
เชียงราย, 6 กันยายน 2568 – เหนือยอดดอยแม่สลอง เสียงฆ้องและกระบอกไม้ไผ่กระทบกันเป็นจังหวะกังวาน ณ ลานพระสยามเทวาธิราช บ้านสามแยกอาข่า ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย บรรยากาศเต็มไปด้วยความปลื้มปีติของชุมชนอาข่า—ชายหญิงแต่งชุดชาติพันธุ์อันวิจิตร สีเงินของเครื่องประดับสะท้อนแดดอ่อนราวประกายแห่งศรัทธา วันนี้คือ “วันสร้างชิงช้า”—วันสำคัญในลำดับพิธีของ เทศกาลโล้ชิงช้า “บ่อฉ่องตุ๊” ที่ชาวอาข่าขนานนามกันมายาวนานว่า “ปีใหม่อาข่า” และพรุ่งนี้ (7 กันยายน) คือวันไคลแมกซ์ที่ทั้งหญิงและชายจะออกมาโล้ชิงช้าอย่างสนุกสนานและสำรวมในคราวเดียวกัน
พิธีเปิดงานปีนี้ได้รับเกียรติจาก นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) เป็นประธาน ท่ามกลางการต้อนรับจากผู้นำชุมชน ผู้แทนหน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายวัฒนธรรมในพื้นที่ ภาพทั้งหมดสะท้อนพลัง “ร่วมจัด–ร่วมอนุรักษ์–ร่วมภาคภูมิใจ” และกำลังผลักเชียงรายให้โดดเด่นขึ้นในฐานะจุดหมายการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่มี “วิถีชนเผ่า” เป็นหัวใจ
พิธีกรรมที่มากกว่างานรื่นเริง บูชาพระแม่โพสพ–กตัญญูบรรพชน–ยกย่องบทบาทสตรี
ตาม ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม เทศกาลโล้ชิงช้าเป็นพิธีกรรมที่จัดปีละครั้งเพื่อบูชา “พระแม่โพสพ” และแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ เป้าหมายลึกซึ้งกว่าการเฉลิมฉลอง คือการทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับผืนดินและข้าวปลาอาหารที่หล่อเลี้ยงชีวิต ตลอดจนร้อยสายใยคนในชุมชนให้แน่นแฟ้น
สัญลักษณ์เด่นที่สุดของงานคือ “การโล้ชิงช้า” ซึ่งถูกมอบความหมายเชิงยกย่องบทบาทของสตรีชาวอาข่า ในเทศกาลนี้หญิงสาวจะสวมชุดประจำเผ่าที่ประดับงานโลหะ ลูกปัด และเครื่องตกแต่งแฮนด์เมดอันละเอียดอ่อน ออกมาโล้ชิงช้าอย่างสง่างาม ถึงพร้อมด้วยความสนุกและกิริยามารยาทที่อยู่บนฐานของมารยาทชุมชน ในสายตาคนนอก นี่คือภาพงดงามทางสุนทรียะ แต่สำหรับชาวอาข่า มันคือ “การประกาศตัวตน”—การสืบสานวิถีชีวิตและบทบาทสตรีที่มีเกียรติในโครงสร้างสังคมของชนเผ่า
แผนงาน 3 พื้นที่—หนึ่งอัตลักษณ์ร่วม
เทศกาลปี 2568 มิได้มีเพียง “บ่อฉ่องตุ๊” แห่งแม่ฟ้าหลวงเท่านั้น หากยังจัดต่อเนื่องในพื้นที่ชุมชนอาข่าชื่อดังของอำเภอแม่สาย ตาม กำหนดการในข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม ดังนี้
แม้จะต่างวันและต่างพื้นที่ แต่ทั้งสามต่างยึดแก่นพิธีเดียวกัน—การสำนึกในบุญคุณผืนดินและบรรพบุรุษพร้อมการเฉลิมฉลองชุมชน รายละเอียดปลีกย่อยในแต่ละชุมชนสะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ผสานอยู่ภายใต้ “รากเดียวกัน” ของอาข่า และนี่คือเสน่ห์ซึ่งนักเดินทางสมัยใหม่ที่มองหาประสบการณ์แท้ (authentic) ให้ความสนใจ
วัตถุประสงค์ชัด 4 ข้อ—โมเดลจัดงานที่วางบนฐานความยั่งยืน
นายปิยะเดช เชิงพิทักษ์กุล นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่สลองใน ย้ำถึงแกนกลางของงานว่า เทศกาลนี้มิใช่เพียง “งานรื่นเริง” แต่คือเครื่องมือสร้างความยั่งยืนให้ชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 4 ประการ
การกำหนดเป้าหมาย “เชิงสังคม–เชิงวัฒนธรรม–เชิงเศรษฐกิจ” ควบคู่กัน ทำให้งานนี้กลายเป็นต้นแบบการใช้วัฒนธรรมสร้างคุณค่าใหม่ (value creation) โดยไม่ทำลายแก่นแท้—ตรงกับหลักคิด “ท่องเที่ยวรับผิดชอบและยั่งยืน” ที่สังคมไทยและโลกกำลังมุ่งไป
กิจกรรมแน่นตลอดสองวัน—จากพิธีกรรมสู่เวทีสร้างสรรค์
ภายในงาน บ่อฉ่องตุ๊ 2568 ชุดกิจกรรมถูกออกแบบให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสทั้งพิธีกรรม วิถีชีวิต และความบันเทิงร่วมสมัย (ข้อมูลจาก ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม) อาทิ
โครงสร้างกิจกรรมแบบ “พิธี–เรียนรู้–สร้างสรรค์–แบ่งปันรายได้” ทำให้งานไม่เพียงดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่ยังคืนรายได้สู่ครัวเรือนชุมชน ตั้งแต่กลุ่มแม่บ้านเครื่องประดับงานปัก ผู้สูงวัยที่เชี่ยวชาญงานฝีมือ ไปจนถึงเยาวชนที่ได้แสดงความสามารถบนเวทีร่วมสมัย
Soft Power ชนเผ่าบนฐานความเคารพ—ทางรอดของท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
เมื่อคำว่า “Soft Power” กลายเป็นยุทธศาสตร์ชาติ การผลักดันให้ วัฒนธรรมชนเผ่าอาข่า ก้าวออกสู่สาธารณะโดย เจ้าของวัฒนธรรมเป็นผู้นำ คือคำตอบที่ถูกทาง เทศกาลโล้ชิงช้า ทำให้โลกเห็น “ทุนทางวัฒนธรรม” ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ตั้งแต่อาหาร เครื่องแต่งกาย พิธีกรรม ดนตรี ไปจนถึงเรื่องเล่าปากต่อปากที่ถ่ายทอดผ่านผู้นำชุมชนและผู้เฒ่าผู้แก่
อย่างไรก็ดี ความสำเร็จด้านภาพลักษณ์ต้องเดินคู่กับ หลักการคุ้มครองมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (intangible cultural heritage) ในเชิงปฏิบัติ—เช่น การกำหนดขอบเขตการถ่ายภาพบางช่วงพิธี การขออนุญาตก่อนบันทึกเสียง–ภาพ การซื้อสินค้า/อาหารจากร้านชุมชนจริง และการแต่งกายสุภาพในการร่วมงาน ทั้งหมดคือ “กติกาแห่งความเคารพ” ที่ทำให้งานเติบโตอย่างมีศักดิ์ศรีและยั่งยืน
เส้นทางสู่ความยั่งยืนข้อเสนอเชิงระบบจากบทเรียนพื้นที่
จากประสบการณ์การจัดงานซ้ำต่อเนื่องในหลายชุมชน ผู้สื่อข่าวสรุป “ข้อเสนอเชิงระบบ” ที่สะท้อนจาก ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม และข้อเท็จจริงหน้างานดังนี้
มาตรการเหล่านี้ไม่ใช่แค่เพื่อ “ความเรียบร้อย” แต่เป็น “ระบบนิเวศ” ที่รักษาสมดุลระหว่างการท่องเที่ยวกับศักดิ์ศรีของวัฒนธรรม
จากลานชิงช้าสู่ความทรงจำร่วมปลายทางของเรื่องเล่า
เมื่อเสาสูงทั้งสี่ถูกผูกเข้าหากันเป็นชิงช้าขนาดใหญ่ และเชือกเส้นสุดท้ายถูกขึงตึงโดยมือของผู้อาวุโส—เสียงโห่ร้องของเด็ก ๆ คลอไปกับบทสวดสั้น ๆ ในภาษาชุมชน พรุ่งนี้คือวันสุดท้ายของพิธีในปีนี้ วันที่ทั้งหญิงและชายจะได้ “โล้ชิงช้า” ร่วมกันตามครรลอง เป็นการปิดพิธีอย่างรื่นเริงและสำรวมในคราเดียวกัน
ในมุมของนักเดินทาง นี่คือเทศกาลที่ “ต้องไปให้เห็นด้วยตา” สักครั้งหนึ่งในชีวิต แต่ในมุมของชุมชนอาข่า มันคือ “ชีวิตประจำปี” ที่กลับมาเติมเต็มความทรงจำร่วมของผู้คน—ยืนยันว่ารากเหง้าที่ยืนหยัดอยู่บนดอยสูงยังคงแข็งแรง และพร้อมส่งต่อสู่สายตาโลกด้วยภาษาวัฒนธรรมของตนเอง
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.