น โต 42.2% และ จีน โต 40.3% ยังมีตลาดดาวรุ่งอย่าง แคนาดา โตถึง +392%, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ +90.7%, และ สหรัฐฯ +46.3% ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้เพียง “สวยงาม” ทางสถิติ แต่บอกเราว่า ตลาดพรีเมียมกำลัง มองหา โกโก้ที่เล่าเรื่องคุณภาพได้จริง—ซึ่งสอดรับกับทิศทางที่เชียงรายกำลังเดิน
นอกจากนี้ โครงสร้างการค้าของไทยยัง “ปกป้องมูลค่า” โดยธรรมชาติ เพราะ 99% ของการส่งออกเป็น “ผลิตภัณฑ์แปรรูปและช็อกโกแลต” ไม่ใช่เมล็ดดิบ (ซึ่งไทยอยู่อันดับ 68 ของโลก มูลค่าเพียง 0.12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2566) โมเดลนี้ช่วยให้ไทย “หนี” การแข่งขันราคาแบบสินค้าดิบ และ “เข้าใกล้” ผู้บริโภคปลายทางมากขึ้น
จุดเปราะบางที่ต้องแก้—คุณภาพต้องนิ่ง คลัสเตอร์ต้องแน่น ผู้บริโภคต้องเข้าใจ
แม้โครงเรื่องเชิงบวกจะชัดเจน แต่อุปสรรคสำคัญยังมีอย่างน้อยสี่ประการ
นโยบายรัฐคือคานงัด—เพิ่ม “โกโก้” เข้าคณะอนุกรรมการพืชสวน และขับเคลื่อนปลายน้ำโดยกระทรวงอุตสาหกรรม
ปี 2567 ถือเป็น “จุดเปลี่ยนเชิงสถาบัน” เมื่อคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ เห็นชอบให้เพิ่ม “โกโก้” อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ คณะอนุกรรมการพืชสวน (แต่เดิมดูแลเพียง 5 รายการเมล็ดกาแฟ, กาแฟสำเร็จรูป, ชา, พริกไทย, ลำไย) การยกระดับนี้หมายถึง “กรอบสนับสนุนระยะยาว” และ “มาตรฐานกลาง” ที่จะทำให้โครงสร้างอุตสาหกรรมเติบโตอย่างเป็นระบบ
ขณะเดียวกัน กระทรวงอุตสาหกรรม ได้รับโจทย์ชัดเจนให้เร่งคุณภาพ “กลางน้ำ ปลายน้ำ” ตั้งแต่การยกระดับโรงงานหมัก ตาก การพัฒนา “รสชาติ” เป็นเป้าหมาย (เพราะรสคือหัวใจของตลาดพรีเมียม) ไปจนถึงการนำเทคโนโลยี Smart Farming และโมเดล โรงงานขนาดเล็ก รองรับพื้นที่ปลูกที่เพิ่มขึ้น—ทั้งหมดนี้คือ “ชิ้นส่วน” ของจิ๊กซอว์เดียวกันที่จะช่วยให้ “คลัสเตอร์เชียงราย” ไปไกลกว่าเดิม
เศรษฐศาสตร์เกษตรที่ “ใช่”—แรงจูงใจชัด รายได้รายเดือน และพันธุ์ที่สอดคล้องตลาด
บทเรียนจากพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะ จังหวัดน่าน ชี้ให้เห็นว่าโกโก้ “สร้างรายได้สม่ำเสมอ” ได้—สวนโกโก้อายุ 3–4 ปี มีรายได้ขั้นต่ำ 3,000 บาท/ไร่/เดือน เทียบกับพืชผลตอบแทนต่ำอย่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ขายเพียง 7 บาท/กก. ข้อมูลเช่นนี้ ทำให้การ “เปลี่ยนพืช” เกิดขึ้นได้จริงเมื่อ “ความรู้ ตลาด เครื่องมือแปรรูป” พร้อม
ด้านพันธุ์ “ลูกผสมชุมพร 1” ถูกระบุว่าตอบโจทย์ตลาด—ให้ผลผลิตเฉลี่ย 127 กก./ไร่ และมีปริมาณไขมันสูงราว 57% ซึ่งสำคัญทั้งสำหรับอุตสาหกรรมช็อกโกแลตและการสกัดโคโค่บัตเตอร์ เมื่อ “พันธุ์” สอดคล้องกับ “การหมัก–ตาก” ที่เป็นมาตรฐาน โอกาสย่อมขยายตัวทั้งในประเทศและส่งออก
แผนแม่บท 2568–2570 สำหรับเชียงราย—ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ
เพื่อเร่งเครื่องให้เชียงราย “ขึ้นชั้น” เป็นเขตเศรษฐกิจโกโก้พรีเมียมของไทยและอาเซียนตอนบน ข้อเสนอเชิงปฏิบัติที่สอดรับตัวเลขและนโยบายมีดังนี้
1) ลงทุนศูนย์หลังเก็บเกี่ยวมาตรฐาน (Fermentation & Drying Hubs)
2) ระบบรับรองคุณภาพ แบรนด์ถิ่น (GI/Organic/Fair Trade)
3) ตลาดกลางโกโก้ภาคเหนือแบบโปร่งใส
4) Agri-Tourism & Cocoa Experience
5) พันธมิตรการค้าต่างประเทศเชิงกลยุทธ์
ตัวเลข “มีชีวิต”—จากเมล็ดสู่เมือง
จุดแข็งที่หลายประเทศไม่มีคือ “เล่าเรื่องได้ครบ” จากสวนบนดินสูง—แปลงสาธิต—ศูนย์หมัก—โรงงานคราฟต์—คาเฟ่สเปเชียลตี้—พิพิธภัณฑ์—เส้นทางท่องเที่ยว ทั้งหมดนี้ “มัดรวม” เป็นหนึ่งเดียวในเชียงรายได้จริง หากคลัสเตอร์ยึด “คุณภาพเป็นเข็มทิศ” และรัฐช่วย “เร่งเครื่อง เปิดทาง” ในจุดที่เป็นคอขวด (มาตรฐาน ทุนเครื่องมือ ตลาดกลาง) เมืองทั้งเมืองจะได้ประโยชน์จาก “ตัวคูณทางเศรษฐกิจ” ตั้งแต่เกษตรกร ผู้แปรรูป ผู้ประกอบการท่องเที่ยว บริการ โลจิสติกส์
ในโลกที่ราคาโกโก้แกว่งแรง ผู้ชนะไม่ใช่ผู้ผลิตที่ปลูกมากสุดเสมอไป—แต่คือผู้ที่ “ทำให้คุณภาพนิ่ง เล่าเรื่องชัด และส่งมอบประสบการณ์ที่ผู้บริโภคอยากกลับมาซ้ำ” เชียงรายมีชิ้นส่วนทั้งหมดนี้อยู่แล้ว—เหลือเพียง “ประกอบร่าง” ให้แน่นหนา
บทสรุปเชิงนโยบายและภาคปฏิบัติ
ข้อควรระวังเชิงยุทธศาสตร์เมื่อราคาตลาดโลกสูง—แรงจูงใจด้าน “ปริมาณ” จะถาโถมเข้ามา แต่เส้นทางที่ยั่งยืนสำหรับเชียงรายคือ “คุณภาพ เรื่องเล่า มาตรฐาน” เพราะนี่คือสิ่งที่ทำให้เราแตกต่าง และป้องกันไม่ให้โกโก้ไทยเดินซ้ำรอย “ทุเรียนสดยุคบูม” ที่สูญเสียความได้เปรียบเชิงแปรรูปให้ประเทศเพื่อนบ้าน
ตัวเลขชวนคิด (จากข้อมูลที่ผู้ขอข่าวจัดมาให้)
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.