อบจ.เชียงราย “Kick off Telemedicine” ตามนโยบาย ‘อยู่ไหนก็ใกล้หมอ–โฮงยาใกล้บ้าน Plus’ เปิดนำร่อง 5 อำเภอ เชื่อมหมอ–ผู้ป่วยระยะไกล ลดภาระเดินทาง ยกระดับความเท่าเทียมด้านสุขภาพ

เชียงราย, 15 สิงหาคม 2568 — แผนที่จังหวัดเชียงรายดูแคบลงทันทีที่ปุ่ม “เชื่อมต่อ” บนจอแท็บเล็ตถูกแตะ ภาพแพทย์จากโรงพยาบาลแม่ข่ายปรากฏขึ้น พร้อมเสียงทักทายผู้ป่วยที่กำลังนั่งอยู่ใน “โฮงยาใกล้บ้าน” ณ รพ.สต.ปลายทาง การแพทย์ทางไกลหรือ Telemedicine ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดอีกต่อไป เมื่อ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เดินหน้าเปิดโครงการ “Kick off Telemedicine ตามนโยบายอยู่ไหนก็ใกล้หมอ โฮงยาใกล้บ้าน Plus” อย่างเป็นทางการ ย้ำเป้าหมาย “เป็นธรรม–เข้าถึง–ต่อเนื่อง” ผ่านการบูรณาการภาคท้องถิ่นกับสาธารณสุขจังหวัด และเครือข่ายโรงพยาบาลแม่ข่ายในพื้นที่ห่างไกลของจังหวัดชายแดนเหนือสุดแดนสยาม

ทำไม “เชียงราย” จึงเหมาะเป็นสนามจริงของ Telemedicine

เชียงรายมีภูมิประเทศกว้างและหลากหลาย ระยะทางจากบ้านถึงโรงพยาบาลใหญ่สำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรังหรือผู้ป่วยติดบ้าน คือ “ต้นทุนที่มองไม่เห็น” ทั้งค่าเดินทาง เวลา และรายได้ที่หายไป ขณะเดียวกัน โครงสร้างดิจิทัลของสาธารณสุขจังหวัดเริ่มพร้อมมากขึ้น ทั้ง แพลตฟอร์มติดตามผู้ป่วย NCDs, ระบบอ้างอิงข้ามหน่วย (MOPH Refer) และ Health Station ที่กระจายถึงระดับชุมชน นี่คือเหตุผลเชิงระบบที่ทำให้ Telemedicine ในเชียงราย “มีโอกาสสำเร็จสูง” หากยึดมั่นในมาตรฐานความปลอดภัยข้อมูล คลินิกอลโควอร์แนนซ์ และการชดเชยค่าบริการตามเกณฑ์ สปสช. สำหรับบริการผู้ป่วยนอกทางไกล (OP telemed)

พิธีเปิดและภาพรวมโครงการ “อยู่ไหนก็ใกล้หมอ” เริ่มเดินจริง

พิธีเปิดจัดขึ้นที่ ที่ทำการ อบจ.เชียงราย โดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธาน พร้อมผู้บริหารจาก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.เชียงราย) และโรงพยาบาลเครือข่ายเข้าร่วม ระดับปฏิบัติการทดลองเชื่อมต่อในพื้นที่นำร่อง ครอบคลุม 5 อำเภอแรก ได้แก่ แม่จัน เมืองเชียงราย เทิง แม่ลาว และแม่สาย ซึ่งเป็นโซนที่มีทั้งเขตเมือง–กึ่งเมือง–ภูเขา เพื่อทดสอบการใช้งานในบริบทที่ต่างกัน ก่อนขยายผลสู่พื้นที่ที่เหลือทั้งจังหวัดตามแผนในไตรมาสถัดไป ข้อมูลเชิงนโยบายของ อบจ. ระบุชัดว่า “อยู่ไหนก็ใกล้หมอ (โฮงยาใกล้บ้าน Plus)” เป็น 1 ใน 7 เรือธงของแผนพัฒนาจังหวัดปี 2568–2569 ที่นายก อบจ.ประกาศไว้ตั้งแต่ต้นปี 2568 และมีการสื่อสารสาธารณะต่อเนื่องผ่านช่องทางทางการของ อบจ.

นอกจากฝั่งท้องถิ่น ฝ่ายสาธารณสุขก็เดินเครื่องควบคู่ สสจ.เชียงราย จัดประชุมคณะทำงาน Telehealth/Telemedicine หลายครั้งในเดือนกรกฎาคม–สิงหาคม 2568 เพื่อวางระบบ สนับสนุนบุคลากร และเคลียร์ประเด็นมาตรฐานข้อมูล–ความปลอดภัยไซเบอร์ โดยย้ำโจทย์ “ลดเหลื่อมล้ำ–เข้าถึงฉุกเฉิน–ต่อเนื่องการรักษา” ขณะอ้างอิงเกณฑ์และแนวทางของกรมการแพทย์สำหรับบริการแพทย์ทางไกลในคลินิกโรคเรื้อรังเป็นหลักฐานวิชาการรองรับการปฏิบัติ

จาก “แนวคิด” สู่ “ระบบ” ฐานข้อมูลจังหวัดที่พร้อมกว่าเดิม

สิ่งที่ทำให้เชียงราย “พร้อมกว่าที่คิด” คือข้อมูลผลการดำเนินงานด้าน Digital Health ที่สะท้อน การใช้งาน Telehealth–Telemed สะสมกว่า 9,800 ครั้ง ในปีงบประมาณ 2568 (ข้อมูล ณ ไตรมาสกลางปี) และมีการใช้ Health Rider เพื่อรับ–ส่งยา/ดูแลต่อเนื่องกว่า 14,800 ครั้ง ขณะเดียวกัน เอกสารติดตามงานของจังหวัดระบุว่า รพ.สต.ในสังกัด อบจ. มีแผนพัฒนาบริการ Telemedicine เชื่อม โรงพยาบาลแม่ข่าย โดยติดตั้ง Health Station แล้ว 77 ชุด ครอบคลุมทั้ง 18 อำเภอ ซึ่งเป็น “ฮาร์ดแวร์–ซอฟต์แวร์ชุมชน” สำคัญให้ Telemedicine เดินได้จริงในระดับหมู่บ้าน ไม่ใช่แค่โรงพยาบาล

นอกจากนี้ ย้อนดูการประกาศสาธารณะช่วงปลายปี 2567 ยังพบว่า อบจ.เชียงรายเคยเปิดบริการแพทย์ทางไกลเชื่อม รพ.สต. 75 แห่ง เพื่อให้ผู้ป่วยห่างไกลวินิจฉัยกับแพทย์โดยตรง โครงการปีที่แล้วจึงทำหน้าที่เป็น “รุ่นทดลอง” ที่ช่วยไล่ปัญหาหน้างาน ก่อนยกระดับเป็น “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” ในปีนี้ ซึ่งเป็นกลไก “ต่อยอดมากกว่าเริ่มใหม่” อย่างชัดเจน

ณ จุดหมายสำคัญ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง–ติดบ้านคือกลุ่มได้ประโยชน์ทันที

การคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายเริ่มจาก ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่ควบคุมไม่ได้ และ ผู้ป่วยติดบ้าน–ติดเตียง เพราะเป็นกลุ่มที่ “เดินทางยาก–เสี่ยงทรุด–ค่าใช้จ่ายสูง” ในเอกสารกำกับติดตามของเขตสุขภาพ ระบุว่าการให้บริการ Telemedicine สำหรับคลินิก NCDs และคลินิกเฉพาะทาง เช่น ผิวหนัง หรือ สุขภาพจิต ได้เริ่มปฏิบัติแล้วในบางเครือข่าย ขณะที่ โรงพยาบาลแม่สาย รายงานผลการให้บริการ Telemedicine ในคลินิก NCDs ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2567 และยกระดับงานตามเป้าหมายตรวจราชการปี 2568 สะท้อนความต่อเนื่องของระบบจากโรงพยาบาลสู่ชุมชน

ภาพปลายทางที่คาดหวังคือ ผู้ป่วย NCDs จะรับ การติดตามอาการ–ปรับยา–ให้คำปรึกษา ผ่านจุดบริการใกล้บ้าน ส่งผลให้โรงพยาบาลใหญ่ ลดความแออัด และทีมชุมชน–อสม.ทำงานได้ แม่นยำ ยิ่งขึ้น เพราะแพทย์เห็นผลตรวจพื้นฐานแบบเรียลไทม์ และสั่งการพยาบาล–นักวิชาชีพปลายทางได้ทันที (ตามแนวทาง DMS Telemedicine) นี่คือ “คลินิกเสมือน” ที่ต่อเข้ากับชีวิตจริงของครอบครัวชนบทบนภูเขาและชายแดน

จากห้องประชุมสู่ห้องนั่งเล่น” กรณีใช้งานและเวิร์กโฟลว์

  • ก่อนพบแพทย์: เจ้าหน้าที่ รพ.สต. ชั่งน้ำหนักวัดความดันเจาะปลายนิ้วตรวจน้ำตาล (ถ้ามีคำสั่ง) อัปเดตข้อมูลเข้าแพลตฟอร์ม
  • ขณะพบแพทย์ทางไกล: จอภาพขึ้นพร้อมกันสามฝ่ายคนไข้, ทีม รพ.สต., และแพทย์โรงพยาบาลแม่ข่ายเพื่อซักประวัติ ปรับยา ให้คำแนะนำ
  • หลังพบแพทย์: ระบบเชื่อมต่อ รับยา–ส่งยา ผ่าน Health Rider/ช่องทางที่กำหนด ลดรอบเดินทางซ้ำของครอบครัว
  • กรณีฉุกเฉิน: มีทางลัดเรียก รถพยาบาล–1669 และส่งต่อเข้าโรงพยาบาล เมื่ออาการไม่ปลอดภัยตามเกณฑ์

เวิร์กโฟลว์นี้ผูกกับ เกณฑ์เบิกจ่ายบริการทางไกลของ สปสช. (OP telemed) เพื่อให้หน่วยบริการชุมชนและโรงพยาบาลสามารถ เคลมค่าบริการได้ถูกต้อง ลดปัญหา “ทำได้แต่เบิกไม่ได้” ซึ่งเคยเป็นอุปสรรคในอดีต การขับเคลื่อนของเชียงรายจึง “ล้มช่องว่างเรื่องงบประมาณ” ไปพร้อมกับ “ล้มช่องว่างระยะทาง”

ช่วงทดลองภาคสนาม: ทำไมต้อง “แม่จัน–แม่สาย–เมือง–เทิง–แม่ลาว”

การเลือก 5 อำเภอ นอกจากจะครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่แล้ว ยังทดสอบ คุณภาพสัญญาณภูมิประเทศการเดินทาง ที่ต่างกัน เช่น พื้นที่ชายแดน–ภูเขาอย่างแม่สาย/แม่จัน กับพื้นที่ราบและเมืองอย่างอำเภอเมืองเชียงราย/แม่ลาว และโซนกึ่งภูเขาอย่างเทิง ทำให้ทีมเทคนิคสามารถ ไล่ปัญหาเชิงระบบ ได้ครบตั้งแต่สัปดาห์แรกของการใช้งานจริง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่พบได้จากการดำเนินการของ สสจ.เชียงราย ตลอดปีที่ผ่านมาในการขยายระบบดิจิทัลด้านสุขภาพไปพร้อม Telemedicine (เช่นการเชื่อมระบบติดตาม NCDs และการใช้ Health Platform อื่นของกระทรวง)

เสียงจากผู้บริหารเป้าหมายคือ “เข้าถึง–ยั่งยืน–ตรวจสอบได้”

บนเวทีเปิดตัว นายก อบจ.เชียงราย ย้ำแก่นโครงการว่า Telemedicine ภายใต้นโยบาย “อยู่ไหนก็ใกล้หมอ–โฮงยาใกล้บ้าน Plus” จะเน้น เข้าถึงบริการที่จำเป็น, ลดเหลื่อมล้ำพื้นที่, และ สร้างระบบติดตามผลที่ตรวจสอบได้ ผ่านแดชบอร์ดระดับจังหวัด พร้อมย้ำว่าการทำงานร่วมกับ สสจ.เชียงราย–โรงพยาบาลแม่ข่าย–รพ.สต. จะเดินหน้าอย่างเป็นระบบเพื่อขยายผลตลอดไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ ทั้งนี้ แนวทางความร่วมมือระหว่าง อบจ. และ สสจ.ถูกสื่อสารต่อเนื่องในเพจทางการของทั้งสองหน่วย และมีการประชุมคณะทำงานแบบกำกับติดตามเป็นระยะในเดือนกรกฎาคม–สิงหาคม 2568

ตัวเลขที่พูดแทน” หลักฐานว่าระบบกำลังเดิน

  • Telehealth–Telemed ทั้งจังหวัด: ดำเนินการแล้ว 9,898 ครั้ง (สะสมปีงบ 2568 ขณะรายงาน)
  • Health Rider ส่งยา–บริการต่อเนื่อง: 14,877 ครั้ง
  • Health Station: ติดตั้งแล้ว 77 ชุด ครอบคลุม 18 อำเภอ
  • สถานพยาบาลให้บริการ Telemedicine: โรงพยาบาลในสังกัดจังหวัด 17/18 แห่ง ผ่านเกณฑ์ของเขตสุขภาพ (94.44%)

ตัวเลขเหล่านี้ปรากฏในสไลด์ตรวจราชการของจังหวัดและเขตสุขภาพ ซึ่งสะท้อน ความพร้อมเชิงระบบ และการ นำไปใช้จริง ไม่ใช่แค่พิธีเปิดสวยงาม ตัวเลขดังกล่าวยังทำหน้าที่ “ฐานเปรียบเทียบ” ให้โครงการปี 2568–2569 วัดผลได้อย่างโปร่งใส

ความท้าทายและทางแก้ ไม่ใช่แค่วิดีโอคอล แต่คือ “งานระบบ”

  1. สัญญาณ–ไฟฟ้า–อุปกรณ์: บางหมู่บ้านยังเผชิญปัญหาสัญญาณอินเทอร์เน็ต อบจ.และ สสจ.ต้องจัด แผนสำรอง เช่น อุปกรณ์สื่อสารพกพา/เน็ตสำรอง–ไฟสำรอง เพื่อไม่ให้การรักษาสะดุดในช่วงเวลาสำคัญ (เอกสารตรวจราชการจังหวัดมีแผนด้าน Cyber Security และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลรองรับ)
  2. PDPA–ความปลอดภัยข้อมูลสุขภาพ: จำเป็นต้องแยกสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล กำหนดผู้ดูแลระบบ และทดสอบ ความทนทานทางไซเบอร์ อย่างสม่ำเสมอ ตามข้อกำหนดของกระทรวงและแนวทางกรมการแพทย์ เพื่อลดความเสี่ยงข้อมูลผู้ป่วยรั่วไหล
  3. เกณฑ์คลินิกอล–ความต่อเนื่อง: เวชปฏิบัติต้องยืนบน แนวทางคลินิก Telemedicine ชัดเจน เช่น เกณฑ์ NCDs, เงื่อนไขที่ต้องนัดพบแพทย์ตัวจริง, ระบบส่งต่อฉุกเฉิน และ การลงรหัส–เคลม OP telemed ให้ถูกต้องตาม สปสช. เพื่อกำกับคุณภาพและยั่งยืนทางการเงิน
  4. การสื่อสารกับชุมชน: ให้ประชาชนเข้าใจว่า Telemedicine ไม่ใช่การลดคุณภาพบริการ แต่คือการเพิ่มทางเลือก–ลดภาระ ต้องมี สื่อสารอธิบายเป็นภาษาชาวบ้าน ผ่าน อสม.–ท้องถิ่น และทำ “Mother Class เวอร์ชันสุขภาพผู้ใหญ่” สำหรับดูแลตนเอง–สังเกตอาการก่อนเข้า Telemedicine

ทางไปข้างหน้า: จาก 5 อำเภอ สู่ “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” ทั้งจังหวัด

เมื่อพิจารณาจากฐานระบบที่ทำไว้ตลอดปี 2567–2568 ตั้งแต่โครงการ Telemedicine ใน รพ.สต. 75 แห่ง ไปจนถึงการติดตั้ง Health Station 77 จุด และตัวเลขการใช้งานที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การขยายผลจากนำร่อง 5 อำเภอสู่ทั้งจังหวัด “มีความเป็นไปได้สูง” หากคงจังหวะการประชุมคณะทำงาน–ประเมินผล–แก้จุดอ่อนทุก 2–4 สัปดาห์ พร้อมทำงานเชื่อม รพ.สต. ในความรับผิดชอบของ อบจ. กับ โรงพยาบาลแม่ข่าย ให้แน่นแฟ้น ซึ่งในแผนของจังหวัดก็วางไว้ชัดเจนแล้วว่า รพ.สต. อบจ. จะเชื่อม Telemedicine ตรงกับแม่ข่ายในทุกอำเภอ ตามทรัพยากรที่มี

สาระสำคัญ: โครงการนี้ไม่ใช่แค่ “คอลกับหมอ” แต่คือ “ระบบบริการใหม่” ที่เอื้อให้คนเชียงราย เจอหมอถูกคน ในเวลาที่เหมาะสม โดยไม่ต้องแบกภาระระยะทาง และทำให้โรงพยาบาลแม่ข่ายจัดลำดับความสำคัญผู้ป่วยได้ดีขึ้น

โมเดลเชียงรายใช้ได้กับจังหวัดอื่นอย่างไร

  1. เริ่มจากงานเก่า–ต่อเป็นงานใหม่: ใช้ผลลัพธ์ปีที่แล้วเป็นฐาน ตั้ง KPI ชัดเจนจำนวนคอนซัลต์, ระยะรอคอย, สัดส่วนผู้ป่วยฉุกเฉินถูกส่งต่อทันเวลา
  2. วางสถาปัตยกรรมข้อมูลเดียวกันทั้งจังหวัด: เชื่อม MOPH Refer–Health Rider–Telemed และแดชบอร์ดเดียวกัน ลดข้อมูลซ้ำซ้อน
  3. ทำกรอบงบประมาณ–เคลม สปสช. ตั้งแต่วันแรก: ให้หน่วยบริการ “อยู่รอดขยายได้”
  4. ลงทุนในคน: แพทย์–พยาบาล–เจ้าหน้าที่ รพ.สต.–อสม. ต้องได้ คู่มือปฏิบัติ และ ซ้อมเวิร์กโฟลว์ รายเดือน
  5. ประเมินและสื่อสารสาธารณะ: เปิดเผย ตัวชี้วัดรายอำเภอ เพื่อสร้างแรงสนับสนุนจากประชาชนท้องถิ่น

เชียงรายกำลังพิสูจน์ว่า เมืองชายแดนภูเขาก็ เป็นเมืองสุขภาพดิจิทัล ได้ หากทุกฟันเฟืองหมุนพร้อมกันหน่วยท้องถิ่นใส่ทรัพยากรสาธารณสุขใส่ระบบโรงพยาบาลใส่มาตรฐานชุมชนใส่การมีส่วนร่วม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News