
เชียงราย, 7 พฤศจิกายน 2568 – ท่ามกลางกระแสการแสวงหาแร่สำคัญ (Critical Minerals) เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและพลังงานสะอาดของโลก ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงบริเวณพรมแดนไทย-เมียนมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลุ่มน้ำกก จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ข้อมูลเชิงลึกและภาพถ่ายดาวเทียมล่าสุดได้ยืนยันการขยายตัวของ “เหมืองแร่แรร์เอิร์ธและเหมืองทองคำ” ขนาดใหญ่ในรัฐฉาน ภาคตะวันออกของเมียนมา ซึ่งดำเนินการโดยกลุ่มบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐวิสาหกิจจีน และตั้งอยู่ใกล้กับพรมแดนไทยในระยะที่น่าตกใจ สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติในพม่า แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตและเศรษฐกิจของคนไทยกว่าหนึ่งล้านคน
ปัญหาสารพิษโลหะหนักที่ปนเปื้อนลงสู่แม่น้ำกก ไม่ใช่เพียงแค่ความกังวลในท้องถิ่น แต่ได้กลายเป็น “วาระของชาติ” และเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนถึงหายนะของการจัดการห่วงโซ่อุปทานแร่ที่ไม่โปร่งใส ขณะที่รัฐบาลไทยพยายามเสนอทางออกด้วยการสร้างฝายดักตะกอน มูลค่า 173 ล้านบาท ภาคประชาสังคมและชุมชนผู้ได้รับผลกระทบกลับพร้อมใจกันลุกขึ้นคัดค้าน โดยชี้ว่าเป็นการ “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” ที่ไม่สามารถจัดการกับแหล่งกำเนิดสารพิษที่แท้จริงได้
ปฐมบทแห่งหายนะ สารพิษจากพรมแดน 25 กิโลเมตร
การเปิดเผยข้อมูลโดยมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan Human Rights Foundation – SHRF) เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 และการอัปเดตเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2568 ได้จุดประกายความวิตกกังวลในระดับนานาชาติ ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นการขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญของเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในเมืองยอน ทางใต้ของเมืองสาด ภาคตะวันออกของรัฐฉาน พื้นที่ทำเหมืองดังกล่าวอยู่ห่างจากพรมแดนด้านอำเภอแม่ อาย จังหวัดเชียงใหม่ เพียงประมาณ 25 กิโลเมตรเท่านั้น และอยู่ภายใต้การควบคุมร่วมกันของรัฐบาลทหารพม่าและกองทัพว้า (United Wa State Army – UWSA)
สิ่งที่ทำให้เหมืองเหล่านี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งคือ วิธีการสกัดแร่แบบชะละลาย ณ แหล่งกำเนิด (in-situ leaching) ซึ่งเป็นวิธีการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธที่ทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง โดยเกี่ยวข้องกับการฉีดสารเคมีจำนวนมากผ่านท่อเข้าไปในเนินเขาเพื่อชะละลายแร่หายากออกมา สารละลายเคมีที่ได้จะถูกส่งไปยังบ่อแต่งแร่ทรงกลมที่เรียงรายอยู่ตามจุดต่าง ๆ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับเหมืองแรร์เอิร์ธที่ดำเนินการโดยบริษัทจีนในรัฐคะฉิ่น ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นแหล่งผลิตแร่เทอร์เบียม (Tb) และดิสโพรเซียม (Dy) จำนวนมาก
จากการติดตามภาพถ่ายดาวเทียมพบว่า เหมืองแรร์เอิร์ธแห่งหนึ่งทางทิศตะวันออกของแม่น้ำกกเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2566 (mid-2023) ขณะที่อีกแห่งทางทิศตะวันตกของแม่น้ำกกเริ่มขึ้นตั้งแต่กลางปี 2567 (mid-2024) ภาพล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 แสดงให้เห็นว่าบ่อแต่งแร่ทางทิศตะวันตกได้ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วและมีการสร้างหลังคาสีดำปกคลุม ส่วนเหมืองฝั่งตะวันออกยังคงดำเนินการต่อเนื่อง โดยมีการสร้างอาคารใหม่หลายหลัง และสามารถมองเห็นสารเคมีเหลว “สีน้ำเงินสด” ในบ่อแต่งแร่ผ่านตาข่ายสีดำที่ปกคลุมอยู่ การขยายตัวของการดำเนินงานเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกับการปล่อย “กากของเสียที่มีโลหะหนัก” ไหลลงสู่แม่น้ำกกโดยตรงอย่างต่อเนื่อง
ความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ ผลกระทบต่อปากท้องและสุขภาพ
แม่น้ำกกไหลจากเมืองท่าตอน อำเภอแม่ อาย จังหวัดเชียงใหม่ เข้าสู่จังหวัดเชียงราย และไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงแสน ผลกระทบข้ามพรมแดนนี้จึงเป็นภัยคุกคามต่อชุมชนริมน้ำทั้งในภาคใต้ของรัฐฉานและภาคเหนือของไทย
สถิติชวนคิดและผลกระทบจริงที่ต้องเร่งคลี่คลาย
ทางการไทยได้พยายามตรวจสอบคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกทุกสองสัปดาห์ตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 และพบว่า มีปริมาณสารหนูและตะกั่วเกินมาตรฐานความปลอดภัยหลายครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้เปิดเผยว่า จากการตรวจหาสารโลหะหนักในน้ำประปาในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ก็ยังพบสารหนูปนเปื้อนอยู่ทุกครั้ง แม้หน่วยงานภาครัฐจะยืนยันว่าน้ำประปาปลอดภัย แต่การประปาส่วนภูมิภาคกลับต้องพิจารณาของบประมาณสูงถึง 12,000 ล้านบาท เพื่อหาแหล่งน้ำดิบใหม่มาทดแทนแม่น้ำกก เนื่องจากเกินกำลังที่จะกำจัดสารโลหะหนักได้แล้ว
ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสุขภาพต่อชุมชนชาวไทยนั้นปรากฏชัดเจน
ความขัดแย้งเชิงนโยบาย ฝายดักตะกอนกับการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด
ในขณะที่ชุมชนกำลังเผชิญกับผลกระทบอย่างหนัก กรมทรัพยากรน้ำได้เตรียมจัด “การประชุมรับฟังความเห็นของประชาชน” ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 เพื่อทบทวนและกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำ แนวทางที่ถูกเสนอคือ โครงการสร้าง “ฝายดักตะกอน” จำนวน 4 แห่ง ในพื้นที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยงบประมาณ 173 ล้านบาท (ซึ่งลดลงจากแผนเดิม 10 ฝาย)
อย่างไรก็ตาม โครงการนี้กลับถูกคัดค้านอย่างหนักจากเครือข่ายสิทธิชุมชนเชียงรายและสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต โดยผู้นำชุมชนได้รวมตัวกันระดมความเห็นเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 และมีจุดยืนเป็นหนึ่งเดียวว่า “ไม่เอาฝายดักตะกอน”
นายกินุ เฉลิมเลี่ยมทอง นายกสมาคมลาหู่ประเทศไทยและนานาชาติ ได้กล่าวถึงความไม่เชื่อมั่นในมาตรการนี้อย่างดุเดือดว่า “การสร้างฝายดักตะกอน ผมไม่มีความหวังเลย คิดว่าไม่สามารถดักสารเคมีสารพิษได้ ตะกอนปนเปื้อนจะไม่หาย และจะไม่ลดลง… การสร้างฝายดักตะกอน เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ และยังเป็นฝายดักตะกอนพิษที่แรกของโลก เอาความเชื่อมั่นมาจากที่ไหน”
นายวุฒิพงษ์ สงวนโชติ นายกสมาคมลาหู่และตัวแทนชาวบ้านในลุ่มน้ำกก ได้ย้ำว่า แม่น้ำกกมีน้ำมหาศาล ดักตะกอนก็ได้แต่ตะกอน ไม่สามารถดักสารพิษได้ ชาวบ้านยังตั้งข้อสังเกตว่า ภาครัฐปกปิดข้อมูลโครงการนี้มาโดยตลอด และเร่งดำเนินการทั้งที่ปัญหาหลักคือสารพิษยังไม่ได้รับการแก้ไข
บริษัทข้ามชาติและห่วงโซ่อุปทานแร่โลก
เพื่อทำความเข้าใจถึงแรงขับเคลื่อนเบื้องหลังหายนะข้ามพรมแดนนี้ จำเป็นต้องตรวจสอบความเชื่อมโยงของกลุ่มทุนที่อยู่เบื้องหลังการทำเหมือง
เหมืองแร่แรร์เอิร์ธและเหมืองทองคำริมแม่น้ำกกในเมืองยอน รัฐฉาน เป็นกิจการของ บริษัท ไชนา อินเวสเมนต์ ไมนิ่ง จำกัด (CIMC) CIMC นั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของ บริษัท เซี่ยงไฮ้ ฉือจิน เซียะหวู่ เมทัล รีสอร์สเซส จำกัด (Shanghai Chijin Xiawu Metal Resources Co. Ltd., หรือ Chijin Xiawu) ซึ่งถือหุ้นอยู่ 90% Chijin Xiawu ก่อตั้งขึ้นในเดือนตุลาคม 2565 โดยเป็นกิจการร่วมค้าระหว่างสองบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีน
การร่วมทุนนี้มีเป้าหมายที่ชัดเจนคือ เพื่อพัฒนาและควบคุมทรัพยากรแรร์เอิร์ธในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลาว
กลยุทธ์การขยายตัวในอาเซียน โครงการเหมืองเหมิงคังในลาว
เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2567 บริษัท ฉือเฟิงโกลด์ ได้ประกาศการเข้าซื้อหุ้น 90% ของ China Investment Mining (Laos) Sole Co., Ltd. ผ่านบริษัทย่อย (CHIXIA Laos) ด้วยมูลค่ารวม 18,963,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 688 ล้านบาท) บริษัทที่เข้าซื้อนี้มีโครงการสำคัญคือ โครงการแรร์เอิร์ธเหมิงคัง ในแขวงเชียงขวาง ประเทศลาว ซึ่งเป็นเหมืองประเภท “medium heavy rare earth” ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง
ข้อมูลสถิติขนาดโครงการในลาว
ภาพถ่ายดาวเทียมล่าสุดของเหมืองแรร์เอิร์ธในเมืองคำ (Mengkang) ของบริษัทนี้ในลาว ก็แสดงให้เห็น “การทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างกว้างขวาง” และมีการปล่อยน้ำเสียลงสู่ลำน้ำขาว (Nam Khao stream) ซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำคานและต่อไปยังแม่น้ำโขงที่หลวงพระบาง การขยายตัวทางธุรกิจที่รวดเร็วและการใช้เทคโนโลยีทำลายสิ่งแวดล้อมในรัฐฉานและลาวตอกย้ำความเสี่ยงที่ไทยจะต้องเผชิญในฐานะประเทศปลายน้ำ นอกจากนี้ ดร.สืบสกุลยังตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเองก็ต้องการให้ไทยเป็นฐานในการแปรรูปแร่สำคัญ เนื่องจากไทยมีแร่สำคัญ 10 ชนิด ซึ่งทำให้ไทยกลายเป็นทางผ่านของห่วงโซ่อุปทานแร่โลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ข้อเรียกร้องเพื่อความมั่นคงของประเทศ วาระแห่งการแก้ไขที่ต้นตอ
นางสาวเพียรพร ดีเทศน์ กรรมการบริหารมูลนิธิแม่น้ำและสิทธิ Rivers and Rights ได้เน้นย้ำว่าปัญหานี้ต้องถูกยกระดับเป็น วาระแห่งชาติ และเป็นเรื่องของความมั่นคงของประเทศ พร้อมทั้งกล่าวเตือนถึงผลกระทบในระยะยาวว่า “หากต้นทางยังไม่หยุด อีก 100 ปี สารปนเปื้อนก็ยังอยู่” และการฟื้นฟูอาจใช้เวลานานถึง 100-200 ปี
จากเวทีระดมความเห็น ภาคประชาสังคมและนักวิชาการได้สรุปข้อเสนอแนะหลักที่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการลงนาม MOU กับสหรัฐฯ ในเรื่องแร่สำคัญ
ปัญหาการปนเปื้อนของแม่น้ำกกเป็นมากกว่าเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่เป็นปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนและความมั่นคงของห่วงโซ่ชีวิต การที่ชุมชนยืนยันที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องสายน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตของตน โดยพร้อมใจกันคัดค้านการแก้ปัญหาเชิงประโลมจากภาครัฐ สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวและความต้องการที่จะเห็นการแก้ไขปัญหาข้ามพรมแดนอย่างจริงใจและเป็นมืออาชีพจากรัฐบาล นับเป็นความท้าทายครั้งสำคัญสำหรับประเทศไทยในการจัดการกับมลพิษข้ามพรมแดนและแสดงจุดยืนในเวทีโลกว่าจะยอมให้ไทยเป็นเพียง “ทางผ่านของแร่สกปรก” ที่ทำลายอนาคตของคนในประเทศหรือไม่
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.