“อบจ.เชียงราย” เปิดเวที Chiangrai Design Best Practice จุดไฟ “คนรุ่นใหม่” สู่พลังขับเคลื่อนเมืองสร้างสรรค์โลก

เชียงราย, 31 สิงหาคม 2568  — ในห้องประชุมสว่างไสวของโรงแรมแสนโฮเทล เช้าวันสิ้นเดือนสิงหาคม ผู้คนต่างวัย—นักเรียน มหาวิทยาลัย ครู อาจารย์ นักออกแบบ ช่างฝีมือท้องถิ่น ไปจนถึงผู้บริหารท้องถิ่น—ทยอยนั่งประจำโต๊ะกลุ่มย่อยต่อหน้าแผ่นงานและตัวอย่างวัสดุที่จัดวางเรียงราย เสียงสนทนาคละเคล้าระหว่าง “ภูมิปัญญาเดิม” กับ “สภาวะใหม่” ของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จุดร่วมเดียวกันคือคำถามง่ายๆ ที่ท้าทายทุกคนว่า เราจะออกแบบอนาคตเชียงรายให้ยั่งยืนด้วยรากวัฒนธรรมได้อย่างไร” นี่คือภาพเปิดของเวที “Chiangrai Design Best Practice : Knowledge Transfer from Culture to Youth” ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) ตั้งใจ “ยกห้องเรียนทั้งเมือง” เพื่อส่งต่อองค์ความรู้การออกแบบจากวัฒนธรรมสู่เยาวชน และวางรากฐานจังหวัดสู่การเป็นสมาชิก เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (UNESCO Creative Cities Network: UCCN) ด้านการออกแบบในก้าวต่อไป

พิธีเปิดได้รับเกียรติจาก นางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวางแผนและงบประมาณ อบจ.เชียงราย ทำหน้าที่ประธาน พร้อมเครือข่ายภาคีจากหลากหลายสาขา ทั้งหน่วยงานรัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย และผู้เชี่ยวชาญจากเมืองเครือข่ายสร้างสรรค์ในประเทศ อาทิ เพชรบุรี (ถ่ายทอดประสบการณ์ด้านอาหารและหัตถกรรมเชิงวัฒนธรรม) และ สุพรรณบุรี (แนวทางการใช้ดนตรี–ศิลปะร่วมสมัยต่อยอดเมือง) ตลอดจนผู้แทนจาก นครฉงชิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเข้าร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และการออกแบบเชิงเมือง

คนรุ่นใหม่” คือหัวใจของเมืองออกแบบ

ภายหลังพิธีเปิด นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เดินทางมาพบปะผู้เข้าร่วมและย้ำ “แกนกลาง” ของเวทีครั้งนี้อย่างชัดเจนว่า การพัฒนาเมืองสร้างสรรค์ ไม่ใช่เพียงสร้างแลนด์มาร์ก แต่ต้องสร้าง “คน” และ “โอกาส” ให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ ลงมือทำ และนำภูมิปัญญาท้องถิ่นไปต่อยอดบนมาตรฐานสากล

“เชียงรายจะก้าวสู่การเป็นเมืองสร้างสรรค์โลกได้อย่างยั่งยืน ก็ต่อเมื่อคนรุ่นใหม่มีบทบาทและเป็นพลังขับเคลื่อน เราจึงต้องลงทุนกับการเรียนรู้และการสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนเป็นนักออกแบบแห่งอนาคต” — นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย

คำกล่าวดังกล่าววาง “ธง” ให้กิจกรรมทั้งวันเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน: ถอดบทเรียนจากวัฒนธรรม แปลงเป็นโจทย์ออกแบบ ต่อยอดเป็นต้นแบบ (prototype) ที่ใช้ได้จริง พร้อมเครื่องมือให้เยาวชนกลับไปขยายผลในโรงเรียน ชุมชน และสตาร์ทอัพ/เอสเอ็มอีที่กำลังก่อตัว

ห้องทดลอง “Best Practice” จากภูมิปัญญา สู่ผลิตภัณฑ์–พื้นที่–ประสบการณ์

โครงสร้างการประชุมเชิงปฏิบัติการแบ่งเป็น 3 แทร็กหลัก เชื่อมโยงตั้งแต่ “ของที่ทำ” ไปถึง “เมืองที่อยู่” และ “ประสบการณ์ที่ขาย” ดังนี้

  1. Design × Craft & Heritage — สำรวจทุนวัฒนธรรมเชียงราย เช่น สิ่งทอ ลายชนเผ่า งานไม้ งานดิน และงานโลหะพื้นถิ่น จากนั้นพัฒนาเป็น “ชุดเครื่องมือออกแบบ” (design toolkit) สำหรับนักเรียน–นักออกแบบรุ่นใหม่ ตั้งแต่วิธีเก็บข้อมูลลวดลาย ถ่ายทอดเรื่องเล่าของชุมชน ไปจนถึงการตั้งมาตรฐานคุณภาพสินค้าให้พร้อมส่งออก
  2. Product & Circular Design — ตั้งโจทย์ลดขยะและเพิ่มมูลค่า เช่น นำเศษวัสดุการเกษตร/เศษไม้จากงานช่าง กลับมาออกแบบเป็นของใช้ร่วมสมัย เน้นการคำนวณอายุการใช้งาน (life cycle) ต้นทุน–ราคาที่เหมาะสม และการผลิตแบบจิ๋วแต่แจ๋วที่ช่างท้องถิ่นทำได้
  3. Place–Making & Creative Tourism — แปลงทุนวัฒนธรรมให้เป็น “ประสบการณ์ในพื้นที่” ตั้งแต่การออกแบบป้ายทางเท้า–เส้นทางจักรยานเชื่อมชุมชนช่าง, ตลาดนัดงานคราฟต์รายเดือน ไปจนถึงเทศกาลขนาดเล็กที่โรงเรียนเป็นเจ้าภาพ เพื่อให้เยาวชนเรียนรู้ทักษะจัดการอีเวนต์และการสื่อสารสาธารณะ

แกนร่วมของทั้งสามแทร็กคือ ความเป็นเจ้าของ (ownership) ของชุมชนและเยาวชนให้เกิดขึ้นจริง ด้วยหลักการ “เรียน–ลอง–ใช้” ในพื้นที่ แทนการนำแนวคิดสำเร็จรูปจากที่อื่นมาใส่

ทำไม “ยูเนสโก เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ” ถึงสำคัญ

เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (UNESCO Creative Cities Network – UCCN) เป็นกรอบความร่วมมือระดับโลกที่ส่งเสริมให้เมืองใช้ “วัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์” เป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน เมืองสมาชิกแบ่งตามสาขา เช่น Design, Crafts & Folk Art, Gastronomy, Music, Film, Literature, Media Arts เป็นต้น

ประเทศไทยมีเมืองสมาชิก UCCN หลายแห่งที่สร้างชื่อบนเวทีโลก อาทิ กรุงเทพฯ (Design), เชียงใหม่ (Crafts & Folk Art), ภูเก็ต (Gastronomy), สุโขทัย (Crafts & Folk Art) และ เพชรบุรี (Gastronomy) เมืองเหล่านี้ต่างพิสูจน์ว่า เมื่อ “ทุนวัฒนธรรม” พบ “ระบบสนับสนุนที่เหมาะสม” ก็สามารถเปลี่ยนเป็น อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ที่ทำให้คนอยู่ได้ เมืองอยู่รอด และเอกลักษณ์ท้องถิ่นยังสดอยู่เสมอ

สำหรับเชียงราย การมุ่งไปสู่ UCCN สาขาการออกแบบ (Design) มีเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ชัดเจน

  • เชียงรายมี รากหัตถกรรมเข้มแข็ง และ artisan ท้องถิ่นหลากหลายชาติพันธุ์ ซึ่งพร้อมถูกยกระดับด้วยเครื่องมือการออกแบบสมัยใหม่
  • เมืองมี เครือข่ายศิลปิน–นักออกแบบร่วมสมัย จากสถาบันการศึกษาและเอกชนที่พร้อมเป็น “พี่เลี้ยง” ให้เยาวชน
  • เชียงรายเชื่อมโยง การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม–ธรรมชาติ ซึ่งการออกแบบสามารถเพิ่มคุณค่าในห่วงโซ่ประสบการณ์ได้ตั้งแต่ป้าย–ทาง–ตลาด–เทศกาล

กล่าวโดยสรุป การเลือก “Design” ไม่ได้หมายถึงเน้น “รูปลักษณ์สวย” หากคือการนำ “วิธีคิดแบบนักออกแบบ” ไปแก้ปัญหาเมืองและสร้างมูลค่าใหม่ทั้งระบบ

แผนเดินเกม 12 เดือน จากเวทีวันนี้ สู่คำขอเป็นสมาชิกพรุ่งนี้

อบจ.เชียงรายได้วางกรอบความคืบหน้าหลังเวทีอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อให้ “พลังงานของห้องประชุม” กลายเป็น “โครงการที่เดินได้จริง” รวมถึงรองรับเกณฑ์สำคัญของ UCCN ที่เน้น ความต่อเนื่อง–ผลลัพธ์–ความร่วมมือ ได้แก่

  1. ฐานข้อมูลทุนสร้างสรรค์ (Creative Assets Mapping) — รวบรวมช่างฝีมือ ลาย–แบบ–วัสดุ เครื่องมือ แหล่งเรียนรู้ และผู้ประกอบการที่พร้อมเชื่อมกับเยาวชนและหลักสูตรในพื้นที่
  2. หลักสูตรสั้น/สตูดิโอเยาวชน — เปิดสตูดิโอในโรงเรียน/ชุมชน ให้เยาวชนได้ฝึกงานกับช่าง–นักออกแบบจริง และพัฒนาต้นแบบอย่างน้อย 1 ชิ้นงาน/ทีม เพื่อจัดแสดงใน “เทศกาลออกแบบเชียงราย”
  3. เครือข่ายเมือง–มหาวิทยาลัย–เอกชน — จับคู่ที่ปรึกษา (mentor matching) ระหว่างนักออกแบบอาชีพ/สตูดิโอ กับทีมเยาวชน/ผู้ประกอบการรุ่นใหม่
  4. เทศกาล/ตลาดต้นแบบ (Pilot Events) — จัดกิจกรรมขนาดกะทัดรัดเน้นคุณภาพ เช่น งานคราฟต์รายเดือน เส้นทางชมชุมชนช่าง 1 วัน เทศกาลทดลองในย่านนำร่อง เพื่อทดสอบมาตรการจราจร สิ่งอำนวยความสะดวก และระบบสื่อสาร
  5. ติดตามผลลัพธ์และสื่อสารสาธารณะ — วัดผลเป็นรูปธรรม เช่น จำนวนชิ้นงานต้นแบบที่เข้าสู่เชิงพาณิชย์ จำนวนผู้ร่วมกิจกรรม การสร้างรายได้ให้ชุมชน ชื่อเสียงเชิงสื่อ และการมีส่วนร่วมของเยาวชน

แผนนี้ไม่เพียงตอบโจทย์การเตรียมความพร้อมต่อการสมัคร UCCN หากยังทำหน้าที่ ยกระดับคน–งาน–เมือง” ระหว่างทางอย่างต่อเนื่อง

บทเรียนจากเมืองเพื่อนทำอย่างไรให้ “การออกแบบ” ไม่หยุดที่คำว่า “สวย”

ผู้เชี่ยวชาญจากเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์—ทั้งในและต่างประเทศ—เสนอ 3 หลักคิดที่ทำให้การออกแบบ “อยู่รอด” ในโลกจริง

  • การออกแบบต้องแก้ปัญหา: เริ่มจากปัญหาจริง เช่น พื้นที่สาธารณะที่คนเลี่ยงใช้ ทางเท้าไม่ปลอดภัย ตลาดที่เงียบลง เครื่องมือคือ human-centered design—ฟัง ถาม ทดลอง แล้วปรับ
  • เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular): เมืองสามารถเป็น “โรงงานรีไซเคิลเชิงสร้างสรรค์” ได้ นำเศษวัสดุจากป่า–ไร่–โรงงานขนาดเล็ก มาออกแบบให้มีคุณค่าใหม่
  • ทำเล็ก–แต่ชัด: ไม่ไล่โครงการใหญ่เกินแรง เลือก “จุดริเริ่ม (pilot)” ที่ทำแล้วเห็นผล สื่อสารได้ และคูณต่อได้ เช่น ย่านเดียว ซอยเดียว โรงเรียนเดียว แล้วค่อยขยาย

ทั้งสามหลักการสอดคล้องกับโครงสร้างเวทีในวันนี้ และปรับใช้กับบริบทเชียงรายได้โดยไม่ต้องยืมแบบใครมา

เยาวชนคือผู้เล่นหลัก จาก “ผู้ชม” สู่ “ผู้จัด”

เวที Chiangrai Design Best Practice ไม่ได้เชิญเยาวชนมา “นั่งฟัง” แต่ให้ลงมือคิด–ทำ–นำเสนอ ตั้งแต่การตีความลวดลายชาติพันธุ์ไปสู่สินค้าพกพาร่วมสมัย การออกแบบเครื่องหมาย–สัญลักษณ์สำหรับงานวิ่งชุมชน ไปจนถึงแผนตลาดนัดงานคราฟต์รายเดือนของโรงเรียน จุดเด่นคือการสอน ทักษะนุ่ม (soft skills) ที่โรงเรียนมักไม่ค่อยเน้น ได้แก่

  • การเล่าเรื่อง (storytelling) และการสื่อสารข้ามรุ่น
  • การทำงานทีมสหสาขา (designer–artisan–business)
  • การประเมินต้นทุน–ตั้งราคา–คำนึงเรื่องสุขภาวะและสิ่งแวดล้อม

ผลที่อยากเห็นจึงไม่ได้วัดจาก “ถ้วยรางวัล” แต่คือ จำนวนผู้เล่นหน้าใหม่ ที่พร้อมลุกขึ้น “จัดการ” โปรเจกต์เล็กๆ ในย่านและโรงเรียนของตน

เมือง–ชุมชน–เอกชน ใครทำอะไร เพื่อให้ต่อเนื่อง

เพื่อให้การเดินหน้ามีความต่อเนื่อง อบจ.เชียงรายวาง “บทบาทร่วม” ไว้เป็นภาพเดียว

  • อบจ./เทศบาล — ดูแลโครงสร้างรองรับ (พื้นที่สาธารณะขนาดเล็ก งบสนับสนุนกิจกรรมย่าน ช่องทางประชาสัมพันธ์) และทำหน้าที่ “ตัวเชื่อม” หน่วยงานกับโรงเรียน/ชุมชน
  • โรงเรียน/มหาวิทยาลัย — เปิดสตูดิโอฝึกงานกับช่าง–นักออกแบบ จัดทำคลินิกออกแบบรายเดือน และบูรณาการหน่วยกิตบริการชุมชน
  • ช่างฝีมือ/ผู้ประกอบการ — เป็น “พี่เลี้ยง” ตัวจริงด้านทักษะ–คุณภาพ สร้างต้นแบบที่ผลิตได้จริง และเปิดบ้าน–เวิร์กช็อปให้เรียนรู้
  • เอกชน/ผู้สนับสนุน — สนับสนุนทุนต้นแบบ ค่าการสื่อสาร และช่วยเปิดตลาด/ช่องทางจำหน่าย

เมื่อทุกคนมี “บท–เวลา–เป้าหมาย” ร่วมกัน เมืองก็จะมี ระบบนิเวศออกแบบ” ที่ยืนได้ด้วยตนเอง ไม่ขึ้นกับโครงการระยะสั้น

ตัวชี้วัดที่จับต้องได้น้อยแต่คม

เพื่อให้การสื่อสารสาธารณะชัดเจน อบจ.เชียงรายเน้นตัวชี้วัดที่ประชาชน “เห็น–สัมผัส–ใช้” ได้จริง เช่น

  • จำนวนต้นแบบผลิตภัณฑ์ ที่เกิดจากทีมเยาวชนและเข้าสู่การผลิตจริง
  • จำนวนพื้นที่สาธารณะ/กิจกรรมย่าน ที่ได้รับการออกแบบใหม่พร้อมใช้งาน (ป้าย–ทางเท้า–ตลาดนัดคราฟต์)
  • โอกาสทางอาชีพ ของเยาวชน (ฝึกงาน–จ้างงาน–ตั้งต้นธุรกิจ)
  • การมีส่วนร่วมของชุมชน วัดจากผู้ร่วมกิจกรรมและความถี่การใช้งานพื้นที่หลังออกแบบ

ตัวชี้วัดเหล่านี้จะถูกนำไปประกอบ แผนขอเป็นสมาชิก UCCN ซึ่งให้ความสำคัญกับ “ผลลัพธ์ที่เกิดบนพื้น” ไม่ใช่เอกสารอย่างเดียว

มองไกลกว่าวันนี้เชียงรายบนแผนที่เมืองสร้างสรรค์โลก

หากเดินตามแผน 12 เดือนอย่างมีวินัย เชียงรายจะมี “คลังผลงาน” และ “หลักฐานการทำงานร่วม” ที่พร้อมสำหรับการสมัครเข้าร่วมเครือข่าย UCCN ในวาระถัดไป ที่สำคัญกว่านั้นคือ เมืองจะได้ คนรุ่นใหม่ที่มีทักษะออกแบบ เป็นทุนมนุษย์ชุดใหม่ของจังหวัด และได้ โมเดลย่านทดลอง ที่ขยายผลต่อยอดได้ทั่วเมือง—จากย่านศิลปหัตถกรรม ไปสู่ย่านอาหารพื้นถิ่น และเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

เชียงรายอาจไม่ได้เป็น “เมืองใหญ่” ในเชิงประชากร แต่เป็น “เมืองใหญ่” ในเชิงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศิลปกรรม การเอา “การออกแบบ” เป็นตัวเชื่อมรากวัฒนธรรมกับตลาดสมัยใหม่ จึงเป็นคำตอบที่เหมาะสม ทั้งเพื่อ สร้างรายได้ให้ชุมชน และ รักษาอัตลักษณ์ ให้คงอยู่ในชีวิตประจำวันของคนรุ่นต่อๆ ไป

ท้ายที่สุด เวที Chiangrai Design Best Practice วันนี้ไม่ได้ปิดท้ายด้วยคำว่าจบ แต่ปิดด้วยคำว่า เริ่ม” — เริ่มโครงการเล็กๆ ในโรงเรียน เริ่มยกของจริงกับช่าง เริ่มเปิดพื้นที่สาธารณะให้เป็นห้องเรียนของเมือง และเริ่มวางหมุดหมายว่า “เชียงราย” จะยืนอยู่ตรงไหนบนแผนที่เมืองสร้างสรรค์ของโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • UNESCO Creative Cities Network (UCCN)
  • Creative Economy Agency (CEA) ประเทศไทย
  • Bangkok City of Design / Chiang Mai City of Crafts & Folk Art / Phuket City of Gastronomy / Sukhothai City of Crafts & Folk Art / Phetchaburi City of Gastronomy
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News