
เชียงราย, 16 สิงหาคม 2568—กระแสลมมรสุมและพายุหมุนเขตร้อนที่ปะทะซ้ำภาคเหนือตอนบนตลอดเดือนกรกฎาคมถึงกลางสิงหาคม ดันน้ำฝนลงลุ่มน้ำหงาวอย่างรุนแรง หลายหมู่บ้านในอำเภอเทิงเผชิญน้ำป่ากัดเซาะคอสะพานและตลิ่งพังซ้ำ ทว่าในความเสียหายที่เกิดขึ้นกลับฉายภาพการทำงานแบบ “ลุก–ลุย–เร็ว” ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ที่ระดมเครื่องจักรหนัก เปิดปฏิบัติการเสริมบิ๊กแบ็กกันตลิ่ง ทำทางเบี่ยงฉุกเฉิน และซ่อมคอสะพานเพื่อคืนการสัญจรให้ประชาชนกับรถบรรทุกผลผลิตการเกษตรโดยเร็วที่สุด โดยมีหน่วยงานอำเภอ เทศบาล–อบต. และเครือข่ายด้านทางหลวง–ปภ. ร่วมประสานกำลังตลอดห่วงโซ่การช่วยเหลือ
เสียงเตือนจากฟ้า เมื่อ “วิภา” ดันฝนถล่ม เหนือบนต้องตั้งการ์ดสูง
กลางเดือนกรกฎาคม กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนพายุ “วิภา” ว่าจะทำให้ภาคเหนือตอนบนรวมถึงเชียงรายมีฝนตกหนักถึงหนักมาก โดยหย่อมความกดอากาศต่ำที่อ่อนกำลังลงจากพายุเคลื่อนปกคลุมแนวร่องมรสุมในช่วงวันที่ 21–26 ก.ค. 2568 ข้อความเตือนชี้ชัดให้จับตาความเสี่ยงน้ำป่าไหลหลากและดินถล่มในหลายจังหวัด รวมทั้งเชียงรายด้วย
สอดรับกับสัญญาณจากส่วนกลาง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและหน่วยงานประชาสัมพันธ์รัฐเร่งสื่อสารแบบ “ทั้งจังหวัดต้องพร้อม” ตั้งแต่ 12–24 ก.ค. 2568 โดยเน้นย้ำให้เฝ้าระวังเขตเขาสูง–พื้นที่ชัน สายด่วน 1784 และช่องทางแจ้งเหตุออนไลน์ถูกผลักดันเป็นเครื่องมือหลัก พร้อมย้ำการส่งข้อความเตือนภัยแบบ Cell Broadcast ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงของอำเภอเทิง ทั้งตำบลตับเต่าและตำบลหงาว
ระดับพื้นที่ อำเภอเทิงออกประกาศรายงานน้ำฝน–น้ำท่าอย่างต่อเนื่อง และตั้งศูนย์บัญชาการเฝ้าระวังน้ำลาว–หงาวตามลำดับ เพื่อปรับแผนปฏิบัติการเก็บกู้และชะลอน้ำกัดเซาะแบบเรียลไทม์.
จุดเปราะบางแตกก่อนสะพานบ้านปางค่า–คอสะพานขาด เส้นเลือดคมนาคมถูกตัด
เช้าตรู่ 16 ก.ค. 2568 สายน้ำหงาวพุ่งสูงกะทันหัน กระแทกโครงสร้างสะพานบ้านปางค่าบนสาย 1155 จนเสาค้ำยันเคลื่อน หลายหน่วยสั่งปิดเส้นทางชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย โรงเรียนใกล้เคียงต้องหยุดเรียนทันที การขนส่งผลผลิตเกษตรกับการเดินทางฉุกเฉินหยุดชะงักทั้งแนว สะท้อนจุดเปราะบางของโครงข่ายถนนชนบทเมื่อเจอฝนเกินค่าเฉลี่ยในเวลาอันสั้น
คำถามที่ชาวบ้านถามตรง ๆ คือ “จะกลับบ้าน–ไปโรงพยาบาล–ส่งของได้เมื่อไร?” คำตอบในทางปฏิบัติขึ้นกับการ “เปิดทางทดแทน” และ “ตรึงแนวตลิ่ง” อย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ฝนรอบใหม่ซ้ำเติมให้หนักกว่าเดิม
ล็อกเป้าซ่อมเฉพาะหน้าเสริมบิ๊กแบ็ก–เปิดทางเบี่ยง–อุดช่องน้ำกัดเซาะ
19 ก.ค. 2568 อบจ.เชียงราย นำโดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ. ลงพื้นที่ “ปางค่า–ตับเต่า–หงาว” เร่งวางบิ๊กแบ็กทรายเรียงแนวตลิ่งลำน้ำหงาวเพื่อหยุดการพังทลาย พร้อมไล่เพอร์ตเครื่องจักรทำทางเบี่ยงให้รถสัญจรชั่วคราว ลดแรงกดดันของชุมชนที่ถูกตัดขาด ขณะที่ทีมช่างประเมินสภาพคอสะพานที่ถูกน้ำเซาะ เพื่อจัดลำดับงานซ่อมด่วน
ปลายเดือนกรกฎาคม เมื่อปริมาณฝนเริ่มแผ่วลงเป็นช่วง ๆ องค์การบริหารส่วนตำบลตับเต่าลงมือซ่อมคอสะพานหมู่ 13 อุดรอยขาดและปรับผิวทางใหม่ เพื่อเปิดเส้นทางท้องถิ่นให้รถเล็กเดินได้ก่อน พร้อมประสาน อบจ.–อำเภอ ทำความสะอาดโคลน–เศษซากที่ไหลทับถมบ้านเรือน
บทเรียนเชิงโครงสร้าง ที่ทีมช่างท้องถิ่นเห็นตรงกัน คือ “คอสะพาน–ไหล่ทาง–ท่อระบายน้ำ” คือจุดให้คะแนนทนทานต่อฝนสุดขีด หากคอสะพานสั้นเกินไปหรือไม่มีปีกกำแพงป้องกัน น้ำเชี่ยวจะชอนไชฐานรากได้เร็ว การเสริมบิ๊กแบ็กและอัดหินใหญ่ตามแนวลุ่มต่ำจึงเป็นมาตรการเฉพาะหน้าที่ต้องทำทันที ขณะที่แผนถาวรจำเป็นต้องรอหน้าฝนผ่อนคลาย
เร่งคืนการสัญจรซ่อมคอสะพาน–เปิดทางหลัก—สัญจรได้อีกครั้ง
ก้าวเข้าสู่ครึ่งเดือนสิงหาคม ทีมสำนักช่างของ อบจ.เชียงรายรวบกำลังเครื่องจักรและแรงงานลงเสริมคอสะพานหมู่ 1 ต.ตับเต่า ที่ถูกน้ำป่ากัดเซาะก่อนหน้า ตรวจเช็กโครงสร้างและอัดวัสดุรองรับใหม่จน “สัญจรได้แล้ว” ในบ่ายวันที่ 15 ส.ค. 2568 ภาพถ่ายหน้างานชี้ชัด รถยนต์และรถบรรทุกเริ่มกลับมาใช้เส้นทางได้ ภารกิจเก็บรายละเอียดจึงขยับไปที่การเสริมไหล่ทาง ปรับผิวถนน และป้ายเตือนความปลอดภัยชั่วคราว
ขณะเดียวกัน ฝ่ายบริหารระดับอำเภอและ อบจ.จัดประชุมหน้างานเพื่อวางแผนซ่อมทางเบี่ยงบ้านปางค่าที่เสียหายหนัก โดยเชิญหน่วยงานเชื่อมโยงทั้ง ศูนย์ ปภ. เขต 15 เชียงราย และเครือข่ายด้านทางหลวง เช่น ศูนย์สร้างทางลำปาง มาร่วมวางกรอบฟื้นฟู–เสริมความแข็งแรงในระยะกลางถึงยาว แม้บางงานอยู่คนละเขตรับผิดชอบ แต่บทบาทสนับสนุนเครื่องจักรและเทคนิคการอัดผิว–ป้องกันตลิ่งยังจำเป็นต่อความต่อเนื่องของระบบทาง
สถิติ–สัญญาณเตือน ทำไม “เทิง–ตับเต่า–หงาว” เสี่ยงซ้ำ
ข้อมูลเตือนภัยตั้งแต่ 11–21 ก.ค. ระบุชัดว่าเชียงรายอยู่ในกลุ่มจังหวัดที่มีโอกาสเกิดฝนหนักหลายระลอก สภาพภูมิประเทศของอำเภอเทิงที่รับน้ำจากสันเขาไปสู่ลุ่มน้ำหงาว ทำให้เมื่อฝน “เกินค่าเฉลี่ยรายชั่วโมง” เพียงไม่กี่ชั่วโมง น้ำจะไหลหลากฉับพลันสู่จุดคอขวด เช่น ช่องลำห้วย–ท่อระบายน้ำ–คอสะพาน จึงเกิดเหตุลักษณะ “กัดเซาะเฉียบพลัน” ซ้ำ ๆ หากฐานรากเดิมไม่แข็งแรงพอ
รายงานจากสื่อท้องถิ่นและส่วนกลางในช่วงเวลานั้นชี้ให้เห็นความรุนแรงของเหตุการณ์ ตั้งแต่ระดับน้ำเอ่อท่วม 60–80 เซนติเมตรบางจุด ไปจนถึงการปิดถนนสาย 1155 ชั่วคราวเพื่อรอการประเมินและซ่อมแซม ซึ่งตอกย้ำโจทย์ใหญ่เรื่อง “แผนเสริมความทนทานโครงสร้าง” ในพื้นที่ลาดเชิงเขา
คำอธิบายเชิงระบบ จาก “ดับไฟหน้าเหตุ” สู่ “โครงสร้างทนฝน”
หนึ่ง การจัดทีม “ดับไฟหน้าเหตุ” ต้องไวและครอบคลุม อบจ.–อำเภอ–อบต.ในเทิงใช้โมเดลเครื่องจักรประจำจุดเสี่ยง พร้อมถุงบิ๊กแบ็กสำรองเพื่ออุดช่องน้ำเซาะ และเจ้าหน้าที่สื่อสารชุมชนเพื่อปิด–เปิดเส้นทางทันเวลา โมเดลนี้ลดชั่วโมงวิกฤตได้จริงในเหตุเดือนนี้
สอง โครงสร้างสาธารณูปโภคต้อง “ออกแบบเพื่อฝนสุดขีด” มากกว่าค่าเฉลี่ยเดิม สะพานชนบทที่รับน้ำลำห้วยเชิงเขาควรเพิ่มความยาวคอสะพาน–กำแพงปีก และยกระดับไหล่ทาง–ท่อระบายน้ำให้มีศักยภาพระบายน้ำหลากปีละหนึ่งครั้งอย่างน้อย การยกระดับมาตรฐานนี้ต้องพึ่งพางบถาวรและความร่วมมือระหว่าง อบจ.–กรมทางหลวง–กรมทางหลวงชนบท–ปภ. โดยมีศูนย์สร้างทางในภูมิภาคเป็น “คลังเครื่องจักร–ความรู้” สำคัญ
สาม ระบบเตือนภัยเชิงรุกต้อง “พูดภาษาเดียวกัน” ตั้งแต่เตือนพายุในระดับชาติ สู่ประกาศอำเภอ–ตำบล และการส่งสัญญาณเตือนตรงสู่ประชาชนผ่านเครือข่ายมือถือ–หอกระจายข่าว เพื่อให้ชาวบ้านรู้ว่า “เส้นไหนควรเลี่ยง เส้นไหนยังพอวิ่งได้” ในชั่วโมงวิกฤต โมเดลการส่ง Cell Broadcast ที่ปภ.ร่วมผู้ให้บริการเครือข่ายในพื้นที่เทิงถือเป็นก้าวที่ถูกทาง
เสียงจากพื้นที่ “เปิดทางได้ไว ชีวิตก็ต่อได้”
แม้หน้างานเต็มไปด้วยโคลนและเศษซาก การที่เส้นทางหลัก–ทางเบี่ยงกลับมาเปิดได้ ทำให้รถส่งนมสด ข้าวโพด และลำไยที่กำลังออกสู่ตลาดยังคงเดินต่อ รถพยาบาลฉุกเฉินสามารถรับ–ส่งผู้ป่วยได้ทันเวลา โรงเรียนทยอยกลับมาเปิดเรียนเร็วกว่าที่คาด ชาวบ้านจึงสะท้อนร่วมกันว่า “เปิดทางได้ไว ชีวิตก็ต่อได้” นี่คือผลลัพธ์รูปธรรมจากการตัดสินใจแบบทันทีของท้องถิ่น
ในอีกมุม ข้าราชการฝ่ายโยธาย้ำว่า “วิธีจบเกมน้ำกัดครั้งต่อไป” คือการเร่งสำรวจจุดเสี่ยงคอสะพานทั้งตำบลตับเต่า–หงาว จัดลำดับงบซ่อมเชิงป้องกันก่อนฝนใหญ่รอบใหม่ และกำหนดมาตรการควบคุมบรรทุกหนักผ่านทางเบี่ยงชั่วคราวอย่างเข้ม ทั้งหมดนี้ต้องเดินคู่กับการสื่อสารสาธารณะเพื่อให้คนทั้งอำเภอ “รู้ทันฝน”
เชื่อมภาพใหญ่จังหวัด แผนรับมือฝนทั้งเชียงราย
ตลอดช่วง 11–25 ก.ค. 2568 จังหวัดเชียงรายเผชิญฝนต่อเนื่องแทบครบ 15 อำเภอ สำนักงานปภ.จังหวัดรายงานสถานการณ์และจัดทีมเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง หน่วยกู้ภัย–อปพร.–อส. ถูกจัดวางในจุดเสี่ยงซ้ำซากตามสายน้ำแม่อิง–แม่ลาว–แม่หงาว เพื่อพร้อมอพยพและยกของขึ้นที่สูงเมื่อจำเป็น กลไกนี้ทำให้ภาพรวมความเสียหายในรอบนี้จำกัดวงได้ในระดับหนึ่ง แม้หลายจุดยังต้องซ่อมเชิงโครงสร้างต่อเนื่อง
แผนหลังน้ำลด ฟื้นฟู–ป้องกัน–ลงทุน
ฟื้นฟูเร่งด่วน: เก็บเศษวัสดุ–โคลนออกจากคอสะพาน ปรับผิวถนน แก้ไหล่ทางหาย และติดตั้งป้ายเตือนถาวรชั่วคราวในช่วงฝน
ป้องกันรอบใหม่: เสริมบิ๊กแบ็ก–หินใหญ่ตามแนวที่น้ำกัดซ้ำ ซ่อมท่อระบายน้ำอุดตัน ตรวจสอบฐานรากสะพานที่ถูกน้ำเซาะ และเพิ่มช่องทางระบายน้ำให้พ้นคอสะพาน
ลงทุนระยะกลาง–ยาว: ประสานกรมทางหลวงและศูนย์สร้างทางในภูมิภาคเร่งศึกษามาตรฐานคอสะพาน–กำแพงปีกในพื้นที่ลาดเชิงเขา และจัดสรรงบยกระดับคอสะพานเสี่ยง รวมถึงปรับแบบท่อเหลี่ยม–รางระบายน้ำให้รองรับฝนสุดขีดตามภูมิอากาศใหม่
สูตร “ลุก–ลุย–เร็ว” ผสาน “ออกแบบเพื่อฝนสุดขีด”
เหตุการณ์ครั้งนี้ตอกย้ำ 3 บทเรียนสำคัญสำหรับท้องถิ่นภูเขา
เมื่อน้ำลด เห็นรอยทางของ “ความร่วมมือ”
จากเช้าวิกฤต 16 ก.ค. ที่สะพานปางค่าถูกตัดขาด สู่บ่าย 15 ส.ค. ที่เส้นทางหลักหมู่ 1 ต.ตับเต่ากลับมาสัญจรได้ ภารกิจเชื่อมถนน–เชื่อมชีวิตของอำเภอเทิงคือผลรวมของหลายมือ ตั้งแต่ อบจ.เชียงรายที่ลุยหน้างาน อำเภอ–อบต.ที่เสริมทัพ ปภ.จังหวัดที่เทน้ำหนักด้านเตือนภัย และหน่วยงานด้านทางที่ส่งเครื่องจักรมาสนับสนุนเมื่อร้องขอ เหตุทั้งหมดนี้ไม่เพียงฟื้นถนน แต่ฟื้น “ความมั่นใจ” ว่าหากฝนใหญ่กลับมา เมืองนี้จะยืนด้วยระบบที่พร้อมกว่าเดิม
โจทย์ต่อไป คือการเปลี่ยน “ซ่อมเฉพาะหน้า” เป็น “ลงทุนเชิงป้องกัน” ให้ทันฤดูฝนหน้า ด้วยแบบสะพาน–คอสะพาน–รางระบายน้ำที่รองรับฝนสุดขีด และงบประมาณที่เดินได้จริง พร้อมทั้งยืนระยะของระบบเตือนภัยและการสื่อสารชุมชนให้ไวและแม่นยำมากขึ้น
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.