เชียงรายรุกฉีดวัคซีนโปลิโอพื้นที่ชายแดน หลังเมียนมาพบเชื้อกลายพันธุ์ปิดประตูความเสี่ยงก่อนฤดูการเดินทางไฮซีซัน

เชียงราย,13 สิงหาคม 2568 – ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงรายคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดประชุมด่วน โดยมี นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน เพื่อติดตามสถานการณ์โรคโปลิโอที่ฝั่งเมียนมาและกำหนดมาตรการเชิงรุกฝั่งไทย สาระสำคัญคือ “ยืนยัน” แผนรณรงค์ ให้ OPV เสริม 2 รอบ ในพื้นที่ชายแดนพื้นที่ครอบคลุมวัคซีนต่ำและจุดที่มีการเคลื่อนย้ายประชากรสูง โดย

  • รอบที่ 1: 20 สิงหาคม 2568
  • รอบที่ 2: 24 กันยายน 2568

กลุ่มเป้าหมายคือ เด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ปี และ เด็กต่างชาติอายุต่ำกว่า 15 ปี ที่อาศัยในแนวชายแดน ครอบคลุม เชียงราย–เชียงใหม่–แม่ฮ่องสอน เพื่อหยุดยั้งโอกาสแพร่เชื้อ หากมีการนำเข้ามาจริงในช่วงฤดูท่องเที่ยวที่กำลังใกล้เข้ามา

หมายเหตุ: รายละเอียดข้างต้นอ้างอิงจากการแถลงของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงราย (13 ส.ค. 2568) และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย

cVDPV1 คืออะไร ทำไม “ต้องรีบ” แม้ไทยปลอดโปลิโอมานาน

หลายคนสงสัยถ้าไทยปลอดโปลิโอแล้ว ทำไมยังต้องฉีดซ้ำ? คำตอบอยู่ที่พลวัตของไวรัสและภูมิคุ้มกันชุมชน

  1. โปลิโอและความรุนแรง: โปลิโอส่วนใหญ่ติดเชื้อแล้วไม่แสดงอาการ แต่ ประมาณ 1 ใน 200 รายอาจเกิดอัมพาตถาวร และในบางกรณีถึงชีวิต องค์การอนามัยโลกย้ำว่า “ภูมิคุ้มกันครอบคลุมสูงทั่วชุมชน” คือปราการสำคัญที่สุดในการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสชนิดนี้ ซึ่งติดต่อผ่าน ทางอุจจาระ–ปาก จึงแพร่เร็วในพื้นที่แออัด สุขาภิบาลจำกัด หรือมีการเคลื่อนย้ายเข้าออกจำนวนมาก
  2. cVDPV คืออะไร: cVDPV ย่อมาจาก “circulating vaccine-derived poliovirus” คือไวรัสโปลิโอที่กลายพันธุ์ย้อนกลับไปสู่สภาพก่อโรคและสามารถแพร่ระบาดได้ในชุมชนที่ ภูมิคุ้มกันต่ำ ไม่ได้หมายความว่าวัคซีน “อันตราย” แต่สะท้อนปัญหา “ช่องว่างความครอบคลุมวัคซีน” หากปล่อยให้มีเด็กตกหล่นจำนวนมาก เชื้อจะมีพื้นที่หมุนเวียนและวิวัฒน์จนก่อปัญหาได้ WHO และ GPEI อธิบายกลไกนี้ไว้อย่างเป็นระบบและใช้เป็นฐานคิดหลักของยุทธศาสตร์กำจัดโปลิโอทั่วโลก
  3. ภาพรวมโลกและกรอบฉุกเฉิน: นับถึงกลางปี 2025 คณะกรรมการฉุกเฉินภายใต้กฎอนามัยระหว่างประเทศ (IHR) ของ WHO รายงานว่า ยังมีผู้ป่วยและการตรวจพบเชื้อทั้ง WPV1 และ cVDPV ในหลายประเทศ จึงประกาศต่ออายุสถานะ PHEIC ต่อไป และย้ำว่าความเสี่ยงของ cVDPV ขับเคลื่อนด้วย “เด็กตกหล่น–เข้าถึงยาก–ย้ายถิ่น–พื้นที่ไม่มั่นคง” เป็นสำคัญ แม้ในปี 2025 จะไม่พบ cVDPV1 รายใหม่ ณ วันที่รายงาน แต่ปี 2024 โลกยังพบ cVDPV1 รวม 11 ราย
  4. บริบทภูมิภาคและประเทศเพื่อนบ้าน: ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (รวมไทย) รับรองปลอดโปลิโอปี 2557 แต่ เมียนมาเคยมีการระบาด cVDPV1 ในอดีตและยังเป็นพื้นที่เปราะบางด้านสาธารณสุข การที่เชียงรายอยู่แนวชายแดนจึงต้องไม่ประมาทกับความเสี่ยงเชิงภูมิศาสตร์และการเดินทางของผู้คนซึ่งยากต่อการควบคุม

ทำไม “ต้องเป็น OPV” และทำไม “ต้อง 2 รอบ”

  • เหตุผลด้านภูมิคุ้มกัน: กรณีรับมือการระบาดในพื้นที่เสี่ยง WHO/GPEI แนะนำให้ใช้ OPV เพราะสร้าง ภูมิคุ้มกันที่ลำไส้ ได้ดี ช่วยหยุดการขับไวรัสทางอุจจาระ–ลดการแพร่ในชุมชน ซึ่งเป็น “หัวใจ” ของการตัดวงจรระบาด ต่างจาก IPV ที่เด่นด้านภูมิคุ้มกันเลือด ป้องกันอาการรุนแรง แต่หยุดการแพร่ในลำไส้สู้ OPV ในสถานการณ์ระบาดไม่ได้
  • เหตุผลด้านจำนวนรอบ: เอกสาร SOP ของ WHO/GPEI สำหรับการตอบสนองการระบาดเน้น การฉีดอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องอย่างน้อย 2 รอบ ห่างกันราว 4 สัปดาห์ เพื่อยกระดับภูมิในชุมชนให้สูงพออย่างรวดเร็ว สอดคล้องกับไทม์ไลน์รอบ 20 ส.ค. และ 24 ก.ย. ของเชียงรายในครั้งนี้

ไทยกับตารางวัคซีนตามปกติเสริม “ระบบประจำ” ด้วย “ปฏิบัติการเฉพาะกิจ”

ประเทศไทยมีแผนวัคซีนพื้นฐานที่ปรับตามหลักฐานใหม่ต่อเนื่อง โดยเพิ่ม IPV 2 เข็ม เป็นมาตรฐาน เพื่อเสริมความปลอดภัยด้านอาการรุนแรง และยัง คงบทบาท OPV ในปฏิบัติการเฉพาะกิจ เสริม/SIA เมื่อมีความเสี่ยงเฉพาะพื้นที่–ช่วงเวลา แนวทางนี้ตรงกับคำอธิบายเชิงนโยบายของ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ และการสื่อสารจาก กรมควบคุมโรค ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ปลอดโปลิโอถาวรของไทย

ภาพรวมโรคติดต่ออื่นในเชียงรายเสียงเตือนจากข้อมูลจริง

นอกจากโปลิโอ ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดยังสรุปสถานการณ์โรคเด่นในพื้นที่ (อัปเดต 10 ส.ค. 2568) ระบุว่า

  • ไข้เลือดออก ผู้ป่วยสะสม 953 ราย (สูงใน อ.ป่าแดด เวียงชัย เวียงป่าเป้า เมือง แม่สาย)
  • โควิด-19 สะสม 4,701 ราย (สูงใน อ.ป่าแดด แม่ลาว เมือง พาน เวียงชัย)
  • ไข้หวัดใหญ่ สะสม 9,241 ราย (สูงใน อ.แม่แดด* แม่จัน แม่ลาว เวียงชัย เมือง)
  • อาหารเป็นพิษ สะสม 2,291 ราย (สูงใน อ.แม่สรวย เทิง เชียงแสน พญาเม็งราย เมือง)
  • โรคฉี่หนู สะสม 151 ราย (สูงใน อ.แม่ฟ้าหลวง แม่สรวย เวียงเชียงรุ้ง ดอยหลวง ป่าแดด)
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สะสม 1,979 ราย แนวโน้มเพิ่ม (สูงใน อ.เมือง เวียงชัย แม่สรวย เวียงเชียงรุ้ง ป่าแดด)

*หมายเหตุ: ชื่ออำเภอ “แม่แดด” ไม่มีในเชียงรายในทางปกครอง อาจหมายถึงหน่วยบริการหรือพื้นที่สำรวจเฉพาะกิจตามนิยามทางระบาดวิทยา

ภาพรวมนี้สะท้อนว่าระบบสาธารณสุขเชียงราย ทำงานหลายสมรภูมิพร้อมกัน การรณรงค์ OPV เสริมจึงต้อง “เกาะไปกับระบบเดิม”ตั้งจุดบริการที่ รพ.สต., โรงเรียน, จุดผ่านแดน, คลินิกชุมชน และทำงานกับ อสม.–ผู้นำชุมชน–ด่านควบคุมโรค ให้เข้าถึงครัวเรือนที่เด็กตกหล่นมากที่สุด

บทเรียนจากชายแดนลอจิสติกส์การสื่อสารความไว้วางใจ

จุดเสี่ยงจริง ไม่ได้อยู่แค่ “แนวเส้นเขตแดน” แต่อยู่ใน ชุมชนเคลื่อนย้าย เช่น แคมป์คนงาน การค้า–ท่องเที่ยวชายแดน ตลาดนัด และโรงเรียนที่มีเด็กข้ามแดน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) จึงต้องมี “ทะเบียนเด็กเสี่ยง” ที่อัปเดตตลอดเวลา และเชื่อมกับข้อมูลโรงเรียน–ด่านควบคุมโรค–หน่วยงานปกครองท้องถิ่น

ด้านการสื่อสาร สิ่งสำคัญคือ ภาษาที่ชุมชนเข้าใจได้จริง ไทย, ภาษาชนเผ่า, พม่าพร้อมตอบข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนอย่างตรงไปตรงมา โดยใช้ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ของ WHO/GPEI ซึ่งย้ำชัดว่าความเสี่ยง cVDPV เกิดจาก เด็กไม่ได้รับวัคซีนจำนวนมาก” ไม่ใช่จาก “วัคซีนที่มีปัญหา” การเพิ่มความครอบคลุมวัคซีนคือคำตอบเดียวที่ปิดความเสี่ยงนี้ได้อย่างยั่งยืน

มองให้ไกลกว่าการฉีด ผลลัพธ์ต่อครัวเรือนชุมชนเศรษฐกิจ

  1. ครัวเรือน: ลดความเสี่ยง “อัมพาตถาวร” ที่เปลี่ยนชีวิตเด็กและครอบครัวทั้งชีวิต ต้นทุนการดูแลระยะยาวลดลงอย่างประเมินค่าไม่ได้
  2. ชุมชน: ภูมิคุ้มกันหมู่สูงขึ้น ลดความกังวลข่าวลือความตื่นตระหนก เมื่อมีการพบเหตุเตือนบริเวณชายแดน
  3. เศรษฐกิจพื้นที่ท่องเที่ยว: เชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางฤดูหนาว หากมีข่าวเหตุระบาดฉับพลันจะกระทบความเชื่อมั่นทันที การรณรงค์เชิงรุกส่งสัญญาณว่าระบบสาธารณสุข ทันเกมพร้อมรับมือ” สอดคล้องกับกรอบ PHEIC ของ WHO ที่เน้นการป้องกันการแพร่ข้ามพรมแดนเป็นหัวใจ

สิ่งที่ประชาชนควรทำตอนนี้

  • พ่อแม่ผู้ปกครอง:
    • ตรวจ สมุดวัคซีน ของบุตรหลาน ถ้าอยู่ในเกณฑ์เป้าหมาย ให้พามารับ OPV เสริมทั้ง 2 รอบ ตามวันนัด
    • หากลูกได้ IPV ครบ ตามตารางปกติแล้ว ยังควรรับ OPV เสริม ในพื้นที่เสี่ยงตามประกาศ เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันที่ลำไส้  
  • ครู–โรงเรียน–ศูนย์เด็กเล็ก: จัดทำรายชื่อเด็กตกหล่น ประสาน รพ.สต./อสม. นำทีมฉีดเชิงรุกในสถานศึกษา
  • ผู้ประกอบการ–แรงงานเคลื่อนย้าย: สนับสนุนวัน–เวลา ให้ครอบครัวพาเด็กไปรับวัคซีน และสื่อสารข้อมูลหลายภาษาในสถานประกอบการ
  • ชุมชน: เฝ้าระวังสุขอนามัยพื้นฐานห้องน้ำสะอาด ล้างมือ ส่วนน้ำดื่มอาหารต้องผ่านการปรุงสุก

คำถามชวนคิด “สองรอบพอไหมยั่งยืนจริงหรือ”

ในเชิงเทคนิค การทำ SIA 2 รอบ เป็น “ขั้นต่ำจำเป็น” ให้ภูมิชุมชนดีขึ้นอย่างรวดเร็ว หากบริเวณชายแดนยังมีการเคลื่อนย้ายสูงและพบสัญญาณความเสี่ยงเพิ่มเติม หน่วยงานสาธารณสุขสามารถ ขยายรอบขยายพื้นที่ ได้ตามหลักฐานจริง ณ เวลาเกิดเหตุ (evidence-based) ตามคู่มือรับมือการระบาดของ WHO/GPEI ซึ่งเน้น ความเร็วความครอบคลุมการติดตามคุณภาพหลังจบแต่ละรอบ เป็นตัวชี้วัดสำคัญ

นอกเหนือจากนั้น “ความยั่งยืน” ต้องพึ่ง ระบบวัคซีนประจำ ที่ เก็บตกเด็กทุกคน โดยเฉพาะเด็กไร้เอกสาร–ย้ายถิ่น–อยู่ไกลบริการ รวมถึง ระบบสื่อสารความเสี่ยง ที่ลดความลังเลวัคซีน (vaccine hesitancy) ด้วยข้อมูลโปร่งใส เข้าใจง่าย และ การร่วมมือข้ามหน่วยงาน ด่านควบคุมโรค–พื้นที่การศึกษา–ท้องถิ่น–ภาคเอกชน จึงจะป้องกันปัญหา cVDPV ได้อย่างถาวร

ไทม์ไลน์–พื้นที่–กลุ่มเป้าหมาย

  • พื้นที่: แนวชายแดนและพื้นที่คุ้มครองต่ำใน เชียงราย–เชียงใหม่–แม่ฮ่องสอน
  • กลุ่มเป้าหมาย:
    • เด็กไทย อายุ < 5 ปี
    • เด็กต่างชาติ อายุ < 15 ปี ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว
  • วัคซีน: OPV เสริม (ชนิดกิน) ตามมาตรฐานการตอบสนองการระบาด
  • กำหนดการ:
    • รอบ 1 – 20 ส.ค. 2568
    • รอบ 2 – 24 ก.ย. 2568
  • หน่วยปฏิบัติ: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด–อำเภอ, รพ.สต., โรงพยาบาลเครือข่าย, อสม., ด่านควบคุมโรค

ปิดประตูความเสี่ยงด้วย “ความพร้อม–ความครอบคลุม–ความร่วมมือ”

เชียงรายกำลังทำในสิ่งที่ระบบสาธารณสุขสมัยใหม่เรียกว่า การป้องกันก่อนเกิดเหตุ”ฉีด OPV เสริมแบบเจาะจงพื้นที่–ช่วงเวลา ตามกรอบ WHO/GPEI เพื่อยกระดับภูมิคุ้มกันชุมชนชายแดนให้ “สูงพอและเร็วพอ” ทันก่อนฤดูกาลท่องเที่ยวและการเคลื่อนย้ายใหญ่ปลายปี

ในมุมของประชาชนทั่วไป สิ่งนี้คือ ประกันความเสี่ยงระดับจังหวัด ที่ต้นทุนต่ำกว่าแต่คุ้มค่ากว่าการรับเคราะห์จากเหตุระบาดฉับพลันในภายหลัง และในระยะยาว หากเราร่วมกัน รักษาความครอบคลุมวัคซีนพื้นฐานให้สูงลดเด็กตกหล่น เชียงรายก็จะไม่เพียงรักษาสถานะความปลอดภัยของตนเอง แต่ยังทำหน้าที่เป็น “แนวกันชน” สำคัญของประเทศ ในการป้องกันการนำเชื้อเข้าจากต่างแดนตามเจตนารมณ์ PHEIC ของ WHO ได้อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • องค์การอนามัยโลก (WHO), Poliomyelitis – Fact sheet (อธิบายโรค เส้นทางการแพร่เชื้อ ความเสี่ยงอัมพาต และหลักการควบคุม) World Health Organization
  • WHO & Global Polio Eradication Initiative (GPEI), Outbreak Response SOP / แนวทางการรับมือการระบาด (เหตุผลการใช้ OPV ในการ SIA หลายรอบเพื่อหยุดการแพร่ในลำไส้) CDC
  • WHO – IHR Emergency Committee, Statement of the Forty-second meeting on the international spread of poliovirus (สถานะ PHEIC และภาพรวมตัวเลข WPV1/cVDPV ในปี 2024–2025) World Health Organization
  • WHO South-East Asia Region, เอกสารสื่อสาร Polio-free certification of the Region (2014) (กรอบภูมิภาคปลอดโปลิโอและบริบทประวัติศาสตร์) World Health Organization
  • Disease Outbreak News – WHO, Circulating vaccine-derived poliovirus type 1 – Myanmar (2019) (หลักฐานเชิงประวัติว่าพื้นที่เมียนมาเคยพบ cVDPV1 สะท้อนความเปราะบางทางภูมิคุ้มกัน)
  • สถาบันวัคซีนแห่งชาติ (NVI), นโยบายเพิ่มเข็มวัคซีนโปลิโอชนิดฉีด (IPV) และบทบาทของวัคซีนในระบบไทย (อ้างเพื่ออธิบายความสัมพันธ์ IPV/OPV ในเชิงนโยบาย)
  • ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ/สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย (บทความวิชาการเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันจาก OPV เทียบ IPV ในบริบทการหยุดยั้งการแพร่เชื้อทางลำไส้) GPEI
  • CIDRAP–มหาวิทยาลัยมินนิโซตา, Polio this week: global update based on GPEI (ภาพรวมแนวโน้มทั่วโลกและกรอบการเฝ้าระวังล่าสุด) World Health Organization
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News