
เชียงราย,8 พฤศจิกายน 2568 – จังหวัดเชียงรายประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน กำหนดกรอบ “ห้ามเผาในที่โล่งทุกชนิด” ปี 2569 ตั้งแต่ 14 กุมภาพันธ์ถึง 10 พฤษภาคม (ประมาณ 86 วัน) เพื่อคุมเชื้อเพลิงตั้งแต่ต้นฤดูแล้ง ตั้งเป้าลดจำนวนวันที่ค่า PM2.5 เกินมาตรฐานลง 15–30% พร้อมลดจุดความร้อนและพื้นที่เผาไหม้ลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยอาศัยบทเรียนปี 2568 ที่เชียงรายลดฮอตสปอตได้มากกว่า 80% ขณะเดียวกัน “สภาลมหายใจเชียงราย” ย้ำรัฐต้องรื้อโครงสร้างจากคำสั่งเฉพาะกิจเป็นระบบถาวร เพิ่มงบ อปท. ติดเซนเซอร์คุณภาพอากาศระดับตำบล และจัดการเผาอย่างโปร่งใสตามมาตรฐานเดียวกัน
ทำไม “เริ่มเร็ว–คุมเข้ม” ถึงสำคัญกับเชียงราย
ในพื้นที่สูงภาคเหนือ ไฟป่าและหมอกควันวนกลับมาเป็นวัฏจักรทุกฤดูแล้ง การเริ่ม “ห้ามเผา” ให้เร็วขึ้นคือการขังเชื้อเพลิงตั้งแต่ต้นฤดู เพื่อไม่ให้ไฟลุกลามช่วงมีลมแรงและความชื้นสัมพัทธ์ต่ำในเดือนมีนาคม–เมษายน ซึ่งเป็นหน้าวิกฤตสุดของปี การตัดสินใจของจังหวัดเชียงรายให้เริ่มช่วงห้ามเผาตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2569 จึงสะท้อนยุทธศาสตร์ “ตัดไฟแต่ต้นลม” ต่างจากปีก่อนๆ ที่เริ่มช้ากว่านี้ และสอดรับกับข้อเท็จจริงเชิงพื้นที่ที่เชียงรายเป็นจังหวัดชายแดน รับอิทธิพลฝุ่นข้ามแดนและไฟป่าปะทุในป่าสงวน/ป่าอนุรักษ์จำนวนมาก หากคุมต้นฤดูได้ ความรุนแรงปลายฤดูก็จะ “ฟุบ” ลงตามสมมติฐานแบบจำลองการลุกไหม้ที่หน่วยงานด้านภูมิสารสนเทศใช้อ้างอิง (GISTDA รายงานการติดตามพื้นที่เสี่ยงอย่างต่อเนื่องและเผยแพร่ผ่านแดชบอร์ด FireD; ข้อมูลนี้ถูกใช้ในการวางแนวกันไฟและบริหารเชื้อเพลิงในพื้นที่จริง)
บทสรุปผู้บริหาร (Executive Summary)
ภาพรวมสถานการณ์ ตัวเลขเล่าเรื่อง
จาก “บทเรียนปีที่แล้ว” สู่ยุทธศาสตร์ 2569 เริ่มเร็ว–บังคับใช้จริง–เชื่อมโยงฐานข้อมูล
การขยาย “หน้าต่างห้ามเผา” เป็น 14 ก.พ. – 10 พ.ค. 2569 ทำให้จังหวัดมีเวลาบังคับใช้ยาวพอที่จะคุมต้นฤดูและคุมปลายฤดูร่วมกัน แนวทางนี้พ้องกับหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าการควบคุมช่วงต้นฤดูช่วยลด “คลื่นไฟ” ช่วงพีก และลดโอกาสเกิด “ซูเปอร์ไฟ” ในป่าสงวน/อนุรักษ์ (ที่ดับยากกว่าและกินพื้นที่มากกว่า) ซึ่งสอดรับกับสิ่งที่หลายจังหวัดภาคเหนือทำในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา โดยอาศัยข้อมูลฮอตสปอตสดจากระบบดาวเทียม (VIIRS/FIRMS) และแดชบอร์ด FireD ของ GISTDA ในการตัดสินใจระดับปฏิบัติการแต่ละวัน
ในด้านการสื่อสารกับประชาชน การกำหนด KPI ที่ “พูดภาษาเดียวกับสาธารณะ” เช่น จำนวนวัน PM2.5 เกินมาตรฐาน ถือเป็นความคืบหน้า เพราะประชาชนเข้าใจผลกระทบได้ทันที ไม่ต้องแปลศัพท์เทคนิค ขณะเดียวกัน จังหวัดยังคงต้องสื่อสาร “ผลกระทบทางปกครอง–เศรษฐกิจ” ต่อผู้ฝ่าฝืน (โดยเฉพาะการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมช่วงวิกฤต) ให้ชัดเจนและ “ทำจริง” เชื่อมมาตรการจังหวัดกับกรอบนโยบายระดับชาติที่เคยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือด้านการบังคับใช้ (แม้ประกาศจะอัปเดตทุกปี แต่หลักคิดเรื่องช่วงงดเผาและบทลงโทษ/ตัดสิทธิ์ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือหลัก)
เสียงภาคประชาชน “รื้อโครงสร้าง–เติมงบ–ข้อมูลโปร่งใส”
“สภาลมหายใจเชียงราย” และเครือข่ายภาคเหนือ เสนอ 7 แกนหลัก ได้แก่ (1) กำหนดแนวทางเดียว “ห้ามเผาเด็ดขาด” หรือ “จัดการเชื้อเพลิงแบบลงทะเบียน” ลดความสับสนหน่วยงาน, (2) เตรียมระบบ–คนล่วงหน้า, (3) งบบูรณาการต้องทันเวลา, (4) คุม “ชิงเผา” ด้วยมาตรฐานเดียว–ห้ามเผากลางคืน–เปิดข้อมูลต่อสาธารณะ, (5) อุดหนุนงบ อปท. ครบทุกพื้นที่เสี่ยง, (6) ขยายสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศระดับตำบล (DustBoy/Air Sensor) และเปิดข้อมูลเรียลไทม์, (7) ทำยุทธศาสตร์ Airshed ข้ามจังหวัด–ข้ามแดน รับมือฝุ่นข้ามพรมแดน เสนอเชิงนโยบายเหล่านี้สอดรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในภาคสนามตลอดหลายปี ซึ่งมักติด “คอขวด” ที่งบกลางล่าช้า เครื่องมือแทนการเผายังไม่พอ และข้อมูลคุณภาพอากาศระดับหมู่บ้านยังไม่ครอบคลุมเท่าที่ควร
ความท้าทาย 3 ด้านที่เชียงรายต้องข้ามให้พ้นในฤดู 2569
1) จาก “กดจุดไฟ” สู่ “ลดพื้นที่ลุกลาม”
บทเรียน 2568 บอกชัดว่า เชียงรายทำได้ดีมากในการกดจำนวนฮอตสปอตให้ต่ำลง แต่พื้นที่เผาไหม้รวมลดลงไม่มากเท่าที่หวัง แปลว่าทุกครั้งที่ไฟเกิด มักลุกลามกินพื้นที่กว้าง โดยเฉพาะในป่าสงวน/อนุรักษ์และพื้นที่ไร่หมุนเวียน การแก้สมการนี้จึงต้องเร่ง “จัดการเชื้อเพลิงเชิงรุก” ก่อนเข้าหน้าห้ามเผา เช่น แนวกันไฟในจุดเสี่ยงของอำเภอเวียงแก่น เวียงป่าเป้า พาน การชุ่มชื้นเชื้อเพลิงด้วยฝายชะลอน้ำ และยกระดับ “ยุทธวิธีดับไฟ” ให้ลดเวลาเฉลี่ยเข้าควบคุมเพลิง พร้อมตัวชี้วัดใหม่อย่าง “พื้นที่ไหม้เฉลี่ยต่อเหตุ” (Average Burned Area/Incident) เพื่อปรับยุทธวิธีแบบรายพื้นที่แทนการใช้มาตรการเดียวทั้งจังหวัด (ข้อมูลภาพรวมปี 2568 ที่เผยแพร่ต่อสาธารณะยืนยันว่าพื้นที่ป่าเป็นสัดส่วนใหญ่ของพื้นที่ไหม้ และบางหมวดเพิ่มขึ้น)
2) บังคับใช้เชิงปกครองในภาคเกษตรอย่างจริงจัง
กรอบกฎหมายส่วนกลางเคยประกาศ “งดเผา” พร้อมบทลงโทษตัดสิทธิประโยชน์รัฐแก่ผู้ฝ่าฝืน ซึ่งเป็น “คันโยก” ทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมที่สำคัญ จังหวัดควรเชื่อมเข้ากับข้อมูลฮอตสปอต–พิกัดแปลงเกษตร เพื่อให้การเตือน–บันทึก–ตัดสิทธิ์ มีน้ำหนักและเป็นธรรม เชื่อมโยงฐานข้อมูลระหว่างปภ., เกษตรจังหวัด, ป่าไม้, และกรมการค้าต่างประเทศในกรณีนโยบายการค้าเกษตรที่เกี่ยวข้อง (ในช่วงที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศที่วางกรอบ “งดเผา–ตัดสิทธิ์” ในภาคเกษตรไว้เป็นฐาน)
3) ขยาย “ชั้นข้อมูลสาธารณะ” ให้ถึงระดับหมู่บ้าน
ข้อเสนอให้ติดเซนเซอร์ราคาย่อมเยาระดับตำบล/หมู่บ้าน (เช่น DustBoy/Air Sensor) เป็นแนวทางที่ประจักษ์แล้วในหลายจังหวัดเหนือ เพราะทำให้คนเห็นค่าฝุ่นจริงหน้าโรงเรียน–ศูนย์เด็กเล็ก–ตลาด ซึ่งกระตุ้นให้ร่วมมือได้ดีกว่าการรายงานเชิงจังหวัดเพียงอย่างเดียว และช่วยให้หน่วยบังคับใช้กำหนดจุดลาดตระเวน–เวรยาม–แนวกันไฟแบบ “อิงข้อมูลจริง” ในวันต่อวัน (เครือข่ายสภาลมหายใจเผยแพร่ข้อเสนอมาต่อเนื่อง)
มิติข้ามแดนและโซ่อุปทาน ลด “การรั่วไหล” ของมลพิษ
เชียงรายในฐานะจังหวัดชายแดน ต้องเผชิญฝุ่นข้ามแดนจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือและทิศตะวันออกเฉียงเหนือในบางช่วง การสร้างยุทธศาสตร์ “Airshed ภาคเหนือ” ที่มองลม–ภูมิประเทศ–รูปแบบเผาให้เป็นผืนเดียวกัน และการประสานเพื่อนบ้านในระดับจังหวัด–กลไกรัฐ เป็นหัวใจของการลด “วันที่วิกฤต” แม้จังหวัดเดียวทำดีที่สุด ตัวเลขก็ยังผันผวนเมื่อเกิดไฟป่าขนาดใหญ่ฝั่งนอก การทำข้อตกลงภาคเกษตรกับห่วงโซ่นำเข้าที่ “ไม่เอื้อต่อการเผา” (เช่น เงื่อนไขตรวจย้อนกลับวัตถุดิบ) และการเพิ่ม “แรงจูงใจราคา” ให้ผลผลิตปลอดการเผา เป็นเครื่องมือที่เครือข่ายภาคประชาชน–เอกชนผลักดันคู่ขนานกับรัฐมาโดยตลอด ขณะที่ระดับประเทศก็ขยับใช้ประกาศ–มาตรการเพื่อคุมช่วงวิกฤตภาคเกษตรเป็นการทั่วไปตามที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งจังหวัดสามารถนำไปประยุกต์ให้เหมาะกับพื้นที่ได้ (หลักการและเจตนารมณ์ในประกาศดังกล่าวอธิบายเครื่องมือรัฐที่ใช้ได้จริงในภาคสนาม)
แผนปฏิบัติการเชิงข้อเสนอ (สำหรับจังหวัด–อปท.–ชุมชน)
มองไปข้างหน้า เป้าหมาย “ลดวันวิกฤต” ให้ประชาชนสัมผัสได้
เป้าหมายลดวันค่า PM2.5 เกินมาตรฐานลง 15–30% อาจดูไม่หวือหวาเท่าการประกาศ “ศูนย์ฮอตสปอต” แต่เป็นเป้าหมายที่ประชาชน “รู้สึกได้” เพราะสัมพันธ์กับการปิด–เปิดโรงเรียน สาธารณสุข และเศรษฐกิจฐานราก วิธีไปให้ถึงจึงไม่ใช่เพียงการ “ห้ามเผา” แต่ต้องใส่ “ฟันเฟือง” เพิ่มในจุดคอขวด การจัดการเชื้อเพลิงในป่า, การดับไฟที่เร็วและแม่น, การบังคับใช้ในภาคเกษตรที่ยึดข้อมูล, และการเติมอุปกรณ์วัดฝุ่นระดับชุมชนให้ครอบคลุม
เชียงรายมีแต้มต่อจากบทเรียนปี 2568 ที่พิสูจน์แล้วว่า “กดไฟให้เบา” ทำได้จริง ตัวเลขฮอตสปอตที่ลดฮวบยืนยันคุณภาพการประสานงานของจังหวัด–อปท.–ชุมชน หากปี 2569 เติมดิจิทัลแพลตฟอร์มด้านข้อมูลและยกระดับมาตรการเชิงปกครองควบคู่ไปกับการสนับสนุนเครื่องมือทดแทนการเผา เป้าหมายลดวันวิกฤตก็ไม่ไกลเกินเอื้อม และจะส่งสัญญาณสำคัญสู่ทั้งประเทศว่า “ระบบถาวรแก้ฝุ่นควัน” สามารถทำได้ตั้งแต่ฐานจังหวัด
สรุปเชิงนโยบาย (Key Takeaways)
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.