
เชียงราย, 22 พฤษภาคม 2568 – สถานการณ์การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก บริเวณบ้านรวมมิตร ตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ได้สร้างความเดือดร้อนอย่างหนักต่อชุมชนท้องถิ่นและผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะปางช้างกะเหรี่ยงรวมมิตรที่ต้องเผชิญกับรายได้ที่ลดลงอย่างมากถึง 80% จากการยุติกิจกรรมท่องเที่ยวทางน้ำ ภาคธุรกิจ หอการค้า สภาอุตสาหกรรม รวมถึงตัวแทนโรงแรมและร้านอาหารในพื้นที่ ได้รวมตัวกันเพื่อระดมความคิดและหารือแนวทางแก้ไขปัญหา ขณะที่ชาวบ้านเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานระหว่างประเทศเร่งดำเนินการจัดการต้นตอของมลพิษ เพื่อฟื้นฟูแม่น้ำกกและคืนความมั่นใจให้กับชุมชนและนักท่องเที่ยว
แม่น้ำกกจากสายน้ำแห่งชีวิตสู่ภาวะวิกฤต
แม่น้ำกกเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของชาวเชียงรายมานานนับศตวรรษ ตั้งแต่การเกษตร การประมง ไปจนถึงการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในชุมชนบ้านรวมมิตร ตำบลแม่ยาว ซึ่งเป็นที่ตั้งของปางช้างกะเหรี่ยงรวมมิตร อันเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ กิจกรรมนั่งช้างลุยน้ำและล่องแพในแม่น้ำกกเคยเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดผู้มาเยือน สร้างรายได้ให้กับชุมชนและผู้ประกอบการท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 ชาวบ้านในพื้นที่เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของแม่น้ำกก น้ำที่เคยใสสะอาดกลับขุ่นข้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะบริเวณบ้านรวมมิตร ซึ่งภาพถ่ายมุมสูงเผยให้เห็นความแตกต่างระหว่างน้ำขุ่นในแม่น้ำกกกับลำห้วยสาขาที่ใสกว่า ความกังวลทวีคูณเมื่อผลการตรวจคุณภาพน้ำยืนยันว่ามีสารหนูปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน สร้างความตื่นตระหนกให้กับชุมชนที่พึ่งพาแม่น้ำในการดำรงชีวิต
เหตุการณ์ในเดือนเมษายน 2568 ยิ่งตอกย้ำความรุนแรงของปัญหา เมื่อควาญช้างจากปางช้างกะเหรี่ยงรวมมิตรนำช้างไปอาบน้ำในแม่น้ำกก หลังจากนั้นเพียง 2–3 วัน ช้างเกิดผื่นและตุ่มใสติดเชื้อจนกลายเป็นแผล ขณะที่ควาญช้างเองก็มีอาการผื่นและแผลบริเวณหัวเข่า ชาวบ้านในชุมชนเริ่มหวาดกลัวว่าสารพิษในน้ำอาจซึมเข้าสู่บ่อน้ำตื้นที่ใช้ในการอุปโภคและบริโภค ส่งผลให้วิถีชีวิตและเศรษฐกิจของชุมชนต้องหยุดชะงัก
ผลกระทบรุนแรงและการรวมตัวของชุมชน
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ตัวแทนจากชุมชนบ้านรวมมิตร ภาคธุรกิจ หอการค้าจังหวัดเชียงราย สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงราย รวมถึงผู้ประกอบการโรงแรมและร้านอาหาร ได้รวมตัวกันที่ปางช้างกะเหรี่ยงรวมมิตร เพื่อหารือถึงผลกระทบจากมลพิษในแม่น้ำกกและแนวทางแก้ไขปัญหา การประชุมครั้งนี้สะท้อนถึงความเดือดร้อนที่ครอบคลุมทุกภาคส่วน ตั้งแต่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวไปจนถึงชาวบ้านที่สูญเสียอาชีพจากการหาปลาและการเกษตร
นายสีทน คำแปง ผู้จัดการปางช้างกะเหรี่ยงรวมมิตร เปิดเผยว่า นักท่องเที่ยวลดลงกว่า 80% เนื่องจากต้องยุติกิจกรรมนั่งช้างลุยน้ำและล่องแพในแม่น้ำกก ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการท่องเที่ยวในพื้นที่ การยกเลิกการจองที่พักและกิจกรรมท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปางช้างต้องลดจำนวนช้างจากเดิม 15 เชือก เหลือเพียง 9 เชือก และยังต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการใช้น้ำประปาภูเขาและน้ำบาดาลแทนน้ำจากแม่น้ำกก การจำกัดปริมาณน้ำที่ช้างดื่มจากเดิมครั้งละ 12–15 คำ (คำละ 8–10 ลิตร) เหลือเพียง 5–6 คำ ส่งผลต่อสุขภาพของช้างและเพิ่มความยากลำบากในการดูแล
“ช้างคือสมาชิกในครอบครัวของเรา ถ้าเป็นธุรกิจทั่วไปคงเลิกไปนานแล้ว แต่เรายังต้องสู้เพื่อช้างและชุมชน” นายสีทนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขายังเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐเร่งเจรจากับแหล่งที่มาของมลพิษ ซึ่งคาดว่ามาจากเหมืองทองและแรร์เอิร์ธในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา เพื่อหยุดยั้งการปล่อยสารพิษลงสู่แม่น้ำกก
ในส่วนของผู้ประกอบการร้านอาหาร นางสาวจันทร์จิรา สุวรรณวงศ์ เจ้าของร้านชีวิตธรรมดา ในอำเภอเมืองเชียงราย เปิดเผยว่า ร้านต้องเปลี่ยนแหล่งซื้อผักจากชุมชนริมแม่น้ำกกมาเป็นผักจากห้างสรรพสินค้า เนื่องจากลูกค้ากังวลเรื่องสารปนเปื้อนในผลผลิตทางการเกษตร ส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มขึ้นและรายได้ลดลง ขณะที่โรงแรมริมแม่น้ำกกเผชิญกับปัญหาคล้ายกัน โดยต้องใช้น้ำประปาและน้ำบาดาลในการรดต้นไม้และดูแลสวน แทนน้ำจากแม่น้ำกก ซึ่งเพิ่มค่าใช้จ่ายอย่างมีนัยสำคัญ
“นักท่องเที่ยวลดลง เพราะไม่มีใครอยากมาเมืองที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพ” นายวรวิทย์ จันทร์ประดิษฐ์ ผู้จัดการโรงแรมแห่งหนึ่งริมแม่น้ำกก กล่าวถึงสถานการณ์ที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของเชียงรายในฐานะเมืองท่องเที่ยว
ชาวบ้านในชุมชนบ้านรวมมิตรและบ้านผาเสริฐ ซึ่งพึ่งพาแม่น้ำกกในการทำประมงและเกษตรกรรม ก็ได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน นางจินดา อิ่นคำ ชาวบ้านป่าอ้อแม่ยาว กล่าวว่า เธอและชาวบ้านต้องหยุดหาปลาในแม่น้ำกกมากว่า 2 เดือน เนื่องจากไม่มีผู้ซื้อกล้าเสี่ยงบริโภคปลาจากแหล่งน้ำที่ปนเปื้อน ส่งผลให้ต้องเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่น เช่น ขายของในตลาด ซึ่งไม่สามารถทดแทนรายได้เดิมได้อย่างเต็มที่
การเคลื่อนไหวของภาคประชาชนและความหวังในการฟื้นฟู
เพื่อรับมือกับวิกฤตครั้งนี้ เทศบาลตำบลแม่ยาวได้ดำเนินการเร่งด่วนโดยติดตั้งป้ายเตือนห้ามสัมผัสน้ำในแม่น้ำกกและห้ามจับปลามาบริโภค พร้อมแจกจ่ายแนวทางปฏิบัติให้ประชาชนทราบถึงความเสี่ยงของสารหนู ขณะที่ภาคประชาชนเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
อาจารย์นิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของและผู้อำนวยการสถาบันองค์ความรู้ท้องถิ่นโฮงเฮียนแม่ของ ได้จัดกิจกรรมรับฟังข้อมูลจากภาคประชาชนในวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 ณ สวนตุงและโคมนครเชียงราย ภายในงานเทศกาลถนนคนเดิน เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุและผลกระทบของมลพิษในแม่น้ำกก นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมจัดกิจกรรมใหญ่ในวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ณ สนามหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีกำหนดการจัดนิทรรศการ การแสดงพลังผ่านการถือป้าย พิธีสืบชะตาแม่น้ำกก และพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รวมถึงการยื่นหนังสือต่อรัฐบาลไทย สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อเรียกร้องให้รับทราบและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
อาจารย์นิวัฒน์ยังเชิญชวนประชาชนร่วมติดริบบิ้นสีเขียวที่รถหรือสถานที่ต่างๆ เพื่อแสดงพลังในการเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหา การเคลื่อนไหวครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากชุมชนท้องถิ่น องค์กรพัฒนาเอกชน และนักวิชาการที่เห็นถึงความจำเป็นในการปกป้องแม่น้ำกก ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญของจังหวัดเชียงราย
ในระดับนานาชาติ คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ไทย-เมียนมา ซึ่งมีแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธาน มีกำหนดประชุมในเดือนกรกฎาคม 2568 เพื่อหารือกับฝ่ายเมียนมาเกี่ยวกับผลกระทบจากเหมืองในรัฐฉาน ซึ่งคาดว่าเป็นแหล่งที่มาหลักของมลพิษ การประชุมครั้งนี้จะเป็นโอกาสสำคัญในการผลักดันให้มีการควบคุมหรือปรับปรุงวิธีการทำเหมือง เพื่อลดการปล่อยสารพิษลงสู่แม่น้ำกก
ผลลัพธ์และความท้าทาย
การรวมตัวของชุมชนและภาคธุรกิจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือในการแก้ไขวิกฤตมลพิษในแม่น้ำกก ผลลัพธ์ที่สำคัญ ได้แก่:
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขวิกฤตนี้ยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ:
เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติมดังนี้:
สถิติและแหล่งอ้างอิง
เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของปัญหามลพิษในแม่น้ำกก ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.