ความเชื่อปะทะกฎหมาย “สุสานบนที่ทำกิน” ปมฝังศพลาหู่ในที่ดิน ส.ป.ก. แม่จัน คลี่คลายชั่วคราวด้วยคำมั่นตั้งสุสานสาธารณะ

เชียงราย, 8 กันยายน 2568 –ที่ว่าการอำเภอแม่จันเต็มไปด้วยคนกว่า 300 คนที่ยืนแน่นในเช้าวันจันทร์อึมครึม ฝนพรำเบาๆ แต่ป้ายผ้ากลับชัดเจน พวกเขามาเรียกร้อง “หยุดขุดหลุมศพบรรพบุรุษ” และขอให้รัฐ “มองเห็นความเชื่อ” ของชุมชนชาติพันธุ์บนดอยบ้านเล่าชีก๋วย ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน เหตุเริ่มจากคำสั่งทางปกครองให้ย้ายร่าง “พ่อเฒ่าจะแก จิตเอื้ออังกูร” ผู้อาวุโสชาวลาหู่ ที่ครอบครัวฝังไว้ในสวน 15 ไร่ซึ่งเป็นที่ดิน ส.ป.ก. และ ส.ท.ก. ตามคำสั่งเสียของผู้ตายเมื่อเมษายน 2567 ก่อนเกิดข้อพิพาทยืดเยื้อเกือบสองปี

ช่วงบ่าย วันเดียวกัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ เข้าพบชาวบ้านและให้คำมั่น “ระงับการขุดย้ายศพ” พร้อมเร่งวางแผน “ตั้งสุสานสาธารณะ” เพื่อเป็นทางออกเฉพาะพื้นที่ ชาวบ้านจึงแยกย้ายด้วยความหวัง แต่รู้ว่าศึกหลักยังอยู่ในชั้นกฎหมายและศาลปกครองเชียงใหม่ที่เริ่มรับเรื่องร้องทุกข์ไว้พิจารณาแล้ว ซึ่งเหตุการณ์ชุมนุมครั้งนี้มีรายงานโดยสื่อท้องถิ่นหลายสำนัก เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568 เช่น สยามรัฐ และมติชนออนไลน์ ซึ่งสะท้อนแรงกดดันของสังคมต่อการจัดการศพในพื้นที่เกษตรกรรมปฏิรูปของรัฐอย่างชัดเจน

ปมขัดแย้ง 3 ชั้น ที่ดิน ส.ป.ก., กฎหมายสุสาน และความเชื่อชาติพันธุ์

แก่นเรื่องไม่ได้มีเพียง “หลุมศพหนึ่งหลุม” แต่คือการทับซ้อนกันของกฎหมายที่ดินเพื่อเกษตรกรรม, กฎหมายสาธารณสุขด้านสุสาน, และสิทธิทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์

ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 เป็นสิทธิทำกินเพื่อเกษตรกรรม ห้ามใช้ผิดวัตถุประสงค์ และห้ามโอนเว้นมรดก การใช้เพื่อกิจการอื่นต้องอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ของ ส.ป.ก. และหน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ข้อเท็จจริงนี้ชี้ว่าการตั้งสุสานถาวรในที่ ส.ป.ก. ต้องผ่านการพิจารณาและอนุญาตตามขั้นตอน ไม่ใช่เพียงความยินยอมของชุมชนฝ่ายเดียว  การฝังศพนอกสุสานที่ได้รับอนุญาตเป็นเรื่องอ่อนไหวตาม พระราชบัญญัติสุสานและฌาปนสถาน พ.ศ. 2528 ซึ่งกำหนดให้การเก็บ ฝัง หรือเผาศพ ต้องทำในสุสานสาธารณะหรือเอกชนที่ได้รับอนุญาต เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นกรณีเฉพาะจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น (มาตรา 10) อำนาจอนุญาตอยู่ที่ผู้ว่าราชการจังหวัด นายกเทศมนตรี หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามพื้นที่ หากฝ่าฝืนมีโทษตามกฎหมาย และสิทธิทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์เป็นหัวใจที่รัฐต้องรับฟัง ชาวลาหู่มีธรรมเนียมฝังศพในที่ทำกินของตนเอง โดยประกอบพิธี “เสี่ยงทายไข่” เพื่อขอความยินยอมจากวิญญาณผู้ตาย และมีพิธี “ส่งผี” เพื่อให้ดวงวิญญาณไม่กลับมารบกวนคนเป็น ขณะเดียวกัน ชาวเมี่ยน (อิ้วเมี่ยน) ให้ความสำคัญกับชัยภูมิแบบจีน หรือ “เขาหัว–หางมังกร” ตามหลักฮวงจุ้ย เพื่อความสวัสดิมงคลของสายตระกูล ความเชื่อทั้งสองชุดล้วนจริงจัง และมีฐานทางมานุษยวิทยารองรับ

เสียงจากสองฟากความเชื่อ “วิญญาณต้องพัก” ปะทะ “พลังชี่ของหมู่บ้าน”

ฝั่งครอบครัวผู้ตายยืนยันว่าการฝังในสวนตามคำสั่งเสียและพิธีกรรมชุมชนคือ “การส่งคนกลับบ้าน” เป็นวิถีสืบทอดหลายชั่วอายุคน และไม่ได้กระทบสิ่งแวดล้อมหรือความสงบสุขของใคร ขณะที่ฝ่ายคัดค้านซึ่งเป็นชาวเมี่ยนในพื้นที่ใกล้เคียงมองว่า จุดฝังอยู่ในแนว “หัว–หางมังกร” และ “หมอนหมู่บ้าน” ซึ่งเป็นตำแหน่งค้ำชูพลังของชุมชน การมีหลุมศพ ณ จุดนั้นเท่ากับรบกวนกระแส ชี่ ที่เกื้อหนุนลูกหลาน

ข้อมูลทางชาติพันธุ์แสดงว่า ชาวเมี่ยนรับอิทธิพลลัทธิเต๋าและศาสตร์ฮวงจุ้ยอย่างเข้มข้น การเลือกทำเลสุสานจึงเป็นการ “ลงทุนทางจิตวิญญาณ” ระยะยาว เพื่อความรุ่งเรืองของตระกูล ในบางพื้นที่ยังใช้การเสี่ยงทายประกอบการพิจารณาชัยภูมิด้วย ขณะเดียวกัน เอกสารภาคสนามเกี่ยวกับชาวลาหู่ระบุพิธีกรรมเสี่ยงทายไข่และชุดพิธี “กักกันวิญญาณ” หลังฝังศพไว้อย่างละเอียด ซึ่งทำให้เข้าใจแรงผลักดันของทั้งสองชุมชนได้ดีขึ้น

ทำไม “ย้ายศพ” จึงกลายเป็นชนวนใหญ่

ปัญหาขยายตัวเมื่อคำสั่งทางปกครองให้ “ขุดย้ายศพ” ถูกมองว่าเป็นการละเลยกระบวนการมีส่วนร่วมและความเชื่อท้องถิ่น อีกทั้งอาจกลายเป็น “บรรทัดฐาน” ให้ใครก็ตามใช้กฎหมายกดดันกันในอนาคต หากฝ่ายหนึ่งถือข้อกฎหมายที่แข็ง อีกฝ่ายย่อมยึด “สิทธิทางวัฒนธรรม” ที่ยืนยาวกว่าในความทรงจำรวมหมู่

ตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 คำสั่งทางปกครองต้องชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม มีเหตุผล สนองประโยชน์สาธารณะ และคู่กรณีมีสิทธิอุทธรณ์ได้ ขณะเดียวกัน ศาลปกครอง มีอำนาจออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเพื่อบรรเทาทุกข์ก่อนพิพากษา หากการบังคับตามคำสั่งจะก่อให้เกิดความเสียหายยากแก่การเยียวยาภายหลัง กลไกนี้มักถูกใช้ในคดีชุมชนและสิ่งแวดล้อมที่มี “ความเสียหายถาวร” เป็นเดิมพัน ซึ่งเข้ากรอบคดีนี้อย่างชัดเจน

 “เบรกชั่วคราว” แต่โจทย์ใหญ่ยังอยู่

คำมั่นของรองผู้ว่าฯ ที่จะระงับการขุดย้าย และผลักดัน “สุสานสาธารณะ” เป็นทางออกระยะสั้นที่ลดแรงปะทะทันที แต่การตั้งสุสานต้องผ่านการอนุญาตและการจัดสรรพื้นที่ตามกฎหมายสุสาน อีกทั้งต้องดู ฐานสิทธิ ของที่ดิน หากอยู่ในเขต ส.ป.ก. การใช้เพื่อกิจการสาธารณะอาจทำได้ แต่ต้องผ่านการเห็นชอบและจัดกระบวนการตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้ผิดวัตถุประสงค์หลักด้านเกษตรกรรม

ในทางปฏิบัติ จังหวัดจำเป็นต้องวางขั้นตอน 3 ช่วง คือ จัดพื้นที่, จัดสิทธิ, และ จัดการ

  1. จัดพื้นที่ คัดเลือกที่เหมาะสมโดยใช้เกณฑ์ด้านสาธารณสุข ภูมิประเทศ และผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งรับฟังความเชื่อของชุมชนโดยตรงผ่านวงปรึกษาหารือหลายชาติพันธุ์
  2. จัดสิทธิ ตรวจฐานสิทธิที่ดิน หากใช้ที่ ส.ป.ก. ต้องขอความเห็นชอบตามระเบียบ และออกใบอนุญาตสุสานตาม พ.ร.บ.สุสานฯ ให้ครบถ้วน
  3. จัดการ กำหนดระเบียบการใช้สุสานร่วม วางแนวทางพิธีกรรมที่เคารพความหลากหลาย แต่ไม่กระทบสาธารณสุข

เรื่องเล่าจากชายแดน เมื่อ “สุสาน” คือแผนที่ของชุมชน

ผู้เฒ่าชาวลาหู่เคยสรุปสั้นๆ ว่า “ฝังศพไว้ที่ดินกิน ที่ดินจะจำเรา” ประโยคเดียวบอกความหมาย “สุสานบนที่ทำกิน” ว่าไม่ใช่แค่หลุมฝังศพ แต่เป็นหมุดหมายของสายตระกูล เป็นบันทึกเชิงพื้นที่ของความเป็นเจ้าของและการสืบสาน การย้ายศพจึงถูกมองว่าเป็นการตัดราก “ตัวตน” ของครอบครัว ขณะที่ชาวเมี่ยนมองภูเขาเป็น “สรีระของมังกร” สุสานที่วางถูกตำราไม่เพียงคุ้มครองผู้จากไป แต่ส่งพลังเกื้อหนุนลูกหลาน นี่จึงไม่ใช่เพียงข้อพิพาทเรื่องตำแหน่งทางกายภาพ หากคือ “ภูมิทัศน์จิตวิญญาณ” ที่สองวัฒนธรรมอ่านต่างกัน

เอกสารชาติพันธุ์ยืนยันความซับซ้อนนี้ เช่น ฐานข้อมูลชาติพันธุ์ของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ที่แสดงรากวัฒนธรรมเมี่ยนและบทบาทพิธีกรรมตามคติเต๋า รวมถึงงานวิชาการและบันทึกภาคสนามที่อธิบายพิธีศพลาหู่ตั้งแต่การเสี่ยงไข่จนถึงพิธี “ส่งผี” หลังการฝัง ซึ่งทำให้การออกแบบทางออกจำเป็นต้องให้ “ความรู้วัฒนธรรม” เป็นข้อมูลตั้งต้น ไม่ใช่เพียงภาคผนวก

นโยบาย “สามวงแหวน” เพื่อคลี่คลายอย่างยั่งยืน

วงแหวนที่ 1: กฎหมายต้องชัด
จังหวัดควรตั้งคณะทำงานกฎหมายแบบบูรณาการ ระหว่าง ส.ป.ก., อปท., สาธารณสุข, ที่ดิน และฝ่ายปกครอง เพื่อถอดบทเรียนคดีนี้เป็น “แนวปฏิบัติ” สำหรับพื้นที่ ส.ป.ก. ที่มีสุสานชุมชนดั้งเดิมอยู่ก่อน พร้อมจัดทำคู่มืออนุญาตกรณีสุสานในหรือใกล้เขต ส.ป.ก. ให้สอดคล้องทั้ง พ.ร.บ.สุสานฯ และระเบียบ ส.ป.ก. ลดดุลพินิจที่เสี่ยงต่อความขัดแย้ง

วงแหวนที่ 2: วัฒนธรรมต้องนำ

ให้มี “เวทีพิธีกรรมร่วม” ระหว่างผู้นำลาหู่และเมี่ยน เพื่อออกแบบวิธีปฏิบัติที่เคารพกัน เช่น แนวกันชนทางพิธีกรรม, พื้นที่เซ่นไหว้ร่วม, หรือการย้ายหลุมในกรณีจำเป็นตามคติแต่ละฝ่าย โดยรัฐรับรองพิธีกรรมเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการอนุญาต ไม่ใช่ขั้นตอนนอกแบบ

วงแหวนที่ 3: การสื่อสารต้องจริงใจ
สื่อสารข้อกฎหมายและผลกระทบอย่างตรงไปตรงมา ตั้งศูนย์ข้อมูลชุมชนภาคสนามที่แปลภาษากฎหมายเป็นภาษาเข้าใจง่าย พร้อมสายด่วนประสานศูนย์ดำรงธรรม สนับสนุนการไกล่เกลี่ยเชิงวัฒนธรรมเพื่อลดการปะทุในอนาคต

ทางออกเฉพาะหน้า “พักคำสั่ง – ตั้งสุสานร่วม – ทำข้อตกลงชุมชน”

ระยะสั้น ควร “พักการบังคับคำสั่งย้ายศพ” จนกว่าศาลจะมีคำสั่งชั่วคราวหรือมีผลคำพิพากษา และเดินหน้ากระบวนการตั้ง “สุสานสาธารณะ” ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายพร้อมแผนบริหารจัดการ หมุดหมายนี้ต้องเกิดจากข้อตกลงที่รับรองพิธีกรรมของทั้งสองกลุ่ม มีแผนบำรุงรักษา และระบบอนุญาตรายกรณีในอนาคต เพื่อไม่ปล่อยให้ความขัดแย้งกลับมาซ้ำเดิม

ภาพรวมในเชิงสังคม คดีเล็กที่สะท้อนโจทย์ใหญ่ของประเทศ

ปมแม่จันสะท้อนโจทย์ใหญ่ที่ไทยกำลังเผชิญ นั่นคือการจัดการความหลากหลายทางวัฒนธรรมบนฐานสิทธิและกฎหมายสมัยใหม่ กฎหมายที่ออกแบบเพื่อความเป็นระเบียบ เช่น พ.ร.บ.สุสานฯ และระบบที่ดิน ส.ป.ก. มีเหตุผลเชิงสาธารณสุขและยุทธศาสตร์เกษตร แต่เมื่อปะทะกับความทรงจำยาวนานของชุมชน ชุดกฎหมายเดียวกันอาจกลายเป็น “ความไม่ยุติธรรมที่มองไม่เห็น” หากไม่มีเวทีรับฟังและกระบวนการปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบท

ดังนั้น ทางออกจึงไม่ใช่ “ชนะ–แพ้” หากคือการยอมรับว่าพื้นที่เกษตรก็เป็นพื้นที่จิตวิญญาณของผู้คน และสุสานก็เป็นสาธารณูปโภคอย่างหนึ่ง ที่ต้องวางแผนเชิงระบบไม่ต่างจากถนนหรือโรงเรียน

วันนี้ คำมั่น “ระงับการขุดหลุมศพ” และแนวคิด “ตั้งสุสานสาธารณะ” ทำให้ความตึงเครียดคลี่ตัวลง แต่โจทย์ใหญ่ยังคงอยู่ ระหว่างกฎหมายที่ดิน, กฎหมายสุสาน, และสิทธิทางวัฒนธรรม การขับเคลื่อนแบบ “สามวงแหวน” ที่ชัดเจน จะช่วยให้เชียงรายสร้างแบบอย่างการอยู่ร่วมต่างวัฒนธรรมที่เป็นธรรม และส่งสัญญาณไปยังพื้นที่อื่นที่มีชุมชนหลากหลายว่า ประเทศไทยสามารถจัดการ “แผนที่จิตวิญญาณ” ของผู้คนได้ด้วยกฎหมายที่เข้าใจมนุษย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • พระราชบัญญัติสุสานและฌาปนสถาน พ.ศ. 2528
  • แนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดิน ส.ป.ก.
  • กฎหมายปกครองและศาลปกครอง
  • ฐานข้อมูลชาติพันธุ์และพิธีกรรมงานศพ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (อิ้วเมี่ยน/เมี่ยน) และเอกสารภาคสนามเกี่ยวกับพิธีศพลาหู่และการเสี่ยงทายไข่
  • Jatenipat JKboy Ketpradit
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News