
เชียงราย ,26 กันยายน 2568 – บริเวณหอประชุมใหญ่ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย บทพิสูจน์ของ “ทุนทางวัฒนธรรม” ที่หยั่งรากในชุมชนได้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธานในพิธีมอบ รางวัลเพชรพระนคร แก่ศิลปินและผู้สร้างสรรค์ผลงานด้านวัฒนธรรมจากเชียงราย 4 ท่าน ครอบคลุมสี่สาขาหลักของมรดกภูมิปัญญา ตั้งแต่วรรณศิลป์ ดุริยางคศิลป์ ทัศนศิลป์ ไปจนถึงศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน โดยโครงการรางวัลนี้เป็นกิจกรรมเชิดชูเกียรติที่ สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร จัดต่อเนื่องถึง ครั้งที่ 7 ประจำปีพุทธศักราช 2568 และมีเกณฑ์การสรรหา-คัดเลือกที่ชัดเจน โปร่งใส ครอบคลุมอย่างน้อย 12 สาขา ของงานวัฒนธรรมร่วมสมัยและดั้งเดิม
จากเวทีจังหวัดสู่เวทีประเทศ
เวลา 09.00 น. เสียงประกาศเชิญผู้มีเกียรติเข้าสู่หอประชุมใหญ่ดังขึ้นอย่างเป็นระเบียบ เจ้าหน้าที่วัฒนธรรมในพื้นที่ทำหน้าที่ประสานงานและอำนวยความสะดวก ผู้รับรางวัลพร้อมครอบครัวและครูช่างชุมชนทยอยเข้าที่นั่ง บรรยากาศยังคงความเรียบง่ายแต่ทรงความหมาย เพราะทุกคนตระหนักว่า “ใบประกาศเกียรติคุณ” บนเวทีคือจุดเริ่มของภารกิจใหม่—การถ่ายทอดองค์ความรู้กลับสู่ชุมชน โดยมีหน่วยงานรัฐระดับจังหวัดทำหน้าที่พี่เลี้ยงและเชื่อมโยงเครือข่ายต่อไป. ข้อมูลเชิงพิธีการ เวลา และสถานที่ ได้รับการสื่อสารทางการผ่านช่องทางของจังหวัดและสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายอย่างชัดเจน
รางวัลเพชรพระนครกรอบสาขาที่ “ครอบคลุมทั้งหน้าฉากและหลังฉาก”
รางวัลเพชรพระนครตั้งต้นจากเจตนารมณ์ “ยกย่องผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม” ครอบคลุมทั้งระดับเยาวชนและประชาชนทั่วไป และแบ่งสาขาย่อยหลากหลาย เช่น ทัศนศิลป์ ดุริยางคศิลป์ วรรณศิลป์ ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน คหกรรมศิลป์ ศาสนาและขนบธรรมเนียม การท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม การส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม การพัฒนาท้องถิ่นและเศรษฐกิจพอเพียง บำเพ็ญประโยชน์และจิตอาสา กีฬาและนันทนาการ รวมถึงสาขาเกี่ยวเนื่องอื่นตามที่ประกาศในปีนั้น ๆ กรอบดังกล่าวสะท้อนวิสัยทัศน์ “ทั้งระบบ” ของงานวัฒนธรรม ที่เห็นคุณค่าทั้งผู้สร้างสรรค์หน้าฉากและผู้ปิดทองหลังพระในโครงสร้างชุมชน
รายชื่อผู้ได้รับการเชิดชูเกียรติจากเชียงรายปี 2568
หมายเหตุ: รายชื่อและสาขาดังกล่าวถูกสื่อสารยืนยันโดยหน่วยงานภาครัฐในระดับจังหวัดและหน่วยงานผู้จัดรางวัล โดยเฉพาะประกาศผลทางการของสำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
จากความภาคภูมิใจสู่โจทย์ “ถ่ายทอด-ต่อยอด” ในพื้นที่
เมื่อเสียงปรบมือสุดท้ายจบลง โจทย์ที่เริ่มต้นทันทีคือ “จะถ่ายทอดอย่างไรให้ถึงมือคนรุ่นใหม่” บทเรียนจากเชียงรายชี้ว่า “การเชิดชู” จะงอกเงย เมื่อมี กลไกการส่งต่อความรู้ ที่เป็นรูปธรรม ได้แก่
มองเชิงนโยบาย นี่คือ Soft Power ฐานราก ที่จับต้องได้—เพราะหนึ่งรางวัล อาจเท่ากับหนึ่งโครงการใหม่ในหมู่บ้านหนึ่งแห่ง ถ้าร้อยรางวัลเชื่อมกัน จะเกิดเครือข่ายการเรียนรู้ทั้งจังหวัด
เชียงรายในภาพกว้างระบบนิเวศวัฒนธรรมที่เกื้อหนุนกัน
จุดแข็งของเชียงรายคือ การทำงานร่วมกันของสถาบันการศึกษา หน่วยงานวัฒนธรรม ผู้นำท้องถิ่น และภาคประชาสังคม การได้รับรางวัลทั้งสี่สาขาในปีนี้ ทำให้ห่วงโซ่คุณค่า (value chain) ของ “ศิลปะ—ความรู้—เศรษฐกิจชุมชน” ครบถ้วน ตั้งแต่งานเขียน (สร้างความคิด) ดนตรี (ขับเคลื่อนการมีส่วนร่วม) ทัศนศิลป์ (ยกระดับภาพลักษณ์) จนถึงหัตถกรรม
ทำไม “กรอบสาขา 12 หมวด” จึงสำคัญต่อมาตรฐานการคัดเลือก
กรอบสาขาที่ชัดเจนคือหลักประกันว่า รางวัลเน้น คุณค่าเชิงสาธารณะ มากกว่าความโด่งดังเฉพาะบุคคล การเปิดพื้นที่ตั้งแต่ ศิลป์ คหกรรม จิตอาสา จนถึงกีฬาและนันทนาการ แปลว่า งานวัฒนธรรมไม่ได้จำกัดเฉพาะ “เวที” หากครอบคลุม “วิถี” อันเป็นเหตุผลที่ชื่อของครูช่าง ผู้จัดการชุมชน หรือครูภูมิปัญญา สามารถปรากฏเคียงข้างศิลปินมืออาชีพได้อย่างภาคภูมิ ทั้งหมดนี้สะท้อนอยู่ในประกาศและคำอธิบายกิจกรรมของหน่วยงานผู้จัด
บทเรียนเชิงนโยบายจากพิธีมอบรางวัลปีนี้
“ราก” ของศิลปินทำให้ “รางวัล” งอกงาม
ในบรรดาผู้รับรางวัล ชื่อของ ฉลอง พินิจสุวรรณ คือภาพสะท้อนว่าฐานรากการศึกษาและการทำงานยาวนานในพื้นที่ภาคเหนือ—ตั้งแต่โรงเรียนสามัคคีวิทยาคมไปจนถึงบทบาทด้านภาษา—คือทุนทางสังคมที่สั่งสมแล้วผลิดอกบนเวทีประเทศ
รางวัลครั้งนี้บอกอะไรกับอนาคตเชียงราย
พิธีมอบ รางวัลเพชรพระนคร ปี 2568 ที่เชียงรายไม่ใช่เพียงไฮไลต์ปลายปี แต่คือ “สัญญาณเริ่มต้น” ของการเดินทางบทใหม่ในพื้นที่—ซึ่งต้องการทั้งพลังสาธารณะและพลังหน่วยงาน หากเดินหน้าตามสามหลักการ “ถ่ายทอด-ต่อยอด-ตรวจสอบได้” รางวัลในวันนี้จะงอกเงยเป็นหลักสูตร เวที และรายได้ของชุมชนในวันพรุ่งนี้ และทำให้ Soft Power ฐานราก ของเชียงรายและล้านนามีน้ำหนักต่อเนื่องบนเวทีประเทศ
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.