AOT ขึ้นค่า PSC ดันไทยสู่ Aviation Hub เปิดมุมสนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย กับโจทย์ใหม่ “บริการต้องดีขึ้น แค่ไหน? ถึงจะคุ้ม 390 บาท”

เชียงราย, 5 ธันวาคม 2568 – การตัดสินใจของคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) ให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ปรับขึ้นค่าบริการผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ (Passenger Service Charge: PSC) จาก 730 บาท เป็น 1,120 บาทต่อคน หรือเพิ่มขึ้น 390 บาท นับเป็นหนึ่งในมาตรการด้านโครงสร้างราคาที่ถูกจับตามองมากที่สุดของอุตสาหกรรมการบินไทยในรอบหลายปี

แม้ข่าวใหญ่จะถูกโฟกัสไปที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในฐานะ “หัวใจหลัก” ของแผนลงทุนมูลค่ากว่า 170,000 ล้านบาท แต่ในมุมของประชาชนและผู้ประกอบการในภูมิภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย คำถามสำคัญคือ – การปรับขึ้น PSC ครั้งนี้จะสะท้อนอย่างไรต่ออนาคตของ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) และเศรษฐกิจชายแดนในพื้นที่

บทความนี้จึงชวนผู้อ่านมอง “ภาพใหญ่ของประเทศ” ควบคู่กับ “ภาพใกล้ของเชียงราย” เพื่อทำความเข้าใจว่า 390 บาทที่เพิ่มขึ้นต่อหนึ่งที่นั่ง ไม่ได้เป็นแค่ตัวเลขในตั๋วเครื่องบิน แต่สัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับทิศทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การแข่งขันด้านการท่องเที่ยว และคุณภาพการเดินทางของประชาชนในระยะยาว

มติ กบร. ขยับ PSC ต่างประเทศ 390 บาท ระดมรายได้ปีละกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท

จากมติการประชุมคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) ครั้งที่ 3/2568 ซึ่งมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการให้ AOT ปรับขึ้นค่า PSC สำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศในท่าอากาศยาน 6 แห่งในความรับผิดชอบของ AOT ได้แก่

  • ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
  • ท่าอากาศยานดอนเมือง
  • ท่าอากาศยานภูเก็ต
  • ท่าอากาศยานเชียงใหม่
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
  • ท่าอากาศยานหาดใหญ่

โดยอัตราใหม่มีรายละเอียดดังนี้

  • อัตราเดิม: 730 บาทต่อผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ
  • อัตราใหม่: 1,120 บาทต่อผู้โดยสาร
  • ส่วนต่างที่เพิ่มขึ้น: 390 บาทต่อคน
  • เส้นทางภายในประเทศ: ยังคงอัตราเดิมที่ 130 บาทต่อคน

จากการประเมินเบื้องต้น AOT คาดว่าการปรับขึ้น PSC จะช่วยสร้างรายได้เพิ่มราว 13,650 ล้านบาทต่อปี เพื่อใช้รองรับแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสนามบิน โดยเฉพาะโครงการใหญ่ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อาทิ

  1. การขยายส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออก (East Expansion) เพื่อเพิ่มศักยภาพรองรับผู้โดยสารเป็นราว 80 ล้านคนต่อปี
  2. แผนแม่บท “South Development” ซึ่งครอบคลุมการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ (South Terminal) และรันเวย์เส้นที่ 4 รวมวงเงินลงทุนกว่า 170,000 ล้านบาท

ตามกรอบกฎหมาย รายได้จากค่า PSC จะถูกนำไปใช้เฉพาะเพื่อการพัฒนาท่าอากาศยานเท่านั้น ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งอำนวยความสะดวก และระบบความปลอดภัยให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ไม่สามารถนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากการบริหารและพัฒนาสนามบินได้

อย่างไรก็ดี ก่อนการจัดเก็บอัตราใหม่ในเดือนเมษายน 2569 AOT ยังต้องจัดทำเอกสารชี้แจงต่อสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และแจ้งประชาชนล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 4 เดือน เพื่อให้ผู้โดยสารและสายการบินสามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสม

ด้านหนึ่ง “ลงทุนครั้งใหญ่” อีกด้านหนึ่ง “ตั๋วแพงขึ้น” – สมการที่สังคมต้องชั่งน้ำหนัก

ในมุมของรัฐ การปรับขึ้น PSC ถูกอธิบายว่าเป็น “กลไกจำเป็น” เพื่อรองรับต้นทุนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ความคาดหวังด้านมาตรฐานบริการและความปลอดภัยจากผู้โดยสารและสายการบินก็สูงขึ้นตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้โดยสาร ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น 390 บาทในตั๋วเครื่องบินระหว่างประเทศต่อหนึ่งที่นั่ง ย่อมถูกตั้งคำถามว่า – เมื่อจ่ายมากขึ้นแล้ว สนามบินจะ “ดีขึ้นแค่ไหน” และ “เชียงรายจะได้อะไรกลับมา” นอกจากตัวเลขในงบลงทุนส่วนกลาง

คำถามนี้ยิ่งชัดเจนในพื้นที่ภูมิภาคที่ต้องการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติและพัฒนาการบินระหว่างประเทศของตนเอง เช่น เชียงราย ที่กำลังพยายามยกระดับสนามบินแม่ฟ้าหลวงให้เป็นประตูสำคัญของการท่องเที่ยวลุ่มน้ำโขงและภาคเหนือฝั่งตะวันออก

 

สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย จากประตูท่องเที่ยวสู่ฟันเฟือง Aviation Hub

แม้รายละเอียดเชิงเทคนิคของแผนลงทุนในแต่ละท่าอากาศยานจะยังอยู่ระหว่างการจัดสรรอย่างเป็นทางการ แต่ในกรอบใหญ่ AOT ระบุชัดว่า รายได้จาก PSC ที่เพิ่มขึ้นจะถูกใช้ “พัฒนาและยกระดับท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง” ภายใต้เป้าหมายเดียวกัน คือ ดันประเทศไทยสู่การเป็น Aviation Hub ของภูมิภาคเอเชีย

สำหรับท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) บทบาทของสนามบินไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเป็นจุดรับ-ส่งผู้โดยสารในจังหวัดเท่านั้น หากยังเป็น “ประตูเชื่อม” สำหรับ

  • นักท่องเที่ยวต่างชาติจากจีนตอนใต้ ลาว เมียนมา และประเทศในลุ่มน้ำโขง
  • ชาวเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียงที่ใช้สนามบินเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางระหว่างประเทศผ่านเส้นทางต่อเครื่อง
  • การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ วัฒนธรรม และชายแดน ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญของเชียงราย

ในช่วงก่อนหน้านี้ มีการพูดถึงแนวทางการขยายศักยภาพของสนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ให้รองรับผู้โดยสารระดับ 6–8 ล้านคนต่อปี ควบคู่กับการจัดระเบียบพื้นที่ เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย หากรายได้จาก PSC ส่วนหนึ่งถูกนำมาใช้ต่อยอดโครงการเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรม สนามบินเชียงรายจะมีโอกาสยกระดับบทบาทจาก “สนามบินปลายทาง” สู่การเป็น “จุดเชื่อมต่อ” สำคัญในโครงข่ายการบินภาคเหนือ

ในอีกด้านหนึ่ง การลงทุนที่เพิ่มขึ้นยังสัมพันธ์กับความสามารถในการดึงสายการบินใหม่ เส้นทางการบินตรงสู่เมืองหลักในภูมิภาค และการจัดเที่ยวบินเช่าเหมาลำในฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งล้วนส่งผลต่อรายได้ของผู้ประกอบการท่องเที่ยวในจังหวัดและพื้นที่โดยรอบอย่างมีนัยสำคัญ

แรงกดดันใหม่ต่อผู้โดยสารระหว่างประเทศของเชียงราย

แม้โครงสร้างค่า PSC เป็นเพียงส่วนหนึ่งของราคาตั๋วเครื่องบินโดยรวม แต่เมื่อรวมกับต้นทุนเชื้อเพลิง ค่าภาษีสนามบินประเทศปลายทาง และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ก็ทำให้การเดินทางทางอากาศอาจมีต้นทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้โดยสารที่เดินทางระหว่างประเทศจากสนามบินภูมิภาคอย่างเชียงรายที่มีเที่ยวบินตรงต่างประเทศยังไม่หนาแน่นเท่าสนามบินหลัก

ในมิติหนึ่ง ผู้โดยสาร “กลุ่มฐานกว้าง” ที่ต้องการตั๋วราคาประหยัดอาจหันไปใช้สนามบินอื่นที่มีทางเลือกมากกว่า หรือเลือกการเดินทางข้ามแดนผ่านด่านทางบก เช่น แม่สาย–ท่าขี้เหล็ก หรือด่านเชียงของ เพื่อลดต้นทุนการเดินทาง ในขณะที่กลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงและกลุ่มธุรกิจอาจยังมองว่าค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น “ยอมรับได้” หากบริการในสนามบินดีขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งด้านความสะดวก ความรวดเร็ว และความปลอดภัย

ดังนั้น สำหรับสนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย โจทย์สำคัญจึงไม่ใช่เพียงการ “รองรับ” มติเรื่อง PSC แต่คือการแปลงเม็ดเงินลงทุนให้กลับมาในรูปแบบของประสบการณ์ที่ผู้โดยสาร “รู้สึกได้” ว่าแตกต่างจากเดิม

เคลียร์ปม King Power ก่อนเดินหน้าแผนใหญ่

ในเวลาใกล้เคียงกัน คณะกรรมการ AOT ยังมีมติเห็นชอบแนวทางแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (Duty Free) กับบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) ในท่าอากาศยาน 5 แห่ง ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่

แม้สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย จะไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่มีการแก้ไขสัญญาดิวตี้ฟรีในรอบนี้โดยตรง แต่การจัดระเบียบโครงสร้างรายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสนามบิน เช่น ค่าผลประโยชน์ขั้นต่ำ (Minimum Guarantee) และส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) ก็มีผลต่อ “ภาพรวมการเงิน” ของ AOT ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้บริหารสนามบินเชียงรายโดยตรง

นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ AOT ระบุชัดว่า บริษัทจะ “เรียกเก็บผลประโยชน์ในอัตราที่สูงสุด” โดยเปรียบเทียบระหว่างรายได้จากส่วนแบ่ง และรายได้ขั้นต่ำในทุกท่าอากาศยาน พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์เพิ่มปริมาณผู้โดยสารเพื่อให้ระดับการใช้สนามบินแตะเป้าหมายตามสัญญาให้เร็วที่สุด

เมื่อโครงสร้างรายได้ของ AOT ทั้งจาก PSC และธุรกิจดิวตี้ฟรี ถูกวางให้มีเสถียรภาพมากขึ้น สนามบินในภูมิภาคอย่างแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ย่อมมีโอกาสได้รับอานิสงส์จากการจัดสรรงบลงทุนอย่างต่อเนื่องมากกว่าช่วงที่องค์กรต้องแบกรับความไม่แน่นอนด้านรายได้

เสียงจากฝั่งนักวิเคราะห์ ข่าวดีในระยะยาว แต่ตลาดรับรู้ไปแล้ว

บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า รายได้ที่ AOT จะได้รับจากการเจรจาเรื่องดิวตี้ฟรีกับ King Power เฉลี่ยอยู่ที่ราว 6,000–7,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขที่เคยถูกคาดการณ์ในตลาดราว 8,000 ล้านบาทต่อปี จึงยังเป็นปัจจัยจำกัดต่อการประเมินมูลค่าหุ้นในมุมหนึ่ง

อย่างไรก็ดี การปรับขึ้น PSC อีก 390 บาทต่อคน ถือว่า “สูงกว่ากรณี Best Case” ที่นักวิเคราะห์บางส่วนเคยประเมินไว้ที่ราว 300 บาทต่อคน ทำให้มีผลเชิงบวกต่อมูลค่าพื้นฐานของหุ้น AOT เพิ่มขึ้นอีกราว 3–4 บาทต่อหุ้นในเชิงประมาณการ แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นล่วงหน้าก่อนหน้าข่าวอย่างมีนัยสำคัญแล้วก็ตาม

สำหรับประชาชนในฐานะ “ผู้ใช้บริการสนามบิน” มากกว่า “ผู้ลงทุนในตลาดทุน” ประเด็นสำคัญจึงอาจไม่ใช่ราคาหุ้น AOT แต่คือคำถามว่า – รายได้ที่เพิ่มขึ้นทั้งจากดิวตี้ฟรีและ PSC จะถูกแปลงเป็นบริการที่จับต้องได้อย่างไรในสนามบินที่ตนเองใช้งาน โดยเฉพาะสนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ที่เป็นฐานหลักของคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวที่หลงใหลธรรมชาติและวัฒนธรรมของเชียงราย

โอกาสและความท้าทายของสนามบินเชียงราย หลังเมษายน 2569

เมื่ออัตรา PSC ใหม่เริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายน 2569 สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย จะต้องเผชิญทั้ง “โอกาส” และ “ความท้าทาย” ในเวลาเดียวกัน

โอกาส

  1. มีปัจจัยรองรับการขอจัดสรรงบลงทุนเพื่อปรับปรุงอาคารผู้โดยสาร ระบบรักษาความปลอดภัย และสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อเตรียมความพร้อมต่อการขยายตัวของผู้โดยสารสู่ระดับ 6–8 ล้านคนต่อปีในอนาคต
  2. มีศักยภาพในการดึงสายการบินระหว่างประเทศใหม่ ๆ เข้ามาเปิดเส้นทางตรง หากสามารถสร้างความเชื่อมั่นด้านมาตรฐานสนามบินและศักยภาพการรองรับผู้โดยสาร
  3. เสริมภาพลักษณ์ของเชียงรายในฐานะ “จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวคุณภาพ” ที่เชื่อมต่อได้สะดวกทั้งจากกรุงเทพฯ เมืองหลักในประเทศ และเส้นทางระหว่างประเทศในอนาคต

ความท้าทาย

  1. ต้องบริหารภาพลักษณ์ไม่ให้ประชาชนรู้สึกว่า “ค่าตั๋วสูงขึ้น แต่บริการยังเหมือนเดิม” โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่านที่โครงการลงทุนยังอยู่ระหว่างดำเนินการ
  2. ต้องวางแผนร่วมกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวและสายการบิน เพื่อให้ผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไม่กระทบต่อการตัดสินใจเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยจนเกินไป
  3. ต้องรักษาสมดุลระหว่างการพัฒนา “บริการเชิงพาณิชย์” (เช่น ร้านค้า พื้นที่พาณิชย์) กับ “บริการสาธารณะพื้นฐาน” (เช่น พื้นที่นั่งรอ ห้องน้ำ ระบบขนส่งเชื่อมต่อสนามบิน–ตัวเมือง) เพื่อไม่ให้ภาพรวมกลายเป็นสนามบินที่ถูกมองว่าเน้นเชิงธุรกิจเกินไป

390 บาทที่มากกว่า “ค่าธรรมเนียม” แต่คือคำถามต่อคุณภาพระบบสาธารณสุขทางอากาศของประเทศ

การปรับขึ้นค่า PSC ครั้งนี้อาจถูกมองได้สองมุมพร้อมกัน –

  • ในมุมหนึ่ง เป็น “ความจำเป็น” ทางการคลังและการลงทุน เพื่อไม่ให้สนามบินไทยหยุดนิ่งหรือด้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่เดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง
  • แต่อีกมุมหนึ่ง ก็เป็น “เครื่องทดสอบความเชื่อมั่น” ของประชาชน ว่าเม็ดเงินที่จ่ายเพิ่มในทุกเที่ยวบิน จะถูกแปลงกลับมาเป็นประสบการณ์การเดินทางที่ดีขึ้น มั่นคงขึ้น และปลอดภัยขึ้นจริงเพียงใด

สำหรับสนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย การเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบายครั้งนี้อาจไม่ใช่เพียงเรื่องของตัวเลข 390 บาท แต่คือบททดสอบว่าเชียงรายจะก้าวขึ้นมาใช้ “โอกาสจากนโยบายส่วนกลาง” เพื่อยกระดับสนามบินให้เป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ได้มากแค่ไหน

คำตอบสุดท้ายอาจไม่อยู่บนเวทีแถลงข่าว หากแต่อยู่ในสายตาของผู้โดยสารที่ก้าวผ่านประตูสนามบินเชียงรายทุกเที่ยวบิน ตั้งแต่เมษายน 2569 เป็นต้นไป

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การประชุมคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) ครั้งที่ 3/2568 – กระทรวงคมนาคม / คณะกรรมการการบินพลเรือน
  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
  • บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME