ปิดฉากคดีประวัติศาสตร์เชียงราย: ศาลฎีกายืนคำพิพากษา “สุปรียา ใจแก้ว” ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากกิจกรรมชุมนุมปี 2563 — ศาลชี้ “แออัดแม้พื้นที่โล่งแจ้ง” ยามโรคระบาด รัฐใช้อำนาจคุมเข้มได้เพื่อสุขภาพสาธารณะ

เชียงราย, 5 พฤศจิกายน 2568 — เวลา 09.00 น. ที่ศาลจังหวัดเชียงราย ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในคดีของ สุปรียา ใจแก้ว หรือ “แซน” อดีตนักกิจกรรมจังหวัดเชียงราย จากเหตุเป็นพิธีกรในการชุมนุมทางการเมืองบริเวณ ห้าแยกหอนาฬิกา เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2563 ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมโรคโควิด-19 คำพิพากษาศาลฎีกา ยืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 5 ว่าจำเลยมีความผิดฐานฝ่าฝืน ข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ คำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงราย โดยปรับ 4,000 บาท (จำเลยชำระค่าปรับแล้วตั้งแต่ชั้นอุทธรณ์ คดีจึงสิ้นสุดหลังต่อสู้ยาวนานกว่า 5 ปี)

สาระสำคัญของคำพิพากษาอยู่ที่การตีความว่า “สถานที่แออัด” ในบริบทโรคระบาด มิได้จำกัดอยู่ที่สภาพทางกายภาพ ของสถานที่เท่านั้น แต่หมายรวมถึง การรวมตัวของบุคคลจำนวนมาก ในพื้นที่เดียวกันโดยมิได้เว้นระยะห่าง ซึ่งทำให้มี “ความเสี่ยงสูงต่อการแพร่โรค” แม้กิจกรรมจะจัดในที่โล่งแจ้งก็ตาม

คดีเล็กในเมืองรองที่กลายเป็นคำพิพากษาอ้างอิงระดับชาติ

เหตุของคดีเริ่มจากการเคลื่อนไหวภาคประชาชนที่เชียงรายในช่วงกลางปี 2563 ท่ามกลางกระแสเรียกร้องทางการเมืองทั่วประเทศ รายงานพยานหลักฐานของโจทก์ระบุว่า มีผู้เข้าร่วมราว 700 คน กระจุกตัวหน้าเวทีรถบรรทุก 6 ล้อในระยะใกล้ หลายคน ไม่ได้เว้นระยะห่าง 1 เมตร และ “บางส่วนไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย” การคัดกรองโรค ณ จุดจัดกิจกรรม “ไม่มีมาตรการป้องกันครบถ้วน” ตามหลักเกณฑ์ควบคุมโรคในขณะนั้น

เส้นทางคดีผ่านหลายด่าน:

  • ศาลชั้นต้น พิพากษา ยกฟ้อง โดยเห็นว่าแม้จำเลยมีส่วนร่วมจัดกิจกรรม แต่สภาพพื้นที่โล่งและหลักฐานด้านสาธารณสุขหลังการชุมนุม “ยังไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในจังหวัดต่อเนื่องกว่า 133 วัน” ทำให้ความเสี่ยง ไม่ถึงระดับแออัดอันตราย
  • ศาลอุทธรณ์ภาค 5 เมื่อ 16 ส.ค. 2566 พิพากษากลับ เห็นว่าพฤติการณ์ในวันเกิดเหตุ “เข้าลักษณะสถานที่แออัดและเสี่ยงสูง” แม้เป็นที่โล่ง แจ้งลงโทษปรับ 4,000 บาท โดย ยืนยกฟ้อง เฉพาะข้อหายุยงให้เกิดความไม่สงบ
  • ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อม วันนี้ พิพากษายืน ตามศาลอุทธรณ์ พร้อมวินิจฉัยหลักการสำคัญ 3 ประเด็น: อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, อำนาจผู้ว่าฯ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ, และนิยาม “สถานที่แออัด” ในสถานการณ์โรคระบาด

อำนาจรัฐภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อ

1) อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ: “ห้ามชุมนุมหรือมั่วสุม” เมื่อจำเป็นต่อความปลอดภัยสาธารณะ

ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อกำหนดออกตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ให้อำนาจรัฐ จำกัดการชุมนุม ในสถานการณ์พิเศษเพื่อป้องกันเหตุร้าย/โรคระบาด โดยนายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นหัวหน้ารับผิดชอบในส่วนความมั่นคง ซึ่งมีอำนาจวางมาตรการป้องกันไม่ให้ฝ่าฝืนข้อกำหนดดังกล่าว (หลักการเรื่องอำนาจและขอบเขตการจำกัดสิทธิภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ถูกอธิบายโดยนักกฎหมายและองค์กรสิทธิพลเมืองจำนวนมาก

2) อำนาจผู้ว่าฯ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ: “สั่งงดกิจกรรมรวมคนจำนวนมาก”

ศาลย้ำว่า ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด มีอำนาจ ออกคำสั่งป้องกันโรค รวมถึงสั่งงดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่โรค ซึ่งเป็นอำนาจตาม มาตรา 35 แห่ง พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และคำสั่งดังกล่าวถือเป็น “คำสั่งห้ามเข้าพื้นที่เสี่ยง” ได้ในตัว เมื่อมีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินครอบคลุมทั้งอาณาจักร

นัยสำคัญทางนิติศาสตร์: ศาลรับรอง โครงสร้างอำนาจคู่ขนาน” ระหว่างกลไกความมั่นคง (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) และกลไกสาธารณสุข (พ.ร.บ.โรคติดต่อ) ว่าสามารถใช้ “ควบ” กันได้ในห้วงเวลาวิกฤตโรคระบาด หากเจตนารมณ์เพื่อปกป้องสุขภาพสาธารณะและความปลอดภัยของประชาชน

จุดหักเหของคดี: คำว่า “แออัด” ไม่ได้หมายถึง “คับแคบ”

หัวใจคำพิพากษาอยู่ที่การขยายความว่า ความแออัดของสถานที่มิได้จำกัดอยู่เพียงสถานภาพทางกายภาพ” หากแต่หมายถึง “สภาพแวดล้อมที่เกิดจากการรวมตัวของคนจำนวนมากโดยไม่เว้นระยะห่าง” แม้จะเป็นลานถนนเปิดโล่งหน้า หอนาฬิกาเชียงราย แต่อากาศบริเวณหน้าเวที ถ่ายเทไม่สะดวก” จากการเบียดเสียดและการหายใจ/ละอองฝอยของผู้คน จึงเข้าลักษณะ “สถานที่แออัดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่เชื้อ”

คำ “แออัด” จึงมี ขอบเขตยืดหยุ่นตามบริบทการแพร่โรค ไม่ใช่คงที่ตามแบบแปลนพื้นที่หรือผังเมือง—นี่คือเหตุผลที่ทำให้ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา “กลับคำ” จากศาลชั้นต้น แม้จะมีรายงานด้านสาธารณสุขช่วงหลังเหตุการณ์ว่า “ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่” ในจังหวัดในช่วงเวลาหนึ่งก็ตาม เพราะกฎหมายพิจารณา ความเสี่ยงขณะเกิดเหตุ” และ มาตรการป้องกันเชิงระบบ” มากกว่าผลตามมาที่อาจเกิดหรือไม่เกิด

สิทธิเสรีภาพกับข้อยกเว้นในภาวะฉุกเฉิน: เส้นบาง ๆ ระหว่าง “ตรวจสอบรัฐ” และ “ทำผิดข้อกำหนด”

ศาลฎีกาย้ำหลักการว่า รัฐธรรมนูญคุ้มครองเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ แต่สิทธิดังกล่าว อาจถูกจำกัดชั่วคราว ด้วยกฎหมายเฉพาะกรณีเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยสาธารณะ หรือเพื่อสุขภาพประชาชน เช่น กฎหมายภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินหรือกฎหมายควบคุมโรคติดต่อ—ซึ่งทั้งหมด ต้องมีความจำเป็นและได้สัดส่วน ต่อสถานการณ์

ในส่วนข้อหาว่า “ยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย” ศาล ยืนยกฟ้อง เหมือนชั้นอุทธรณ์ โดยเห็นว่า สาระคำปราศรัย แม้จะวิพากษ์การทำงานรัฐบาล เรียกร้องให้ลาออก ยุบสภา หรือแก้รัฐธรรมนูญ แต่ยังอยู่ภายใต้กรอบ “การตรวจสอบโดยสันติวิธี” ตามวิถีประชาธิปไตย ไม่ถึงขั้นปลุกปั่นให้ทำผิดกฎหมาย จึง ไม่เข้าลักษณะยุยงปลุกปั่น

อ่านให้ขาด: คดีนี้จึง แยกแกนสิทธิออกเป็นสองชั้น — ชั้นเนื้อหา (speech) ไม่ผิด แต่ชั้น รูปแบบการรวมตัว (assembly) ผิดข้อกำหนดควบคุมโรค ตามกฎหมายพิเศษในห้วงฉุกเฉิน

ลำดับเหตุการณ์ (Timeline) และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  • 25 ก.ค. 2563: ชุมนุมที่ห้าแยกหอนาฬิกาเชียงราย ขณะมี ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั่วประเทศ
  • 2564–2566: คดีผ่านศาลชั้นต้น (ยกฟ้อง) ต่อด้วย ศาลอุทธรณ์ภาค 5 (พิพากษากลับ ปรับ 4,000 บาท)
  • 5 พ.ย. 2568: ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อม พิพากษายืน “ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ + คำสั่งโรคติดต่อ” ยืนยกฟ้องข้อหายุยง
  • กฎหมายที่ศาลหยิบใช้:
    1. พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 — ให้อำนาจจำกัดการชุมนุม/มั่วสุมโดยออก ข้อกำหนดตามมาตรา 9 เพื่อควบคุมเหตุร้าย/โรคระบาด
    2. พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 มาตรา 35 — ให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งงดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด

บรรทัดฐาน “ความแออัด” กับการจัดกิจกรรมสาธารณะหลังยุคโควิด

  1. หลักคิด “แออัด” แบบพลวัต (Dynamic Crowding):
    คำพิพากษาตอกย้ำว่า คำว่า แออัด จะถูกอ่านร่วมกับ บริบทความเสี่ยงทางสาธารณสุข ในขณะนั้น ไม่ใช่ยึดติดแต่เพียง “ผนัง–หลังคา–ผังพื้น” ของสถานที่ ผู้จัดกิจกรรมสาธารณะ—ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุม การแสดงคอนเสิร์ต งานเทศกาล—ควร คิดเชิงความเสี่ยง (risk-based) ตั้งแต่การออกแบบทางเข้า-ออก, การเว้นระยะ, ระบบคัดกรอง, การสื่อสารสุขภาพ, ไปจนถึงแผนรองรับฉุกเฉิน
  2. เสรีภาพกับมาตรการพิเศษ: เส้นแบ่งที่ต้องพิสูจน์ความจำเป็น–ได้สัดส่วน
    แม้คำพิพากษารับรองการใช้ อำนาจพิเศษของรัฐ ในยามโรคระบาด แต่ก็ตอกย้ำด้วยว่าการจำกัดสิทธิต้อง สัมพันธ์โดยตรง กับวัตถุประสงค์คุ้มครองสุขภาพประชาชน และต้องอยู่ ในกรอบกฎหมาย ที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ประสบการณ์หลายประเทศสะท้อนปัญหาการ “ทำให้มาตรการฉุกเฉินกลายเป็นปกติใหม่” ซึ่งวงวิชาการและสิทธิมนุษยชนเตือนให้ ทบทวนเมื่อพ้นวิกฤต
  3. บทเรียนสำหรับ “ผู้จัดกิจกรรม” และ “ผู้บังคับใช้กฎหมาย”
  • ฝั่งผู้จัด: ควรจัดทำ มาตรฐานสุขภาพสาธารณะ เป็นเช็กลิสต์ (pre-event, on-site, post-event) ที่ตรวจสอบได้ เช่น แผนเว้นระยะคน, ช่องทางเข้า-ออกแบบ one-way, ระบบคัดกรอง, อุปกรณ์ป้องกัน, ทีมแพทย์อาสา ฯลฯ
  • ฝั่งรัฐ: การบังคับใช้ควร สื่อสารเกณฑ์ความเสี่ยงที่ชัดเจน และเปิดเผยข้อมูลเพื่อให้ประชาชนทำตามได้จริง นอกจากนี้ควรแยก การจัดรูปแบบกิจกรรม” ออกจาก เนื้อหาการแสดงออก” เพื่อลดข้อครหาการใช้กฎหมายพิเศษไปกระทบ สาระของเสรีภาพการเมือง

คำพิพากษานี้ยืนยันอะไร และไม่ยืนยันอะไร

  • ยืนยัน อำนาจภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อ ใช้ควบกันได้ในห้วงโรคระบาด เพื่อจำกัดการรวมกลุ่มในลักษณะเสี่ยง
  • ยืนยัน นิยาม “แออัด” แบบกว้างตามบริบทการแพร่โรค แม้เป็นพื้นที่โล่งแจ้ง
  • ยืนยัน ว่า เนื้อหา การวิพากษ์เชิงการเมือง (เช่น เรียกร้องยุบสภา/แก้รัฐธรรมนูญ) ไม่ใช่ความผิด ถ้ายังอยู่ในกรอบสันติวิธี
  • ไม่ยืนยัน ว่าทุกการชุมนุมช่วงโควิดผิดกฎหมายโดยอัตโนมัติ—ขึ้นกับ “ข้อเท็จจริงของความแออัด/มาตรการ” ในแต่ละกรณี
  •  ไม่ยืนยัน ว่ารัฐมีอำนาจไม่จำกัด—การจำกัดสิทธิต้องมี ความจำเป็น–ได้สัดส่วน–มีกฎหมายรองรับ

เสียงสะท้อนจากภาคสนาม ค่าปรับ 4,000 บาท แต่ราคาที่แท้จริงคือ “บรรทัดฐาน”

แม้โทษในทางคดีลงท้ายเพียง ค่าปรับ 4,000 บาท แต่ “ราคาทางบรรทัดฐาน” สูงกว่านั้นมาก เพราะคำพิพากษาศาลฎีกา กำหนดมาตรฐานตีความ ที่จะถูกอ้างถึงในคดีอนาคตซึ่งเกี่ยวข้องกับ การรวมกลุ่มสาธารณะในสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุข รวมทั้งงานอีเวนต์ สังสรรค์ มหรสพ หรือแม้แต่งานชุมชนขนาดใหญ่

นักกฎหมายจำนวนหนึ่งชี้ว่า ประเด็น “บริบทความเสี่ยง” ซึ่งศาลหยิบพิจารณาอย่างละเอียด เป็นสัญญาณว่าในอนาคต—แม้ไม่อยู่ในห้วงโควิด—หากเกิด ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขรูปแบบอื่น (เช่น โรคระบบทางเดินหายใจสายพันธุ์ใหม่) บรรทัดฐานนี้อาจถูกนำมาใช้ประกอบการ จำกัดการรวมกลุ่มชั่วคราว อีกครั้ง เพื่อชั่งน้ำหนักระหว่าง สิทธิพลเมือง กับ ความปลอดภัยสาธารณะ

นัยทางนโยบายสาธารณะจึงชี้ไปยังการ เตรียมเครื่องมือกฎหมายปกติ ให้เพียงพอโดยไม่ต้องพึ่งพามาตรการฉุกเฉินยืดเยื้อ เช่น ระเบียบอนามัยงานอีเวนต์, กฎกระทรวงด้าน crowd management, ระบบเตือนภัยสุขภาพในงานชุมนุม—ทั้งหมดนี้เพื่อให้การคุ้มครองสุขภาพประชาชน ไม่กลายเป็นใบอนุญาตครอบคลุมไปจำกัดสิทธิเกินจำเป็น

เรื่องนี้จบแล้ว แต่บทสนทนาสังคมเพิ่งเริ่ม”

คดีสุปรียา ใจแก้ว สิ้นสุดในทางคดี—แต่ในทางสังคม คำถามเรื่อง ขอบเขตการใช้มาตรการพิเศษ ยังต้องการคำตอบต่อไป เราจะสร้าง สูตรคงที่ สำหรับจำกัดหรือผ่อนปรนเสรีภาพไม่ได้ เพราะวิกฤตแต่ละชนิดมีพลวัตต่างกัน สิ่งที่ทำได้คือ ความโปร่งใส, การอธิบายเหตุผลเชิงข้อมูล, และ การมีส่วนร่วม ของสาธารณะในทุกขั้นตอน—เพื่อให้วันที่สังคมต้องเลือกความปลอดภัยเหนือความสะดวก เสรีภาพของเราจะ ไม่ถูกลืม ระหว่างทาง

สรุปย่อ (Key Takeaways)

  • ศาลฎีกา พิพากษายืน: สุปรียา ใจแก้ว ผิดข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และคำสั่งโรคติดต่อ จากเหตุชุมนุม 25 ก.ค. 2563 ที่เชียงราย โทษปรับ 4,000 บาท (คดีสิ้นสุด)
  • ศาลชี้ว่า “แออัด” หมายถึงสภาพการรวมตัว โดยไม่เว้นระยะห่าง แม้พื้นที่จัดกิจกรรมเป็น ที่โล่งแจ้ง ก็เข้าลักษณะเสี่ยงแพร่โรคได้
  • ยืนยกฟ้อง ข้อหายุยงปลุกปั่น—เนื้อหาวิพากษ์การเมืองอยู่ในขอบเขตเสรีภาพการแสดงออก
  • คำพิพากษาวาง บรรทัดฐานการตีความ สำหรับกิจกรรมสาธารณะในภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข: รัฐจำกัดได้เมื่อ จำเป็น–ได้สัดส่วน–มีฐานกฎหมาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • iLaw
  • Fortify Rights, “Thailand: Ensure COVID-19-Response Protects Basic Rights” (9 กันยายน 2564)
  • ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News